โครม!
ฉันโกรธจนแทบพังโต๊ะอาหารตรงหน้า สะบัดแขนหลุดจากมือของฮานแล้วผลักเขาออกห่าง แต่เพราะฉันใส่แรงมากไปหรือร่างกายเขาอ่อนแอเกินไปไม่รู้ ฮานเสียหลักล้มไปกองกับพื้น ลำตัวถากไถกับเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มือปัดป่ายไม่เป็นท่า ดีที่กระแทกแค่เก้าอี้ไม่คว้าเอาโต๊ะลงไปด้วย ไม่งั้นคงโดนอาหารละเลงเละทั้งตัว และเป็นภาพที่ดูไม่จืด พนักงานที่รอบริการอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องขึ้นก็รีบสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
“เกิดอะไรขึ้น”
“....” ฉันไม่มีหน้าที่ตอบคำถามพนักงาน มองฮานด้วยสายตาจงเกลียดจงชังถึงที่สุดแล้วเดินออกมาโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“คุณ... คุณฮานเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ค่อยๆ ลุกนะครับ...”
ได้ยินเสียงพนักงานถามไถ่แว่วอยู่ด้านหลัง แต่ฉันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
ฉันเข้าลิฟต์ กดปุ่มลงมาชั้นล่าง อารมณ์ยังคงคุกรุ่นไม่จาง คิดถึงคำพูดเอาแต่ใจของฮานแล้วในอกก็ร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งเจ็บใจ ทั้งแค้นเคือง คิดว่าตัวเองเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนกัน มีสิทธิ์อะไรมาเล่นกับหัวใจของคนอื่น
โว้ย!
ปึง!
ฉันเตะผนังลิฟต์ ระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่ข้างใน แต่ทันทีที่ลิฟต์เปิด ความรู้สึกเดือดดาลทั้งหมดก็ถูกกดเอาไว้ ไม่มีแม้แต่กลิ่นอาย ฉันก้าวออกจากลิฟต์ด้วยสีหน้าเรียบสงบ ราวกับไม่เคยผ่านเรื่องทรมานใจมาก่อน ตอนแรกจะเดินไปล็อบบี้เพื่อกินข้าวรวมกับคนอื่น แต่พอดูเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วก็เปลี่ยนใจ อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพบหน้าผู้คน จึงมุ่งหน้าไปทางร้านกาแฟแทน
จากตอนนั้นถึงตอนนี้เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานก็จริง แต่ความจริงเวลากลับเดินเร็วกว่าที่คิด ต่อให้ฉันไปร่วมวงกับเพื่อน อาหารก็คงเหลือแค่ก้นถาด อีกอย่างฉันขี้เกียจตอบคำถามพวกนั้นด้วย เลยเลี่ยงความยุ่งยากใจเหล่านั้นด้วยการปลีกวิเวกมาดื่มด่ำลาเต้ปั่นเพิ่มวิปครีมแบบพิเศษกับเค้กที่ทั้งหวานและเย็น
ว่ากันว่าของหวานช่วยทำให้อารมณ์ดี ฉันนั่งละเมียดลาเต้กับเค้กแล้วก็ใจเย็นลงนิดหน่อย ก้มหน้าไถโทรศัพท์เล่นสักพักก็มีคนเดินเข้ามาทักทาย
“เพนนี…”
“อ้าว… รุ่นพี่”
ฉันหันไปมองก่อนจะส่งยิ้มให้รุ่นพี่ปีสาม เขาคือคนเดียวกับที่ช่วยฉันขนกระเป๋าและก็เจอกันที่ลิฟต์เมื่อคืน ภายในร้านนี้นอกจากปีหนึ่งไม่กี่คนที่ปักหลักอยู่ก่อนหน้าฉันจะมาแล้วก็ไม่มีปีสามคนไหนอยู่ในร้านนี้เลย แปลกใจที่เขาเข้ามาทัก
“รุ่นพี่ซื้อกาแฟเหรอคะ” ฉันมองถ้วยกาแฟดำที่เขาถือ แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกตื่นขึ้นมาทันที
“อืม รู้สึกง่วงๆ น่ะเลยอยากหาอะไรกระตุ้นหน่อย พี่นั่งด้วยได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ และเก้าอี้ข้างๆ ก็ว่างอยู่พอดี ที่จริงตรงที่ฉันนั่งเป็นบาร์ยาว อยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกมา หันหน้าเข้าหาฝั่งโขง มีสายลมพัดกระทบหน้าเบาๆ เสียอย่างเดียวตรงแดดส่อง นี่ก็อาศัยร่มจากต้นไม้ที่ยื่นออกมาจากด้านข้างซึ่งไม่ครอบคลุมทั้งหมด นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่ค่อยมีคนนั่งกันแม้ว่าจะเป็นจุดที่วิวดีที่สุดในร้าน อีกอย่างตรงนี้เหมาะสำหรับนั่งทอดอารมณ์เงียบๆ คนเดียวมากกว่าจะนั่งเม้าท์มอยด์กันเป็นกลุ่มคณะ
รุ่นพี่ดึงเก้าอี้ออกนั่ง เขามองตรงไปยังแม่น้ำโขง ครู่หนึ่งก็หันหน้ามาหาฉันแล้วพูด
“กินข้าวแล้วเหรอทำไมพี่ไม่เห็นที่ห้องอาหาร”
“อ่อ พอดีนีไม่ได้ไปกินน่ะค่ะ” ฉันยิ้มตอบตามปกติ ก่อนจิ้มเค้กเข้าปากคำเล็ก ตามด้วยดูดลาเต้อีกอึกใหญ่ เมื่อก่อนฉันต้องหยุดกินเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพราะท้องและต้องให้นมลูก แต่ว่าตอนนี้ไม่ต้องคิดมากแล้ว อยากกินอะไรก็กิน
“ทำไมล่ะ หรือว่าไปกินที่อื่น”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่ไม่หิวน่ะ” ฉันยังคงตอบยิ้มๆ แต่เริ่มไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยที่โดนรุ่นพี่ซักไซ้ ถึงจะรู้ว่าเขาแค่อยากหาเรื่องคุยก็เถอะ
เสียงเตือนไลน์ดังขึ้น ฉันเปิดดู ก็เห็นข้อความที่พี่ลีไทน์ส่งมา เมื่อวานฉันมัวแต่วุ่นวายอะไรไม่รู้ เลยไม่ทันได้ตอบเขา
ลีไทน์ : เป็นไงบ้างครับ เงียบเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
เพนนี : สบายดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แค่เมื่อวานถูกลงโทษให้ขนกระเป๋าขึ้นรถจนมือแดงเอง
พอได้คุยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะฟ้อง
พี่ลีไทน์ส่งสติ๊กเกอร์ลูบหัวแมวหน้าเศร้ากลับมาเป็นการปลอบใจ แล้วถามเรื่องสัพเพเหระต่ออีกหลายอย่าง ฉันก็มัวแต่พิมพ์ตอบโต้จนลืมไปเลยว่ามีรุ่นพี่ปีสามนั่งอยู่ข้างๆ พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นเขากำลังมองอยู่ก็รู้สึกเสียมารยาทยังไงไม่รู้ การเมินรุ่นพี่คงไม่ใช่เรื่องที่เด็กปีหนึ่งสมควรทำนัก ถึงฉันจะไม่รู้เจตนารุ่นพี่ที่มานั่งตรงนี้ทั้งที่เราก็ไม่ได้สนิทกันก็เถอะ
ฉันไม่รู้ว่าควรขอโทษเขาดีหรือเปล่า เลยทำแค่ยิ้มจืดๆ ให้ และเพราะรอยยิ้มที่ไม่ได้หมางเมินนั้นทำให้รุ่นพี่กล้าเอ่ยถาม
“คุยกับแฟนเหรอ”
“พี่ชายน่ะค่ะ ไม่ใช่แฟนหรอก”
“เพนนีมีพี่ชายด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ใช่พี่ชายจริงๆ หรอกค่ะ เป็นพี่ที่นับถือน่ะ”
“หืม... แล้วเพนนีมีพี่น้องหรือเปล่า”
“นีมีพี่สาวค่ะ รุ่นพี่ล่ะคะมีพี่น้องหรือเปล่า”
“มีสิ มีพี่น้องสองคนพี่เป็นลูกคนกลาง”
“อ่อ ดีนะคะมีพี่น้องหลายคนจะได้ไม่เหงา” ฉันพยักหน้า ที่จริงไม่ได้อยากรู้เลย แค่ถามไปตามมารยาท อีกอย่างจะปล่อยให้เขาเจาะข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไงกันล่ะ ว่าแต่รุ่นพี่นั่งคุยกับฉันแบบนี้คงไม่ใช่ว่าสนใจฉันอยู่หรอกนะ?
“ไม่รู้สิ พี่น้องพี่ออกจะวุ่นวายจนน่ารำคาญน่ะ”
“ฮ่าๆ”
ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ
ครืด...
ตอนนั้นเก้าอี้ด้านข้างอีกฝั่งที่ว่างอยู่ก็ถูกดึงออก ฉันหันไปมองก่อนจะสบสายตาเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาคมกริบ
ฮาน!
หัวใจฉันกระตุกไหว ใบหน้าเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์จากตอนแรกที่ตกใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโกรธกริ้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามมา แล้วที่ล้มเมื่อกี้ร่างกายไม่เป็นอะไรเลยหรือไง เสียดายถ้ารู้ว่าจะตามรังควานไม่เลิกแบบนี้ฉันน่าจะเอาเก้าอี้ฟาดหน้าเขาสักทีสองทีแล้วถีบลงสระให้รู้แล้วรู้รอด
ฉันลุกขึ้นอย่างทนไม่ไหว ไม่สนว่ารุ่นพี่ที่นั่งข้างๆ จะมองด้วยสายตายังไง ฉันแค่อยากไปให้พ้นหน้าฮานให้ไวที่สุด
หมับ…
ฮานรั้งข้อมือฉันเอาไว้ พลางหรี่นัยน์ตาคมกริบลง ฉันไม่ได้สะบัดมือเขาออกทันทีเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นจึงต้องรักษาท่าทีไม่ให้กลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น
“อย่าทำแบบนี้ ปล่อย…”
ฉันกดเสียงต่ำแทบจะกระซิบ มองข้อมือที่ถูกจับด้วยสายตารังเกียจ แต่ฮานเหมือนไม่ได้ฟังที่ฉันพูด เขาปรายตามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างฉันอย่างเย็นชา
“อยากดื่มกาแฟทำไมไม่บอก พี่จะได้ไม่ต้องให้คนเตรียมอาหารไว้รอ”
น้ำเสียงคล้ายตำหนิและคำพูดที่เหมือนว่าฉันทำอะไรผิดนั่นได้ยินแล้วทำเอาของขึ้น แต่ฉันก็ไม่สามารถแหกปากด่าทอเขาเสียๆ หายๆ ในที่สาธารณะได้ ทำได้แค่กัดฟันพูดอย่างข่มกลั้นอารมณ์
“เลิกวุ่นวายสักทีเถอะน่า ทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ฉันรังเกียจนายมากขึ้นนะ”
“งั้นบอกสิว่าพี่ควรทำยังไงนีถึงจะพอใจ”
ทำไมหน้ามึนอย่างนี้นะ โดนผลักขนาดนั้นยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ฉันมองฮานด้วยสายตาเหลืออด
“อยู่ให้ห่างจากฉัน ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้เห็นอีกจะขอบคุณมาก” ฉันแกะมือฮานออกอย่างไม่กะพริบตาก่อนเดินออกมา
กิจกรรมรอบบ่ายเน้นไปที่การออกกำลัง หลังจากแจกคำใบ้ที่สองเกี่ยวกับพี่รหัสของแต่ละคนแล้วรุ่นพี่ก็ให้แบ่งกลุ่มแยกชายหญิงเพื่อแข่งฟุตซอล ทีมชายแข่งกับทีมชาย ทีมหญิงแข่งกับทีมหญิงเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านความเร็วและพละกำลัง ทีมที่แพ้จะถูกลงโทษด้วยการเป็นเบ้ให้รุ่นพี่ตอนไปเดินเที่ยวถนนคนเดิน ส่วนทีมที่ชนะจะได้คำใบ้เกี่ยวกับพี่รหัสเพิ่ม และคนที่สามารถหาตัวพี่รหัสเจอก่อนวันเฉลยซึ่งก็คือเช้าวันพรุ่งนี้ก็จะได้รางวัลจากพี่รหัสด้วย
รอบตัวฉันเต็มไปด้วยเสียงตะโกนเชียร์ที่ทั้งคึกคักและตื่นเต้น ทุกคนต่างแข่งกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็มีหลายคนที่แอบอู้... ยัยอิมเมจลงสนามได้ไม่ถึงสองนาทีก็ขอเปลี่ยนตัวเองออกเพราะรู้สึกปวดท้องจากนั้นก็หายตัวไปจากกลุ่ม แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ เพราะค่ายนี้ไม่ได้มีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเท่ากับตอนเข้าประชุมเชียร์ ขอแค่ตอนเช็กชื่อรวมอยู่กันครบก็ไม่มีปัญหาแล้ว กว่าจะถึงเวลานั้นก็คงมีใครสักคนโทรตามยัยนั่นเอง
ฉันก็อยากปลีกตัวออกไปเหมือนกัน แต่เกรงว่าถ้าคนหายไปเยอะอาจจะเป็นปัญหาได้ ก็เลยอยู่ทำกิจกรรมร่วมกับทุกคนตลอดบ่าย และฉันก็รู้ว่าตัวเองคิดถูก เพราะมันช่วยให้ฉันลืมเรื่องที่กวนใจไปได้ถึงจะแค่ชั่วคราวก็ตาม
“บุ้งเจ๋งอะ เก่งโคตร”
ยัยเอสชื่นชมหลังจากรู้ผลการแข่ง เพราะจับฉลากแบ่งกลุ่ม ทั้งฉัน ยัยเอส และบุ้งกี๋เลยอยู่กันคนละทีม และเนื่องจากผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชายเลยแบ่งได้ทั้งหมดสามทีม ขณะที่ผู้ชายแบ่งได้แค่สองทีม เพราะงั้นการแข่งของพวกผู้ชายใช้แค่รอบเดียวก็รู้ผล แต่ของผู้หญิงต้องใช้การแข่งแบบเจอกันหมด เลยต้องใช้เวลานาน กว่าจะรู้ผลก็เกือบสี่โมงเย็นโน่น
ถึงจะเป็นการจับทีมแข่งแบบกะทันหัน และเหมือนจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่พอลงสนามทุกคนกลับเอาจริงเอาจังกันน่าดู พวกผู้ชายยังพอแข่งกันด้วยฝีมือแต่ผู้หญิงเนี่ยสิ วิ่งไปพลางดึงเสื้อดึงแขนกันไปพลาง มองดูเป็นเกมที่วุ่นวายอุตลุดแต่ก็เรียกเสียงเชียร์ได้มากกว่า แน่นอนว่าการละเล่นที่ส่งเสียงดังแบบนั้นย่อมต้องเรียกแขกเป็นธรรมดา นอกจากพวกเราแล้วก็มีคนอื่นมายืนดูด้วยความสนอกสนใจไม่ต่างจากกิจกรรมในช่วงเช้านัก
“จะชนะอยู่แล้วเชียว” ฉันเอามือปาดเหงื่อ เผลอจริงจังไปหน่อย เล่นเอาหอบไปเลย เมื่อกี้ถูกยัยบุ้งกี๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตัดบอลไปต่อหน้าต่อตาตั้งหลายที นึกแล้วก็เจ็บใจ เห็นขาผอมๆ แบบนั้นแต่วิ่งเร็วฉิบหาย ไล่ตามก็ไม่ทัน
“ก็ดีกว่าได้ที่โหล่แหละน่า ชิ” เอสเบ้หน้า เพราะทีมของเธอแพ้ได้ที่สามเลยต้องถูกลงโทษด้วยการเป็นเบ้ให้รุ่นพี่เย็นนี้ ส่วนทีมของฉันได้ที่สอง ไม่ได้รางวัล และไม่ถูกลงโทษ ระหว่างนั้นยัยบุ้งกี๋ที่ถูกเรียกไปรับคำใบ้ด้านหน้าก็เดินกลับมารวมกลุ่มกับพวกเรา
“บุ้งเป็นไงบ้าง คำใบ้ว่าไงเหรอ” เอสเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ลืมความห่อเหี่ยวของตัวเองก่อนหน้านี้ไปทันที
บุ้งเปิดกระดาษที่เขียนคำใบ้เอาไว้อย่างไม่หวง มันเขียนว่า ‘ผู้หญิง’
แล้วยัยบุ้งก็เอากระดาษอีกสองใบซึ่งมีคำใบ้ที่ได้รับก่อนหน้านี้ออกมาเปิดเทียบกัน ‘ผมดำ’ ‘เสียงเพี้ยน’
“อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง” บุ้งกี๋ทำหน้าแห้ง รู้สึกว่าคำใบ้ก่อนหน้านี้แทบจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
“อืม อย่างน้อยก็ตัดผู้ชายออกไปได้” เอสพยักหน้าเห็นด้วย และเหมือนทีมที่ชนะทุกคนจะได้คำใบ้เหมือนยัยบุ้งกี๋ คือระบุเพศของพี่รหัส ซึ่งสำหรับบางคนก็ช่วยได้มาก แต่บางคนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย