ที่อยู่ติดกับล็อบบี้ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นร้านอาหารเพราะเห็นโต๊ะกินข้าวหลายตัว แต่หลังจากสอบถามพนักงานที่ล็อบบี้แล้วกลับพบว่าเป็นที่รับรองอาหารเช้าสำหรับแขกของโรงแรมแทน จะว่าไปฉันก็หิวจริงๆ นั่นแหละ ตอนจุดพักรถก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรกินเพราะกลัวท้องอืด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หลังจากคลอดลูก ฉันก็พบว่าตัวเองท้องอืดทุกครั้งที่กินอาหารบนรถ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น
“แล้วมีร้านอาหาร หรือที่ขายของกินในนี้หรือเปล่าคะ” ฉันถามพนักงานที่ล็อบบี้ต่อ
“มีค่ะ ด้านหน้าจะมีร้านสะดวกซื้อ และด้านหลังตึกนี้เดินตรงไปทางริมโขงไม่ถึงสองร้อยเมตรจะมีร้านกาแฟกับร้านข้าวอยู่ติดกันค่ะ ทั้งหมดที่ว่ามาเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงค่ะ”
พนักงานตอบคำถามอย่างแข็งขัน ฉันเอ่ยขอบคุณแล้วเดินออกมาทางด้านหลัง ตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ริมฝั่งโขง
ออกจากตึกหลักของโรมแรมจะมีทางเดินที่ทำจากแผ่นหินเรียงต่อกันเป็นเส้นทางตัดผ่านสนามหญ้าที่ถูกปูพื้นราวกับเป็นพรมสีเขียว
พื้นที่ตรงนี้อยู่ต่ำกว่าตึกหลักที่เพิ่งเดินออกมา เบื้องหน้าไปจนถึงฝั่งขวามือคือทิวแถวของบ้านพักที่มีลักษณะคล้ายรีสอร์ต ส่วนด้านซ้ายมีตึกแฝดสูงหลายชั้นตั้งอยู่ ฉันมองสำรวจทิวทัศน์ท่ามกลางความมืดที่ถูกแสงไฟสะท้อนอย่างไม่ใส่ใจ เดินลงไปตามเส้นทางที่ลาดเอียงไม่นานก็พบร้านที่พนักงานบอก
มีร้านกาแฟกับร้านอาหารจริงด้วย
ร้านอาหารใหญ่กว่าร้านกาแฟหนึ่งเท่า แต่กลับไม่มีเงาคนนั่งเลย ตรงข้ามกับร้านกาแฟ ที่มีคนนั่งทั้งด้านนอก ด้านใน และก็ตรงระเบียงที่ทำยื่นออกไปเหมือนชั้นลอย
ฉันไม่ต้องการคนเยอะ เพราะงั้นจึงเดินมาที่ร้านอาหารอย่างไม่ลังเล
“เชิญครับ” พนักงานหลังเคาน์เตอร์แต่งตัวด้วยเครื่องแบบของโรมแรมเรียบร้อยเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น
ฉันยิ้มให้พนักงานก่อนมองหาที่นั่งเหมาะๆ ไม่นานพนักงานก็ถือเมนูเดินเข้ามายื่นให้ ฉันรับมาเปิดดูเงียบๆ ก่อนสั่งน้ำเปล่ากับแกงจืดเต้าหู้ รอพนักงานออกไปแล้วฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาแล้วก็ถอนหายใจ กดวิดีโอคอลหาแม่ ถึงจะดึกแต่แม่ก็รับสายอย่างไว เหมือนกำลังรอให้ฉันติดต่อกลับยังไงยังงั้น
[นี เป็นยังไงบ้างลูก ถึงแล้วเหรอ ที่พักโอเคไหม...]
คำถามรัวมาเป็นชุด ฉันตอบสั้นๆ ว่า “ถึงแล้ว ที่พักดีไม่มีปัญหาอะไร” ก่อนจะถามถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แม่บอกกินนมหลับไปตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ตอนนี้นอนอยู่ในห้องกับลุง แล้วแม่ก็กำชับมาอีกว่า
[...ตาหนูสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง นี่ก็ดึกแล้วรีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำกิจกรรมอีกไม่ใช่เหรอ]
“อืม งั้นแค่นี้นะแม่ ฝันดีค่ะ”
[จ้า]
ฉันวางสายจากแม่เสร็จแต่ไม่ได้เก็บโทรศัพท์ และไม่รู้คิดอะไร กดถ่ายรูปแกงจืดเต้าหู้ที่ยังไม่ได้กินสักคำแล้วอัปลงไอจีใส่แคปชั่น ชีวิตติดจืด ลงไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ไม่นานก็มีคนมากดหัวใจให้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนเก่าและเพื่อนในไอจีนั่นแหละ ส่วนเพื่อนที่มหาลัยไม่ค่อยมี ฉันที่กำลังจะกลับห้อง พอเห็นคนมาคอมเม้นต์ก็อดใจไม่ไหวต้องเม้นต์ตอบ สักพักถึงยกมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน ตอนนั้นประตูร้านก็เปิดออก ฉันหันไปมองไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นชายร่างสูง ที่ต้องใช้ไม้ค้ำยันพาตัวเองเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางลำบาก นัยน์ตาฉันกระตุกวูบ มองใบหน้าที่ไม่ต่างจากคมมีดกรีดหัวใจของเขาอย่างอึ้งๆ
“ฮาน...”
ฉันคิดว่าคงเห็นภาพหลอน แต่เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันถึงรู้ว่าไม่ได้คิดไปเองแต่ฮานอยู่ตรงหน้าฉันจริงๆ ฉันมองเขาอย่างสับสน ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย “...ทำไม ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“บังเอิญจังนะ” เขาพูดสั้นๆ ก่อนหันไปหาพนักงานที่เพิ่งจะถือบิลล์ค่าอาหารของฉันออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ “สั่งอาหารหน่อย”
“ได้ครับ สักครู่นะครับ” พนักงานยิ้มอย่างมีมารยาท ก่อนหันมายื่นบิลล์ให้ฉันเงียบๆ ฉันรับบิลล์มาดู กำลังจะหยิบเงินในกระเป๋าให้ ฮานที่ไม่รู้วางไม้ค้ำยันในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยื่นบัตรอะไรสักอย่างให้พนักงาน ฉันเห็นแวบๆ ไม่ใช่บัตรเครดิตแน่นอน เหมือนบัตรเมมเบอร์มากกว่า
“ลงบิลล์ผมไว้”
“ครับ” พนักงานรับบัตรที่ว่านั่นไปอย่างว่าง่าย ไม่ทักไม่ท้วงอะไรสักคำ ฉันหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจและสงสัย
“นั่นบัตรอะไร”
“สำหรับลูกค้าวีไอพี กินก่อนจ่ายทีหลัง”
ฉันจ้องฮานด้วยสายตาคมกริบ ไม่คิดซักไซ้เรื่องบัตรวีไอพีอะไรนั่นต่อ ที่อยากรู้คือทำไมคนเจ็บที่ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลถึงมาโผล่ที่นี่ได้ อย่าบอกนะว่าร่างกายไม่เป็นไรแล้ว
ฉันมองสารรูปที่แทบจะเหมือนคนปกติของฮานถ้าไม่มีไม้ค้ำยันนั่นก็คงดูไม่ออกว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บ แล้วก็รู้สึกว่าการพบกันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ฉันไม่อยากพูดออกไป และไม่สนใจด้วยว่าเขาจะทำอะไร
ฉันเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปธนาคาร โอนเงินเข้าบัญชีฮานตามจำนวนค่าอาหารไม่เศษไม่เกิน เสียงเตือนข้อความเงินเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของฮาน เขาเปิดดูก่อนเลิกคิ้วแล้วมองหน้าฉัน แต่แทนที่จะทักเรื่องที่ฉันโอนเงินคืน เขากลับยิ้มแล้วพูดว่า
“ยังจำเลขบัญชีพี่ได้เหรอ”
“....” เมื่อกี้เขาเห็นฉันกดเลขบัญชีกับตา ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมยืนนิ่งไม่พูดไม่ถามอะไรเลย
ฉันรู้สึกเหมือนมีลมร้อนพัดผ่านใบหน้า ฉันไม่ได้บันทึกเลขบัญชีเขาเอาไว้ในเครื่อง แต่กลับจดจำเอาไว้ในสมอง แม้แต่ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ลืม แต่แค่จำเลขบัญชีได้มันจะไปมีความหมายอะไร
“สมองคนไม่ใช่ปลาทอง จะได้ลืมอะไรง่ายๆ”
ฉันพูดใส่ฮานอย่างฉุนๆ แล้วเดินออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
เพนนี : รู้ไหม ฮานอยู่ที่นี่
ทันทีที่พ้นหน้าฮาน ฉันรีบส่งข้อความถึงคะนิ้ง มองหน้าจอแววตาแทบลุกเป็นไฟ แต่ผ่านไปหลายนาทีคะนิ้งก็ไม่อ่าน ฉันได้แต่กรีดร้องในใจ หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว
ติ้ง!
ประตูลิฟต์เปิด บรรยากาศอึมครึมที่ฉันแผ่ออกมาจำต้องหายวับไปชั่วคราว ฉันมองคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ อาจจะเพราะเพิ่งโกรธคนมา สายตาฉันก็เลยดุร้ายกว่าปกติ
“เพนนี”
รุ่นพี่ชะงักเล็กน้อย เขาคือคนเดียวกับที่เข้ามาช่วยฉันถือกระเป๋า ฉันยิ้มกลบเกลื่อนอารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่แล้วก้าวออกจากลิฟต์
“รุ่นพี่มาทำอะไรที่ชั้นปีหนึ่งคะ”
ฉันถามเพราะเห็นว่าเขาไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในลิฟต์ และตอนนี้ประตูลิฟต์ก็ปิดแล้ว ถ้าจะเรียกก็ต้องรออีกสักพัก และท่าทางรุ่นพี่ก็ดูมีเรื่องจะคุยกับฉันด้วยเหมือนกัน
“พี่มาเช็กความเรียบร้อยน่ะ ดูว่ามีใครแอบหายตัวไปหรือเปล่า เมื่อกี้พวกผู้หญิงเพิ่งกลับไปและก็พบคนหายหนึ่งคน”
“อ่อ” ฉันยิ้มเป็นเส้นตรง กะพริบตาปริบ คนหายที่ว่านั่นหมายถึงฉันสินะ เพราะแบบนี้รุ่นพี่ถึงอยากคุยกับฉันหรือเปล่า
“แล้วไปไหน ทำไมไปคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง”
“นีหิวก็เลยไปหาอะไรกินค่ะ”
รุ่นพี่มองฉันอย่างไม่รู้จะตำหนิยังไง เพราะการห้ามคนหิวไม่ให้กินก็ออกจะใจจืดใจดำเกินไป อีกอย่างค่ายนี่ก็ไม่ได้เคร่งครัดมากขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่รุ่นพี่พูดได้ก็มีแค่คำว่ากล่าวตักเตือนและบอกให้ฉันรีบเข้านอน
“งั้นนีไปก่อนนะคะ”
ฉันบอกลารุ่นพี่แล้วตรงไปที่ห้องพัก ไฟกลางห้องปิดแล้ว แต่ยังมีไฟหัวเตียงบางเตียงยังเปิดอยู่ บอกให้รู้ว่าเจ้าของเตียงยังไม่นอน ฉันอาศัยแสงไฟนั่นเดินมาถึงเตียงตัวเอง เพื่อนที่นอนอยู่เตียงล่างหลับไปแล้ว ส่วนยัยเอสกับบุ้งกี๋ก็หลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม
ฉันปีนขึ้นชั้นสอง ก่อนนอนเปิดโทรศัพท์ดูอีกรอบเพราะเหมือนจะได้ยินเสียงแจ้งเตือนดัง พอเปิดดูฉันก็หน้าบึ้งทันที
ฮานมากดหัวใจให้ภาพแกงจืดเต้าหู้ที่ฉันโพสต์ แล้วเม้นต์รูปอิโมจิโง่ๆ ใต้ภาพด้วย
ใจที่นิ่งมาตลอดอยู่ดีๆ ก็ปั่นป่วนอย่างกับโดนพายุซัด ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮานกดติดตามไอจีฉันตอนไหน แล้วจู่ๆ ออกมาแสดงตัวแบบนี้ต้องการอะไร คิดจะทำให้ฉันปวดประสาทไปถึงเมื่อไหร่
ฉันคิดจะส่งข้อความไปบอกให้ฮานเลิกก่อกวน แต่มาคิดดูอีกที... ไม่ส่งดีกว่า ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดว่าฉันหาข้ออ้างอยากคุยกับเขา
ฉันปิดโทรศัพท์ ยัดใส่กระเป๋าแล้วโยนไปกองไว้ตรงเท้าเลย กลัวว่าถ้าอยู่ใกล้มือจะอดใจเล่นโทรศัพท์ไม่ได้ ฉันข่มความรู้สึกฟุ้งซ่านเอาไว้แล้วบังคับตัวเองให้หลับตา ความเหนื่อยสะสมจากการเดินทางเอาชนะห้วงคิดคำนึงทั้งหมด หลังจากเปลือกตาปิดได้ไม่นาน ฉันก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว