หลังจากทุกคนมารวมตัว เช็กชื่อครบ ไม่มีใครขาด รุ่นพี่ที่ถือโทรโข่งชื่อ ‘พี่เสาร์’ คนเดิมก็ออกมาพูดถึงความเป็นมาของกิจกรรมในครั้งนี้ บอกว่าเป็นประเพณีที่ต้องสืบทอด เป็นธรรมเนียมที่ต้องรักษา และส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น จากนั้นก็ร่ายยาวไปจนถึงความเคารพนบนอบต่อรุ่นพี่บลาๆๆ
...พี่เสาร์ใช้เวลาไปเกือบสิบนาทีในการพูด ก่อนให้พวกเราแบ่งกลุ่มเล่นเกมเป็นการละลายพฤติกรรมและกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวอีกหลายต่อหลายเกม คนแพ้ในแต่ละเกมก็จะถูกลงโทษด้วยการออกไปเต้นท่าแปลกๆ หรือไม่ก็ถูกป้ายหน้าด้วยแป้งหลากหลายสี
ตอนยัยอิมเมจแพ้และถูกทาแป้ง ยัยนั่นโวยวายเพราะเห็นสีแป้งไม่น่าไว้ใจ กลัวว่าหน้าตัวเองจะแพ้ รุ่นพี่เลยบอกว่าเป็นสีผสมอาหาร ไม่มีอันตราย ไม่ต้องกังวล แต่อิมเมจก็ไม่วางใจ ยอมถูกแป้งเด็กสีขาวโบ๊ะทั้งตัวดีกว่าเอาแป้งสีเขียวมาทาแก้ม ฉันล่ะนับถือยัยนั่นจริงๆ
เสียงทำกิจกรรมค่อนข้างดังจึงเป็นจุดสนใจของคนที่มาพักโรงแรมอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะทำการขออนุญาตใช้สถานที่เอาไว้แล้วจึงไม่ถือว่าเป็นการรบกวน มีคนมายืนดูพวกเราเล่นเกมกันประปราย บางคนแค่เดิน บางคนหยุดดูแป๊บๆ แล้วก็ไป แต่หลายคนกลับปักหลักดูด้วยความเพลิดเพลิน หนึ่งในนั้นมีผู้ชายที่ใช้ไม้ค้ำยันอยู่ด้วย
“เพื่อนพี่สาวแกชื่อไรเหรอ ฉันเห็นเขายืนมองแกอยู่ตรงนั้นนานแล้ว”
ยัยเอสสะกิด ฉันรู้แล้วแต่แค่ทำเป็นไม่สนใจ พอยัยเอสพูดฉันเลยต้องหันไปทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ สบสายตากับฮานที่กำลังจ้องฉันอยู่ ฉันรู้สึกร้อนวาบในอก ดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
“...ท่าทางเขามีธุระกับแกอยู่หรือเปล่า”
“ไม่หรอก คงมาดูเหมือนคนอื่นนั่นแหละ”
ยัยเอสทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ถูกฉันลากไปคุยเรื่องอื่นซะก่อนทำให้ยัยนั่นลืมฮานไปชั่วคราว แต่ใครจะไปคิดว่าฮานจะปักหลักอยู่ที่เดิมจนถึงเวลาพักเที่ยง ถ้าจะว่างขนาดนั้นสู้กลับห้องไปนอนพักผ่อนไม่ดีกว่าเหรอ จะมายืนทรมานตัวเองเพื่ออะไรก็ไม่รู้ คิดว่าการยืนหยัดแบบนั้นจะทำให้ฉันใจอ่อนหรือไง โง่เง่าไม่มีใครเกิน
ฉันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและกำลังเดินออกมาก็ถูกบุ้งกี๋ทัก “เพนนีมีคนมาหาแหนะ”
ฉันหันกลับไปมองแล้วก็เห็นฮานที่อาศัยไม้ค้ำเดินฝ่ากลุ่มคนกำลังตรงมาทางนี้ ฉันรู้สึกคล้ายถูกมัดมือชกให้เผชิญหน้ากับเขา ท่ามกลางสายตาของคนในคณะแบบนี้ ต่อให้ฉันไม่แคร์ใครเลยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะระเบิดตัวเองต่อหน้าคนอื่นเพียงเพราะผู้ชายที่ฉันหมดความสนใจไปแล้ว
ฉันมองหน้ามึนๆ ของฮาน ก่อนหันไปเอ่ยกับเพื่อนที่ยืนระริกระรี้อยู่ข้างๆ ว่า “พวกแกไปก่อน ฉันขอคุยกับเขาแป๊บ”
“อื้ม” บุ้งกี๋
“ได้ๆ” เอส
ฉันมองส่งสองคนนั้นเดินห่างออกไปในระยะหนึ่งก็หันกลับมามองฮาน “คิดจะทำอะไร ประสาทหรือไง”
แน่นอนว่าฉันกดเสียงพูดที่ทั้งเบาและต่ำ จ้องฮานด้วยสายตามาคุ
“ไปกินข้าวเที่ยงกัน”
“ไม่!” ฉันปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยเชิดหน้าเดินออกมาแต่
“น้องนี”
“หยุดนะ อย่าเรียกฉันแบบนั้น”
ฉันหันไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ฮานอย่างแสลงหูกับคำเรียกที่ไม่ชินนั่น ได้ยินแล้วคันที่ใจยุบยิบบอกไม่ถูกจริงๆ
ฮานมองตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เขาเขยิบเข้ามาใกล้ “ไม่ชอบเหรอ”
ฉันถลึงตากลับไป
“ฉันไม่สนหรอกนะว่านายมาทำอะไรที่นี่ แต่เลิกมาวุ่นวายสักที น่ารำคาญ”
“นีทำเหมือนพี่เป็นอากาศสิ มีก็เหมือนไม่มี”
นี่มัน... คำพูดนี้ฉันเคยพูดกับฮานมาก่อน ตอนที่ฉันยังคลั่งไคล้และตามติดเขาแจทำให้เขารำคาญและเอ่ยปากไล่หลายต่อหลายครั้งแล้วฉันก็หน้าด้านพูดออกไป
‘ฮานก็ทำเหมือนนีเป็นอากาศสิ มีก็เหมือนไม่มี อยู่ก็เหมือนไม่อยู่...’
...แต่ขาดไม่ได้
ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้นออกไป ไม่รู้ว่าฮานรู้เรื่องนั้นหรือเปล่า ทว่าเวลานี้กลับเป็นฉันที่ต้องกล้ำกลืนกับคำพูดเหล่านั้นแทน
“ไปกันเถอะ พี่สั่งให้เขาเตรียมอาหารรอไว้แล้ว”
ระหว่างที่ฉันกำลังใจลอยก็ได้ยินเสียงฮานพูด ฉันมองหน้าเขาอย่างมึนงง เมื่อสบสายตาเคลือบแคลงของฉันฮานก็ไม่พูดอะไรมาก เขาขยับตัวโดยใช้ไม้ค้ำยันก้าวนำออกไป
“นี่...” ฉันมองแผ่นหลังนั่นอย่างลังเล แต่ก็ตัดสินใจตามฮานไป ไม่ใช่ว่าฉันใจอ่อนหรือรู้สึกหวั่นไหวอะไร แค่อยากคุยกับเขาให้เด็ดขาด จะได้เลิกตามวอแวฉันสักที
ฮานนำฉันขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้าของตึกตึกหนึ่งนอกจากสระว่ายน้ำกลางแจ้งแล้วก็ไม่มีร้านค้าอะไรเลย แต่ตรงระเบียงกลับมีโต๊ะอาหารสำหรับสองที่ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีอาหารถูกเตรียมเอาไว้ก่อนแล้วโดยมีฝาครอบกันฝุ่นกันลมเอาไว้ดิบดี พนักงานที่ยืนปักหลักคอยอยู่เมื่อหันมาเห็นฮานก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบเดินเข้ามาอย่างรู้หน้าที่
“สวัสดีครับคุณฮาน อาหารพร้อมแล้วครับ”
“อืม”
“เชิญครับ”
พนักงานผายมือเชิญอย่างสุภาพ เมื่อเห็นฉันยืนงกๆ เงิ่นๆ เขาก็ผายมืออีกรอบเป็นสัญญาณบอกให้ฉันตามฮานไป ไอ้ท่าทางนุ่มนวลแต่เหมือนบีบบังคับกันกลายๆ แบบนี้ต่อให้อยากขัดขืนก็ขัดขืนไม่ออก ฉันข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจ เดินตามหลังฮานมาที่โต๊ะ
เมื่อพวกเรานั่งที่กันแล้ว พนักงานก็จัดการเปิดฝาครอบอาหารแต่ละอย่างอย่างคล่องแคล่วและเบามือ ใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเรียกได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
พูดจบพนักงานก็เดินออกไปหลบอยู่ไกลๆ ซึ่งถ้าจะแอบฟังก็ไม่ได้ยินแน่นอน วิธีที่จะสื่อสารได้คือยกมือเรียก
หลังพนักงานออกไปแล้ว ฉันมองอาหารบนโต๊ะด้วยความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเพราะเป็นของโปรดฉันทั้งนั้น ฉันไม่สนว่าฮานรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบกินของพวกนี้ แต่ฉันบอกได้เลยว่าต่อให้เอาของกินมาล่อฉันก็ไม่ใจอ่อนหรอก ตรงข้ามมีแต่จะทำให้กำแพงในใจฉันมันสูงขึ้นกว่าเดิม
“อาหารมื้อสุดท้ายของเราเหรอ”
ฉันท้วง มองฮานด้วยสายตาไร้เยื่อใย
“ใครบอก นี่น่ะมื้อเริ่มต้นต่างหาก”
ฮานตอบกลับมาอย่างลื่นไหล น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ถามจริง นี่แอบตามมาใช่ไหม”
ฉันขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เอ่ยถามสิ่งที่คาใจอย่างไม่อ้อมค้อม
“เปล่า”
“ไม่เชื่อ”
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ตามนีมาล่ะ”
“ก็…” ตามมาง้อฉันไม่ใช่หรือไง ทั้งที่คิดแบบนั้นอยู่ในหัวฉันกลับไม่กล้าที่จะพูดออกไป ลำคอตีบตัน เส้นเสียงขาดหายไปชั่วคราว ฮานมองฉันละล่ำละลักครู่หนึ่ง รอยยิ้มอ่อนก็ปรากฎที่มุมปากของเขา เป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่… แต่สายตาเฉียบคมที่เหมือนกำลังมองฉันอย่างทะลุปรุโปร่งนั่นก็ทำเอาฉันรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว
“พี่มาดูสถานที่สำหรับเดิมพันแข่งรถ รอบนี้คู่แข่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ก็เลยอยากได้ทำเลที่อยู่ใกล้กับพรมแดนหน่อยน่ะ”
ฮานเล่ารายละเอียดแต่ว่ามันบังเอิญไปไหม ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คม แต่ก็ยากที่จะค้นเจอความจริง
“เหรอ” ฉันเบ้ปากอย่างไม่สนใจเรื่องที่เขาพูด “แล้วการที่มาตามติดฉันแบบนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นไม่ทราบ”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นก็จริง แต่มันเกี่ยวกับเรื่องของเรา… ลูกของเรา”
พอได้ยินคำนั้นในอกฉันรู้สึกเจ็บเหมือนโดนกรีด
“ไม่มีอะไรจะคุยทั้งนั้น” ฉันลุกขึ้น แต่ว่าฮานคว้าข้อมือฉันเอาไว้ก่อนที่ฉันจะได้เดินออกมา
“เพนนี...”
“ปล่อย!” ฉันสะบัดข้อมือหลุดทันควัน จ้องเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง ฉันรู้อยู่แล้วว่าฮานต้องการอะไร แต่พอเขาพูดออกมาตรงๆ มันกลับทำให้ฉันโกรธจนรับไม่ได้
“อย่าดื้อสิ ภามก็ลูกพี่เหมือนกัน นีไม่อยากเห็นลูกมีความสุขเหรอ”
“เหอะ” ฉันได้ฟังที่ฮานพูดแล้วขำ “ตอนนี้ลูกสุขสบายดีทุกอย่างต่อให้ไม่มีพ่อลูกฉันก็ไม่เดือดร้อน เลิกสำคัญตัวเองได้แล้ว”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ” ฮานโต้กลับมาอย่างเยือกเย็น หนาวเหน็บจับหัวใจ “ไม่มีเด็กคนไหนมีความสุขท่ามกลางครอบครัวที่แตกแยก พี่รู้เรื่องนั้นดี และพี่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องเจอแบบเดียวกัน”
คำพูดที่เหมือนประสบมาก่อนของฮานทำฉันจ้องเขานานเป็นพิเศษ ฉันไม่เคยรู้เรื่องครอบครัวฮานมาก่อน สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับเขาเป็นเรื่องพื้นๆ รู้เท่ากับที่คนอื่นรู้ มากสุดฉันก็แค่เอาชื่อนามสกุลฮานไปค้นในอินเตอร์เน็ต แต่ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหมือนเอาชื่อดาราฮอลลีวูดไปค้นแล้วมีรูปคนอื่นที่ชื่อแส้เหมือนกันโผล่ขึ้นมาเพียบนั่นแหละ เลยไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง
...แปลกหรือเปล่าที่ต่อให้ตอนนี้ฉันจะตั้งป้อมรังเกียจฮานแต่ฉันก็ยังอยากรู้เรื่องครอบครัวของเขา อย่างกับว่าฉันยังไม่ลืมความรู้สึกที่อยากจะเข้าใกล้ฮานอีกนิดเลย เพียงแต่ความรู้สึกนั้นมันหมดความหมายสำหรับฉันแล้ว
ฉันรู้ว่าครอบครัวไม่สมบูรณ์มันเป็นยังไง รอบตัวฉันเหมือนจะโอบล้อมไปด้วยคนที่มีชีวิตครอบครัวไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ ฉันเองก็มีแม่ มีพ่อ ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน คะนิ้งเองก็เสียแม่ไปก่อนเวลาอันควรก็ไม่เห็นยัยนั่นจะมีปมอะไรในชีวิต ส่วนริกกี้ที่เสียแม่ไปตั้งแต่เกิดและมีน้าริชเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวนั้นฉันไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ เขามันก็เท่ดีอยู่หรอก แต่ในสายตาพ่อแม่คงไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเติบโตมาแบบนั้น
“ทำเป็นพูดดี ...ทีเมื่อก่อนไม่เห็นจะใส่ใจ คิดเหรอว่าแค่ทำดีด้วยไม่กี่ทีแล้วฉันจะยอมรับ” ฉันสะบัดเรื่องความสมบูรณ์พร้อมของครอบครัวอะไรนั่นออกจากหัวแล้วกวาดสายตามองอาหารซึ่งเต็มไปด้วยของโปรดฉันรอบหนึ่ง “...ไม่ว่านายจะวางแผนอะไร ก็ไม่มีทางทำให้ฉันใจอ่อนได้หรอก เสียเวลาเปล่า”
“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน... พี่ไม่เชื่อหรอกว่านีลืมพี่แล้วจริงๆ”
ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ฮานจับท่อนแขนฉันแล้วดึงเข้าไปใกล้ เป็นเวลาเดียวกับที่เขายื่นหน้าเข้ามาแล้วพูดในระยะประชิด สายตาของเราอยู่ใกล้กันจนเห็นเงาภาพของกันและกันสะท้อนอยู่ในแววตาอีกฝ่าย
“แต่ถึงนีจะลืม ...พี่ก็จะทำให้นีคิดได้ว่าใครคือคนที่นีรัก”
“....”