กิจกรรมช่วงเย็นเป็นการเที่ยวชมถนนคนเดิน หลังจากปล่อยให้ทุกคนไปทำธุระส่วนตัวก็นัดรวมพลกันอีกครั้งที่หน้าโรงแรมตอนห้าโมงครึ่ง ใครสายรถไม่รอ ให้นั่งตุ๊กตุ๊กโรงแรมไปแทนและก็จ่ายค่ารถเอาเอง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครสายเลย ทุกคนมาขึ้นรถทันเวลา ระหว่างทางพวกรุ่นพี่ไล่เช็กชื่อพร้อมกับแจกเงินค่าขนมคนละสามร้อยชดเชยเรื่องอาหารเย็นที่ไม่มีเลี้ยง
เนื่องจากนั่งรถบัสจึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอด เพราะส่งพวกเราแค่ปากซอยจากนั้นคนขับก็วนกลับไปที่โรงแรม และจะมารับพวกเราอีกทีตอนสามทุ่มครึ่งที่จุดเดิม
จากโรงแรมถึงถนนคนเดินไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็ถึง แต่เสียเวลาตอนขึ้นลงรถเนี่ยแหละ ยัยเอสกับคนอื่นๆ ที่ถูกลงโทษก็ยืนรอพวกรุ่นพี่กันหน้าสลอน ส่วนฉันกับยัยบุ้งเดินลอยชายเข้ามาข้างในก่อนและสลับกันถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กของสถานที่อย่างสบายใจ
“เสียดายไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมา” บุ้งกี๋บ่นก่อนหันไปเรียกคนที่เดินผ่านมาพอดี “รุ่นพี่... รุ่นพี่คะ ถ่ายรูปให้พวกเราได้ไหมคะ”
ยัยบุ้งกี๋... ฉันล่ะนับถือในความกล้าของหล่อนจริงๆ นึกยังไงไปใช้รุ่นพี่ปีสามเนี่ย แถมยังเป็นรุ่นพี่คนเดียวกับที่อยู่ในร้านกาแฟเมื่อตอนเที่ยงอีก บังเอิญเกินไปแล้ว
“ครับ?”
รุ่นพี่หันมามองบุ้งกี๋จากนั้นก็ชำเลืองมามองฉันแล้วเลื่อนกลับไปมองบุ้งกี๋พร้อมกับเผยยิ้มอ่อนโยน
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”
“เย้ ขอบคุณค่ะ นี่ค่ะ” บุ้งกี๋ยื่นโทรศัพท์มือถือให้รุ่นพี่ถ่าย แต่เขากลับปฏิเสธและบอกว่าจะใช้โทรศัพท์ตัวเองถ่ายเพราะถนัดมือกว่า ถึงจะรู้สึกแปลกๆ แต่บุ้งกี๋ก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ยัยนั่นเก็บโทรศัพท์แล้วรีบเดินมาเข้าฉากโพสต์ท่ากับฉันโดยมีรุ่นพี่เป็นมือกล้อง หลังถ่ายเสร็จก็ต้องขอดูรูปเป็นธรรมดา
“เอ่อ... พี่ฉลามส่งให้บุ้งได้ไหม” ยัยบุ้งกี๋ตีเนียนเรียกชื่อรุ่นพี่อย่างสนิทสนม “ขอแอดไลน์พี่หน่อยค่ะ บุ้งอยากได้รูป”
“ได้สิ”
ฉันยืนอยู่ข้างๆ ยัยบุ้งเงียบๆ มองสองคนนั้นแลกไลน์และส่งรูปให้กัน ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังติ๊งหน่องจากเครื่องยัยบุ้งกี๋ก็นึกว่าจะเสร็จแล้วที่ไหนได้พี่ฉลามดันหันมาพูดกับฉันว่า
“แล้วไลน์เพนนีล่ะ พี่จะได้ส่งรูปให้”
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะพี่ฉลามเดี๋ยวบุ้งส่งให้เพื่อนเอง”
“อ่อ ได้...”
บุ้งกี๋พรวดพราดพูดขึ้นมาด้วยเจตนาดีไม่อยากให้รุ่นพี่ยุ่งยาก แต่ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่ฉลามทำหน้าผิดหวังนิดๆ เขาดูเก้อๆ แวบหนึ่งก่อนจะหาเสียงของตัวเองเจอ “...แล้วนี่จะไปเดินเที่ยวเลยหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็จ่ายค่าจ้างพี่ก่อนโอเคไหม”
“ค่าจ้าง?”
“อื้ม ค่าจ้างถ่ายรูปน่ะ พี่คิดไม่แพงหรอก ข้าวมื้อเดียวก็พอ” พี่ฉลามยิ้มเจ้าเล่ห์
“เห... อะไรกัน นึกว่าจะช่วยฟรีๆ ซะอีก” บุ้งกี๋ตอบโต้ด้วยการทำแก้มป่องใส่ แต่สายตาพี่ฉลามดันมองมาที่ฉันซะส่วนมาก ทั้งที่ฉันไม่ได้ปริปากพูดสักคำตั้งแต่ถ่ายรูปเสร็จ มีแต่ยัยบุ้งกี๋ที่โต้ตอบกับเขาอยู่คนเดียว
ฉันว่าฉันดูออกว่าเขาคิดอะไรกับฉัน... ฉันแค่ไม่อยากเก็บมาคิดมาก
ถ้าฉันไม่หือไม่อือซะอย่าง เดี๋ยวเขาก็หยุดเองนั่นแหละ
“ข้าวมื้อหนึ่งกับรูปแค่สองสามรูปไม่แพงไปหน่อยเหรอ” บุ้งกี๋ทำการประท้วง ฟังจากน้ำเสียงเหมือนยัยนี่กำลังมีแผนอะไรอยู่ในใจ
“แพงเหรอ? งั้นพี่จะถ่ายรูปให้น้องสองคนตลอดคืนนี้เลยเป็นไง”
“จริงเหรอคะ!” ยัยบุ้งกี๋แทบจะกระโดดโลดเต้น “นี่บุ้งคิดดังขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ฮ่าๆ” พี่ฉลามเอามือจับท้ายทอยพลางยิ้มตาหยีให้กับความช่างจ้อของยัยบุ้งกี๋ ฉันลอบถอนหายใจ รู้สึกเหมือนยัยบุ้งกี๋กำลังทอดสะพานให้พี่ฉลามนั่นเข้าใกล้ฉันยังไงก็ไม่รู้ แต่จะโทษยัยนั่นก็ไม่ได้ เพราะดูท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
พี่ฉลามบอกว่ายิ่งมืดคนยิ่งเยอะ ดังนั้นจึงต้องหาร้านนั่งกินข้าวเอาแรงก่อน จริงๆ ตามสองฝั่งทางก็มีแผงลอยขายของกินไม่ขาดสาย แต่เขาแนะนำว่าควรหาร้านนั่งกินมื้อหลักให้เป็นกิจลักษณะแล้วค่อยแวะชิมอาหารตามแผงลอยตอนเดินเที่ยวอีกที ฉันน่ะยังไงก็ได้ จะนั่งแช่ในร้านข้าวจนถึงสามทุ่มครึ่งก็ไม่เดือดร้อนเพราะไม่ได้อะไรกับทริปนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนบุ้งกี๋มีหรือจะกล้าขัด พี่ฉลามว่ายังไงยัยนั่นก็ดีแต่พยักหน้าหงึกหงัก เรียกว่าไม่มีความคิดเป็นของตัวเองก็ไม่ผิด
“ร้านนี้อร่อยพี่เคยมา” พี่ฉลามบอก เขาทำตัวเป็นไกด์ให้เราสองคนไปแล้ว จากนั้นก็แนะนำเมนูอาหาร กระทั่งออกตัวเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์ ฉันกับบุ้งกี๋ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งเฉยๆ รอให้อาหารมาเสิร์ฟก็พอ
“อร่อยเปล่า”
เขาเอ่ยถามหลังจากเริ่มกินเข้าไปคำแรก ซึ่งไม่ระบุชื่อว่าถามใคร ยัยบุ้งกี๋ชิงตอบอย่างกระตือรือร้น
“อร่อยค่ะ เส้นเหนียวหนุ่มมาก รสชาติต่างจากร้านหน้าปากซอยบ้านบุ้งลิบลับ”
ยัยบุ้งกี๋กำลังวิจารณ์ก๋วยจั๊บยวนตรงหน้า ซึ่งเป็นแบบต้นตำหรับ มีเครื่องปรุงเครื่องเทศครบสูตรรสชาติจึงเข้มข้นและหอมกระตุ้นน้ำลายมากกว่า แต่ฉันเฉยๆ เพราะไม่ค่อยชอบกินแป้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้บ่น ก้มหน้ากินเงียบๆ สลับกับพูดบ้างเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมโต๊ะอึดอัด
แต่รู้สึกพี่ฉลามจะพยายามชวนฉันคุยเกินหน้าเกินตายัยบุ้ง แล้วยังถามเรื่องผู้ชายที่เข้ามาจับมือถือแขนฉันที่ร้านกาแฟอีก พอยัยบุ้งกี๋ได้ยินก็ทำหน้าตาตื่นขึ้นมา
“ใครเหรอ ใช่เพื่อนพี่สาวแกคนนั้นหรือเปล่า” บุ้งกี๋ถามด้วยน้ำเสียงคาดเดา ฉันสูดลมหายใจลึกจากที่ไม่อยากอาหารอยู่แล้วยิ่งรู้สึกอิ่มเข้าไปใหญ่
“อ๋อ… ไม่มีอะไรหรอก แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ”
ฉันบอกปัดเสียงแกนๆ แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่หยุดซักไซร้ โชคดีที่ยัยเอสไม่อยู่ด้วยไม่งั้นฉันอาจจะโดนยิงคำถามจนพรุนแล้วก็ได้
“ฉันนึกว่าแกไปกินข้าวเที่ยงกับเขาซะอีก ไหงโผล่ที่ร้านกาแฟล่ะ”
“ใครบอก แค่คุยธุระกัน คุยเสร็จก็แยกย้าย” ภาพตอนที่ผลักฮานล้มบนชั้นดาดฟ้าผุดเข้ามาในหัวพลอยทำให้จิตใจสั่นไหว ราวกับว่าฉันกำลังรู้สึกผิดที่รุนแรงกับเขาทั้งที่สภาพร่างกายเขายังไม่แข็งแรงไม่! เดี๋ยวสิ ทำไมฉันต้องมานึกใคร่ครวญถึงสิ่งที่มันผ่านไปแล้วด้วยล่ะ ฮานนั่นล่ะรนหาที่เอง ฉันไม่ผิด
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเพนนี ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีก็จริงแต่ฉันว่าเขามองแกแปลกๆ เหมือน…” บุ้งกี๋หยุดพูด มองฉันด้วยสายตาเกรงอกเกรงใจไม่กล้าเอ่ยออกมาตรงๆ
แหม… ป่านนี้แล้วยังจะมาอะไรอีก พูดมาขนาดนั้นแล้วไม่ต้องกั๊ก พูดมาให้หมด!
“เหมือนอะไร” ฉันถามอย่างคาใจ เพราะดูเหมือนยัยบุ้งกี๋ต้องการให้กระตุ้น ไม่งั้นคงไม่ยอมพูดแน่
“…ก็ เหมือนเป็นเจ้าของแกน่ะ นี่ถ้าแกไม่บอกว่าเป็นเพื่อนพี่สาว ฉันคงคิดว่าเขาเป็นแฟนแกแล้วตามมาง้อแก”
หน้าฉันชาวาบ รู้สึกคันยุบยิบไปหมด รีบปฏิเสธข้อสันนิษฐานของยัยบุ้งกี๋อย่างลนๆ
“บ้า แกมโนไปเองเหอะ เขาอายุห่างจากฉันตั้งหลายปี จะเป็นแฟนกันได้ยังไง ฉัน… ฉันชอบกินเด็กไม่รู้เหรอ”
“เห!... จริงอ่ะ? ชอบเด็กเหรอ ไม่รู้เลยนะเนี่ย”
“….”
บุ้งกี๋ทำหน้าล้อเลียน ทำให้ฉันรู้ตัวว่ากำลังถูกยัยนั่นปั่นหัวเข้าแล้ว บ้าจริง ที่ฉันเสียอาการขนาดนี้ก็เพราะถูกจี้เรื่องฮานนั่นแหละ
พี่ฉลามนั่งฟังเราสองคนคุยกันอย่างไม่มีโอกาสแทรก แต่ฉันแอบเห็นเขาทำหน้าตกใจแวบหนึ่งตอนได้ยินฉันบอกว่าชอบกินเด็ก ถึงตอนนี้ใบหน้าพี่ฉลามจะแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจต้องกำลังสับสนอยู่แน่ๆ
“เออ… แล้วผู้ชายคนนั้นมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ยัยบุ้งกี๋วกกลับมาที่เดิม ทั้งที่ฉันลากยัยนั่นออกนอกเรื่องไปแล้วแท้ๆ ฝังใจอะไรนักหนาก็ไม่รู้
“มาพักผ่อน พักฟื้นร่างกายน่ะ” ฉันตอบตามสภาพที่เห็น ไม่ได้พูดถึงปูมหลังของฮาน เพราะถ้าพูดว่าเขาเป็นนักแข่งกลัวว่าอาจจะต้องเล่ายาว ฉันไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเรื่องของผู้ชายคนนี้อีกแล้ว หลังพูดเสร็จฉันก็ชิงถามขึ้นก่อนที่บุ้งกี๋จะทันได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
“มัวแต่พูดกินอิ่มแล้วเหรอ”
“อ๊ะ… ฉันว่าจะเบิ้ลอีกถ้วย แต่พอคิดถึงของกินข้างนอกนั่นแล้วไม่เอาดีกว่า เผื่อท้องไว้กินอย่างอื่นมั่ง” บุ้งกี๋ทำหน้าเสียดายพลางเลื่อนถ้วยก๋วยจั๊บที่เหลือแค่น้ำซุปก้นถ้วยออกห่างตามด้วยดื่มน้ำในขวด
“งั้นเก็บตังค์เลยไหม ข้างนอกคนเริ่มเยอะแล้วด้วย” ฉันเสนอแนะ
“ถามพี่ฉลามก่อนสิ” ยัยบุ้งกี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายตำหนิ และพี่ฉลามก็พูดสวนขึ้นมาทันควัน
“พี่อิ่มแล้วล่ะ”
“งั้นก็เก็บตังค์เลยเนาะ” บุ้งกี๋ย้ำ
“ครับ”
แล้วพี่ฉลามก็รับหน้าที่เรียกพนักงานตามระเบียบ ถึงก่อนหน้านี้เขาบอกให้ฉันกับบุ้งกี๋เลี้ยงแต่ตอนจ่ายตังค์จริงๆ เขากลับเป็นคนเลี้ยงเราสองคนแทน ฉันกับบุ้งกี๋ขอจ่ายคนละครึ่งเขาก็ไม่ยอม ยืนกรานจะเป็นเจ้ามือให้ได้ แบบนี้ยิ่งทำให้ฉันกับบุ้งกี๋เกรงใจพี่ฉลามมากกว่าเดิม
“ที่จริงให้พวกเราจ่ายก็ดีแล้วแท้ๆ” บุ้งกี๋ยังไม่หยุดพูดเรื่องนั้น
“ไว้ค่อยเลี้ยงพี่คืนวันหลังก็ได้” เขาพูดทีเล่นทีจริง แต่สายตาที่มองมาทางฉันกลับดูหวังผลชอบกล
คือว่า… หนูมีลูกแล้วนะ พี่รับได้เหรอ ฉันได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูด
พวกเราเริ่มเดินจากหน้าร้านมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ ตามกระแสของผู้คน ระหว่างทางเจออะไรน่ากินหรือผ่านร้านของฝากก็จะแวะชมแวะชิมแทบจะทุกร้าน ช่วงที่เราสองคนเพลิดเพลินกับข้าวของตรงหน้าพี่ฉลามที่ตามมาด้วยก็จะยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปราวกับเป็นช่างภาพส่วนตัวจริงๆ บางครั้งเขาก็เรียกเราสองคนให้หันไปมองกล้อง แต่บางครั้งก็ถ่ายตอนเผลอ แรกๆ ก็มีต่อว่ากันบ้างเพราะกลัวรูปจะออกมาไม่สวยแต่หลังๆ เริ่มสนุกจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปๆ มาๆ ดันคลาดสายตากันซะได้ ฉันผลุบเข้าไปในร้านผ้าพันคอใกล้กับร้านเสื้อที่บุ้งกี๋ดู แต่โผล่หน้าออกมาอีกทีก็ไม่เจอบุ้งกี๋ที่ร้านเสื้อแล้ว แม้แต่พี่ฉลามที่คอยตามตูดฉันก็หายไปด้วย คงเพราะคนเยอะด้วยแหละ ทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นฉันที่เดินหายเข้าไปในร้นผ้าพันคอ
ฉันเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหายัยนั่น จนรู้ว่าเธออยู่กับพี่ฉลามและน่าจะเดินเลยจากจุดนี้ไปประมาณสามสี่ร้าน บุ้งกี๋บอกให้ฉันเดินตรงไปเพื่อจะได้รวมกลุ่มแต่ระหว่างนั้นดันมีทางแยกเล็กๆ เส้นหนึ่ง มีคนเดินเข้าออกไม่มาก น่าจะทะลุริมโขง ฉันเดินเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ นั่นอย่างไม่ลังเล พร้อมกับส่งข้อความบอกบุ้งกี๋ให้ล่วงหน้าไปก่อน ไม่ต้องรอ ก่อนเก็บโทรศัพท์โดยไม่คิดจะเปิดดูข้อความตอบกลับจากยัยนั่น