ชายหนุ่มครวญเสียงหวาน หลังผ่านพ้นการลิ้มลองสองกลีบกุหลาบที่สั่นน้อยๆ มาหมาดๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบใดๆ ได้แต่นิ่ง เขาจึงไล้ปลายจมูกโด่งเป็นสันไปตามผิวแก้มขาว นุ่มนิ่ม เลื่อนไล่เรื่อยไปตามปลายคางมน วนลงไปหาลำคอระหงที่เจ้าของเงยขึ้นเปิดทางให้ด้วยความเต็มใจ
“เอื้อยรู้มั้ยจ๊ะ ว่าพี่รักเอื้อย และอยากทำอย่างนี้กับเอื้อยมานานแค่ไหนแล้ว”
สารภาพเสียงนุ่มหู ก่อนจะหวนขึ้นมาครอบครองสองกลีบสีระเรื่อที่ยังสั่นไม่หายอีกวาระ มือขวาเลื่อนขึ้นมากอบกำทรวงอกเล็กกะทัดรัดอย่างคนห้ามใจไม่อยู่ แล้วเขาก็รู้ในทันทีว่าตรงส่วนปลายนั้นชูชันรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะเป็นการสัมผัสจากนอกร่มผ้าก็ตาม นั่นบอกได้ว่าเจ้าของกำลังแตกตื่นไม่น้อย นิ้วเรียวค่อยๆ คุ้ยแคะแกะเกาตรงจุดนั้นอย่างจงใจ ยังผลให้คนในอ้อมแขนสะดุ้งเฮือกๆ
นิ้วเรียวเลยเลื่อนขึ้นไปปลดกระดุมเม็ดบน ไล่เรื่อยลงมาจนถึงเม็ดที่อยู่ตรงเอวเล็ก ก่อนจะสอดปลายนิ้วเข้าไปหาก้อนเนื้อเล็กกะทัดรัดที่แน่นหนั่นและนุ่มนิ่มจนอยากจะลิ้มลอง สองมือเลยรั้งเดรสสีขาวออกจากไหล่ระหงลงไปค้างเติ่งอยู่ตรงข้อศอกเล็ก
ก่อนเขาจะเลื่อนมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอบราเซียร์สีขาวเล็กกะทัดรัดด้วยหัวใจเต้นระรัวไม่แพ้กัน แขนเล็กเรียวทั้งสองข้างถูกเขายกขึ้นเพื่อกำจัดเดรสกับบราเซียร์ออกไป
ดวงตาคู่สวยใสที่เคยเห็น บัดนี้ปิดลงแล้วเพราะความอาย กายเปลือยท่อนบนก็สั่นน้อยๆ นั่นคงเพราะความตื่นเต้น เขาเองก็เช่นกัน ยิ่งตอนได้ครอบครองอกเล็กกะทัดรัดด้วยแล้ว ความใหม่ ความสด ความซิง ยิ่งส่งให้ตื่นเต้นหนักเข้าไปอีก
อุ้งมืออีกข้างก็รวบกำอกอีกข้างเอาไว้อย่างเป็นสุขใจ ปลายนิ้วเขานั้นทั้งบีบ ทั้งบี้ ทั้งขยี้ ทั้งขยำ ปลายลิ้นก็ละเลงลงไปกับปลายยอดแข็งชี้โด่เด่ราวกับอยู่ในบรรยากาศเย็นจัดก็ไม่ปาน
“เอื้อยจ๋า! ทำไมเอื้อยของพี่หวานจังเลยจ๊ะ”
คนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นบน พยายามอ่านริมฝีปากบางของคนอยู่สนามว่ากำลังพูดอะไรกับแฟนเพื่อนของเขาบ้าง ในหัวนั้นก็กำลังครุ่นคิดว่าเธอมาข้องเกี่ยวอะไรกับครอบครัวนี้ อยากร้องบอกลงไปว่าให้รอก่อน เมื่อเห็นเธอกับผู้หญิงอีกคนเดินผละไป แต่ก็ทำได้แค่คิด
เมื่อมีความขุ่นเคืองก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากมันฝังตัวอยู่ในใจเงียบๆ มาหลายปี เขาจ้องมองเจ้าของสะโพกผายตึงกว่าเมื่อก่อน เดินห่างไปเรื่อยๆ กระทั่งพ้นประตูรั้วไป ความร้อนใจทำให้ต้องรีบลงไปหาจิตตินันท์ที่กำลังหัวเราะร่วนกับมุกตลกของเพื่อนๆ อยู่ แล้วเขาก็ไม่รีรอที่จะถามตรงๆ
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอวะติ”
“ใครวะ”
คนถูกถามงงไม่น้อย รวมทั้งเพื่อนร่วมโต๊ะด้วย เลยหันมาหาเขาแทบจะพร้อมกัน
“ก็คนใส่ชุดสีขาวนั่นไง เดินมาหาแกพร้อมคนใส่ชุดสีน้ำเงิน แล้วก็เดินไปโต๊ะเมียแก แต่ตอนนี้คงกลับไปแล้วมั้ง”
“อ้อ! คุณเอื้อยกับคุณเปิ้ลน่ะเหรอ” เจ้าของวันเกิดเพิ่งนึกขึ้นได้
“ใช่! แล้วเขาเป็นอะไรกับแกเหรอ อย่าบอกนะว่าญาติ”
จตุรภัทรไม่มีวันเชื่อว่าเพื่อนจะมีญาติแบบนั้น
“ไม่ใช่ๆ เป็นพนักงานในบริษัทฉันเอง แกถามทำไมเหรอ”
“ทำมานานหรือยัง ทำไมฉันไม่รู้วะ” คนสงสัยเอ่ย
“แหม! ขนาดบ้านพ่อแม่ฉันแกยังเคยไปแค่สามสี่ครั้งตั้งแต่เราคบกันมา บ้านฉันแกก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก แล้วจะไปรู้จักพนักงานฉันได้ยังไงล่ะ ไอ้นี่ถามแปลก”
“เอ่อ! กูก็ว่างั้นล่ะ”
เพื่อนในกลุ่มบ่นตาม จากนั้นก็หันไปคุยเรื่องอื่นกับเพื่อนคนอื่น ทว่าจตุรภัทรยังมีข้อสงสัยไม่น้อย เลยจ้องหน้าจิตตินันท์เพื่อถามต่อ
“ฉันไปโรงงานครั้งก่อนทำไมไม่เห็นล่ะ”
“แกจะเห็นได้ยังไง ในเมื่อคุณเอื้อยทำอยู่ออฟฟิศใหญ่ ว่าแต่แกถามทำไมวะ อย่าบอกนะว่าปิ๊ง”
“เขาทำงานกับแกมานานหรือยัง” เขาไม่ยอมตอบใดๆ แถมยังถามเพิ่มอีกต่างหาก
“ก็หลายปีแล้วนะ เก่ง ฉลาด ขยัน ตกลงจะถามทำไม”
“ฉันมาคิดเรื่องบริษัทแกอีกทีแล้วนะ”
“ว่า”
คนอยากขายบริษัทงงไม่น้อย ในเมื่อเพื่อนเพิ่งบอกไว้ก่อนหน้าว่ายังไม่อยากเหนื่อย
“ฉันจะซื้อหุ้นแกหกสิบเปอร์เซ็นต์ก่อนในตอนแรก แล้วเข้าไปช่วยแกบริหารสักครึ่งปีหรือปีหนึ่ง ค่อยซื้อหุ้นที่เหลือ หรือถ้าแกไม่อยากขายจะคงหุ้นไว้แค่นั้นก็แล้วแต่ ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และไม่ได้อยากซื้อมาทั้งหมดหรอก แกอุตส่าห์ลงแรงมาเองตั้งแต่แรก คงอยากคอยชื่นชมการเติบโตไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง หรือแกจะว่ายังไงวะ”
แผนนี้เพิ่งผุดขึ้นมาในหัวก่อนหน้าไม่กี่นาที ทำเอาเจ้าของวันเกิดงงขึ้นอีก
“ก็ได้นะ ดีเหมือนกันเราจะได้ร่วมงานกัน บริษัทฉันถ้าได้คนเก่งๆ อย่างแกมาช่วยก็คงจะรุ่งกว่านี้”
“แต่มีข้อแม้อีกข้อนะเว้ย” คนไม่ตั้งใจซื้อส่งเสียงหนักๆ ไปหา
“อะไรของแกอีกล่ะเอ้อ ไอ้นี่! ลูกเล่นแยะจัง”
เสียงปลุกจากมือถือบนตู้หัวเตียงดังได้ไม่นานนัก คนหลับเป็นตายก็สะดุ้งตื่นแบบไม่อิดออดใดๆ ด้วยเช้านี้ตั้งเวลาไว้ช้ากว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง เมื่อได้ไฟเขียวจากหัวหน้างานว่าให้เข้าช้าได้ เพราะเมื่อวานเคลียร์งานกว่าจะเสร็จเกือบสามทุ่ม แล้วยังถูกหัวหน้าลากไปงานวันเกิดบอสอีก