คะนิ้ง : อ้าว ฮานอยู่ที่นั่นเหรอ ?
คะนิ้งเพิ่งส่งข้อความกลับมาตอนเช้า ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ ตอแหลมาก
ฉันละเชื่อเธอเลย ฉันพิมพ์ตอบยัยนั่นระหว่างทางเดินไปกินข้าวเช้าที่ล็อบบี้
เพนนี : ไม่รู้เหรอ
คะนิ้ง : จะรู้ได้ไง ไม่ได้ตัวติดกับฮาน
เพนนี : แน่ใจนะ
คะนิ้ง : สงสัยอะไรเนี่ย พูดมาตรงๆ
เพนนี : มีไม่กี่คนที่รู้ว่าฉันจะมาเข้าค่ายที่เชียงคาน
คะนิ้ง : ฮานอาจจะไปพักผ่อนก็ได้ ตั้งแต่ย้ายโรงพยาบาล ก็ไม่มีใครได้ข่าวจากฮานเลย ไม่มีใครรู้ความเคลื่อนไหวของเขาทั้งนั้น ขนาดริกกี้ยังไม่รู้เลยว่าฮานอยู่ที่ไหน
คะนิ้งพิมพ์กลับมายาวเหยียด ฉันอ่านแล้วแต่ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญคำบอกกล่าวของคะนิ้ง เสียงยัยเอสที่มาด้วยกันก็ดังขึ้น
“คนเยอะจัง ไม่ได้มีแค่พวกเราสินะ ดูสิ ฝรั่งคนนั้นงานดีมาก บุ้งๆ แกเก่งภาษาแกไปตีสนิทเขาหน่อยสิ”
“จะบ้าเหรอ” บุ้งกี๋แว้ดกลับ พลางถอนหายใจให้กับคำพูดสิ้นคิดของเพื่อน
ฉันเก็บโทรศัพท์ลง มองไปทางฝรั่งที่กำลังตกเป็นหัวข้อซุบซิบ หล่อสมกับที่ยัยเอสกรี๊ดกร๊าดจริงนั่นแหละ
“บุ้ง เอส เพนนีหลับสบายไหมเมื่อคืน” เดี่ยวเพื่อนในกลุ่มเดินเข้ามาทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พวกนั้นเพิ่งมาถึงเหมือนกัน
“หลับเป็นตายเลยล่ะ”
“เมื่อคืนแอบเห็นใครออกไปกินข้าวรอบดึกคนเดียว” วินเพื่อนอีกคนเหล่มองมาที่ฉัน เขาติดตามไอจีฉันอยู่ น่าจะเห็นที่ฉันโพสต์เมื่อคืนแล้ว
ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน พอได้ยินเรื่องนั้นยัยเอสกับบุ้งกี๋ก็หันมาร่วมวงด้วย แต่ภาพแกงจืดเต้าหู้เมื่อคืนมีหรือจะสู้อาหารสดใหม่ที่อยู่ตรงหน้า พวกนั้นถกเรื่องฉันได้ไม่นานก็ถูกกลิ่นหอมหวนของอาหารดึงดูด รีบชวนกันไปหาโต๊ะนั่งเหมาะๆ พวกเรามีห้าคน โต๊ะหนึ่งนั่งได้สูงสุดหกคน แต่ก็ไม่เห็นโต๊ะไหนคนเต็ม ส่วนใหญ่จะแยกกันนั่งตามใจชอบ
“พวกแกไปตักอาหารก่อน เดี๋ยวฉันเฝ้าโต๊ะให้”
ฉันบอกอย่างใจดี ระหว่างรอพวกนั้นไปตักของกิน ฉันเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาแม่ ถามไถ่ถึงลูกชาย แม้ว่าเมื่อเช้าตอนตื่นนอนจะทักไปถามแล้วรอบหนึ่ง
ระหว่างพิมพ์โต้ตอบกลับแม่ เก้าอี้ข้างๆ ก็ถูกดึงออก ฉันเงยหน้าขึ้นมอง ตอนแรกนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว กำลังจะทักเลยว่ามีอะไรกินบ้าง แต่ใบหน้าที่เห็นกลับไม่ใกล้เคียงกับหน้าเพื่อนฉันคนไหนเลย คำพูดฉันค้างอยู่ในลำคอมองสบสายตาของฮานอย่างอึ้งๆ
“ทำอะไรน่ะ ตรงนี้นั่งไม่ได้!” ฉันดันเก้าอี้กลับเข้าไปใกล้โต๊ะอย่างไม่ต้อนรับ
“มีคนนั่นแล้วเหรอ”
“มี!”
“….”
ยัยเอสกับคนอื่นๆ ถือจานข้าวกลับมาในจังหวะที่แย่มาก ทุกคนเดินอ้อมฉันกับฮานไปดึงเก้าอี้ตัวอื่นออกนั่งพลางส่งสายตาสงสัยมาที่เรา ถึงจะนั่งกันครบทุกคนก็ยังเหลือเก้าอี้เศษอยู่หนึ่งตัว และก็เป็นตัวที่ฮานวางมือค้างเอาไว้
“ใครเหรอ” ยัยเอสที่นั่งติดฝั่งขวาของฉันยื่นหน้าเข้ามาถามเสียงกระซิบพลางลอบสังเกตใบหน้าของฮานด้วยสายตาแวววาว อาการบ้าผู้ชายกำเริบ
ท่าทางระริกระรี้ของเอสทำฉันอยากเอามือกุมขมับ
ฉันชำเลืองมองยัยเอสแต่ไม่ได้ตอบคำถาม ดึงสายตากลับมาที่ตัวต้นเหตุ “ไปสิ! ที่อื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปนั่ง”
ฮานมองสายตาขับไล่ไสส่งของฉันนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนฉันอย่างลอยหน้าลอยตา
“ขอนั่งด้วยคนได้หรือเปล่า”
“คะ? ได้ค่ะได้ เหลือที่หนึ่งพอดี” ยัยเอสแทบจะลุกขึ้นมาประเคนเก้าอี้ให้ฮาน
ฉันสูดหายใจลึกหันหน้าฉุนๆ ไปทางยัยเอส แต่ยัยนั่นกลับตีสีหน้าแม่พระกลับมา ฉันละเชื่อเลย เมื่อฮานทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ลุกขึ้นไปตักอาหารด้วยสีหน้าตึงๆ
ฮานใช้ไม้ค้ำยันที่ดูเข้ากับบุคลิกของตัวเองตามหลังฉันมาเงียบๆ พอฉันหยิบจานจะตักข้าว เสียงฮานก็ดังขึ้นใกล้ๆ ใบหู
“พี่อยากกินไข่ดาว”
“นี่! ถอยออกไปห่างๆ นะ” ฉันหันกลับไปถลึงตาใส่ฮาน เขายืนใกล้ฉันชนิดที่แทบจะสิงร่างได้อยู่แล้ว เล่นเอาหน้าฉันร้อนผ่าวไปหมด พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เรา
“แล้วมาบอกทำไม อยากกินก็ตักเอง”
“พี่ถือไม่ได้” เขาส่งสายตาลงไปที่ไม้ค้ำยัน แต่มืออีกข้างยังว่าง
“มืออีกข้างก็มี ตักเองสิ”
“ตักให้พี่ไม่ได้เหรอ ขอร้องล่ะ”
“....” ฉันแสยงหูอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายหนาวสั่นเพราะไม่ชินที่ได้ยินฮานขอร้องด้วยเสียงออดอ้อนแบบนั้น
ที่ฉันนิ่งไม่ใช่เพราะตอบโต้ไม่ถูก แต่กำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออก
“หน้าไม่อาย” ฉันกดเสียงพูดจนคล้ายสบถ มองค้อนฮานด้วยสายตาชิงชังก่อนเดินไปหาพนักงานที่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ
“....” ฮานส่งสายตามองตาม สงสัยว่าฉันคิดจะทำอะไร
“ขอโทษนะคะ พอดีว่าลูกค้าคนนั้นตักอาหารเองไม่ได้ รบกวนพี่ช่วยไปดูแลเขาหน่อยค่ะ”
พนักงานทำหน้าแปลกใจที่ถูกไหว้วาน แต่เมื่อเหลือบเห็นฮาน จะด้วยร่างกายที่ไม่สะดวกหรือเพราะหน้าตาที่หล่อบาดใจของเขาไม่แน่ใจ พนักงานถึงกับพยักหน้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น รีบเดินเข้าไปดูแลฮานทันควัน
ฮานมองพนักงานที่เดินยิ้มแย้มเข้าไปหาแล้วมองฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ต้องถอดใจเพราะถูกพนักงานรุกใส่แบบไม่เปิดโอกาสให้ถอย
ฉันมองฮานด้วยสายตาเยาะเย้ย ซ่อนรอยยิ้มสะใจเอาไว้ เดินมาตักอาหารอย่างสบายใจ
“ใครน่ะเพนนี คนรู้จักเหรอ” พอฉันกลับมายัยเอสก็รีบยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างอยากรู้อยากเห็น คนอื่นๆ ก็มองมาด้วยท่าทางไม่ต่างกัน
“ไม่... ไม่มีอะไรหรอก” ฉันจะบอกว่าไม่รู้จักแต่ก็ออกจะน่าสงสัยไปหน่อย เลยกลับคำพูดกะทันหัน “...แค่คนรู้จักของพี่สาวน่ะ”
“แล้วเขาเป็นอะไร เห็นใช้ไม้ค้ำ” คราวนี้เป็นคำถามจากบุ้งกี๋
“รถชน”
พวกนั้นเงียบ นึกว่าได้ยินแล้วจะรู้สึกเห็นใจจนไม่กล้าถามต่อแต่ที่ไหนได้เพราะเจ้าตัวกลับมาแล้วนี่เอง
ฮานเดินนำพนักงานมาที่โต๊ะ เขาเคลื่อนไหวช้าแบบนั้นแต่พนักงานก็ยังใจเย็น ค่อยๆ เดินตามมาโดยเว้นระยะห่างจากฮานอยู่เล็กน้อย
“ขอบคุณครับ”
“...ถ้าต้องการอะไรอีกบอกได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ” พนักงานวางจานอาหารของฮานไว้บนโต๊ะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มสดใส
“…?” ใบหน้าของฮานปรากฎเครื่องหมายคำถามเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทุกคนกำลังมอง คงเพราะพวกเราคุยเรื่องเขาค้างอยู่ และเพื่อนๆ ก็รู้แล้วว่าฉันรู้จักเขา พวกนั้นจึงมองฮานอย่างเปิดเผย
“....” ไอ้บรรยากาศที่คล้ายว่าต้องแนะนำให้เขารู้จักกับทุกคนนี่มันอะไรกัน ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขาทั้งนั้น ก้มหน้ากินข้าว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นฉันไม่คิดจะแนะนำฮาน พวกเพื่อนๆ ก็ไม่มีใครหน้าหนาพอจะทักท้วงต่างหันกลับไปสนใจข้าวในจานตัวเองแบบงงๆ
เงียบได้ครู่เดียว ยัยเอสก็เปิดปากพูดอย่างทนไม่ไหว ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เหมือนจะหยุดนิ่งกลับมามีชีวิตชีวา ส่วนใหญ่ที่คุยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้าค่ายครั้งนี้ตั้งแต่เรื่องหยุมหยิมจนถึงจุดประสงค์หลักของค่ายนี้ ซึ่งก็คือการเฉลยพี่รหัส ทุกคนกำลังลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าพี่รหัสของตัวเองเป็นใคร ส่วนฉันแค่ฟังผ่านๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ยิ่งฮานนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยแล้ว ความสนใจทั้งหมดของฉันย่อมทุ่มให้กับการรักษาท่าทีของตัวเองไม่ให้ทำหรือแสดงอาการไม่ดีออกไป
พวกผู้ชายกระเพาะใหญ่ลุกขึ้นไปตักอาหารรอบสอง ยัยเอสกับบุ้งกี๋ก็บอกว่าอยากกินผลไม้ตบท้าย แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะกินอะไรต่อ ความอยากอาหารหมดไปตั้งแต่ฮานโผล่มาก่อกวนแล้ว เพราะงั้นพออิ่มแล้วฉันก็ไม่คิดจะนั่งรอใคร โกหกว่าอยากเข้าห้องน้ำแล้วลุกออกมา
ฉันล่วงหน้าไปยังลานกว้างด้านหลัง ฝั่งขวาเป็นตึก ฝั่งซ้ายเป็นเนินเขา ด้านหน้าคือริมโขง เป็นทิวทัศน์ที่ชวนตื่นตาตื่นใจไม่น้อย และถึงแม้แดดจะร้อนแต่อากาศก็สดชื่น มีลมพัดอยู่ตลอดเวลา พวกรุ่นพี่หันมาเห็นฉันก็ทักทายตามปกติ แต่เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลารวมพล ฉันก็เลยไปเดินเล่นรอ เดินห่างจุดนัดพบได้ระยะหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าแถวนี้ไม่มีคนรู้จัก ฉันก็วิดีโอคอลหาแม่ขอดูหน้าลูกชายสักนิดให้หายคิดถึงก็ยังดี
[…ตาหนู นั่นใครลูก ใช่แม่นีไหมครับ]
แม่เอากล้องไปใกล้หน้าตาหนู เห็นแก้มย้วยๆ น่าหยิกแล้วคันไม้คันมือ อยากทะลุหน้าจอโทรศัพท์ไปหาเดี๋ยวนี้เลย
“ภาม… ภามครับ คิดถึงแม่นีไหมครับ”
[มะ… แมะ]
ลูกชี้หน้าจอ พลางส่งเสียงร้องร่าเริงเมื่อเห็นหน้าแม่กำลังเคลื่อนไหวผ่านจอโทรศัพท์ได้ยินเสียงเคาะตึกๆ หน้าจอสั่นไหว ไม่นานก็ได้ยินเสียงแม่ร้องแทรกเข้ามา
[ภามไม่เคาะๆ เดี๋ยวโทรศัพท์ยายพัง]
“ทำอะไรน่ะ อ๋อ… รถเหรอ จะให้แม่นีเล่นรถด้วยเหรอหื้มม”
หลังจากยายห้ามปราม ตาหนูก็เอาของที่อยู่ในมือออกห่างจอ ชูขึ้นในระยะกล้องจังหวะเดียวกับที่ฉันถามพอดี เลยดูเหมือนว่าลูกฟังรู้ความ เล่นเอาแม่อย่างฉันปลื้มไม่น้อย ถึงจะรู้ว่าแค่บังเอิญก็เถอะ
ฉันวิดีโอคอลคุยหยอกล้อกับลูกจนลืมเวลา เอสก็ส่งข้อความมาตาม พอเห็นฉันยังไม่อ่านก็โทรมาอีก ฉันเลยต้องบอกลาลูกหันหน้าเดินย้อนกลับไปทางเดิม