นอกจากใช้ขนกระเป๋าแล้วยังเหลือที่นั่งแถวหลังสุดไว้ให้พวกเราอีก มันเป็นที่นั่งที่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่นๆ และเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากนั่งแถวหลังสุด
ถ้าจะบอกว่าไม่ขุ่นเคืองเลยก็คงโกหก ตอนนี้ฉันทั้งเหนื่อยทั้งเซ็ง รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ตัดสินใจมา ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอเรื่องงี่เง่าแบบนี้ไม่สู้อยู่เล่นกับลูกที่บ้านมีความสุขกว่าเยอะ
อันที่จริงฉันก็ไม่ได้สนใจความรักใคร่กลมเกลียวระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาลัยอยู่แล้ว
“...ดูดิ มืออิมแดงหมดเลย กำมือก็เจ็บแล้ว” เสียงยัยอิมเมจที่นั่งข้างกับน้ำเมยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสาร แต่ก็มีแววเคียดแค้นแฝงอยู่
ไม่ใช่แค่อิมเมจคนเดียว พวกเราทุกคนก็เจ็บมือเหมือนๆ กันทั้งนั้น นี่แค่จะจับช้อนกินข้าวก็ลำบากแล้ว
ดูท่าแล้วบทลงโทษที่เอาไว้ใช้จัดการคนมาสายจะส่งผลตรงกันข้าม แทนที่รุ่นน้องจะสำนึกผิด แต่กลับกลายเป็นว่าสร้างความเกลียดชังในใจของน้องๆ แทน ฉันไม่รู้หรอกว่ารุ่นพี่ต้องการสอนอะไร และก็ไม่คิดจะมาโต้เถียงเกี่ยวกับจิตสำนึกอะไรนั่นด้วย เพียงแต่ถ้ารุ่นพี่ยังให้ทำอะไรที่มันเกินไปอีกละก็ ได้มีคนแหกค่ายนี้จริงๆ แน่ ซึ่งคงไม่ใช่ฉัน... เพราะเดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมแล้ว อย่างน้อยก็ในสายตาของเพื่อนที่มหาลัยล่ะนะ
หลังผ่านจุดพักรถล่าสุดก็เลยมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว ทิวทัศน์รอบข้างเปลี่ยนจากตึกสูงเป็นบ้านเรือนหลังต่ำสลับกับแนวตีนเขาที่กำลังถูกเงามืดกลืนกินไปทีละเล็กทีละน้อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกให้ลงจากรถ
ฉันปรือตาขึ้นด้วยความมึนเบลอ ในลำคอรู้สึกขมเฝื่อน ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาเปิดดูเวลา ...สามทุ่มสิบสี่ ดึกขนาดนี้เลย ล้อหมุนตอนสิบโมงมาถึงนี่สามทุ่มกว่า สรุปแล้วใช้เวลาเดินทางเกือบสิบสองชั่วโมง ฉันจับต้นคอเอียงซ้ายทีเอียงขวาทีไล่ความเมื่อยล้า ลุกขึ้นเดินตามคนอื่นๆ ลงจากรถ
สถานที่พักเป็นสไตล์โรงแรมกึ่งรีสอร์ต มีห้องพักแบบในตึกและห้องพักแบบบ้านเป็นหลัง แต่ละหลังก็มีขนาดกับจำนวนเตียงมากน้อยไม่เท่ากันอีกด้วย
คงเพราะมาถึงเอาตอนดึก แถมยังเหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถยาวหลายชั่วโมงทำให้ไม่มีอารมณ์ดื่มด่ำกับทัศนียภาพเบื้องหน้า
พวกรุ่นพี่เช่าห้องพักแบบเป็นห้องเตียงรวม แบ่งแยกชั้นปีและชายหญิงชัดเจน หลังจากประชุมสั้นๆ ที่ข้างรถบัสเสร็จก็ให้ทุกคนขนกระเป๋าของใครของมันเข้าห้องพัก ยกเว้นคนมาสายหกคนอยู่ก่อน ยังไปไหนไม่ได้ ฉันแทบชักสีหน้าตอนได้ยินแบบนั้น แต่ยัยอิมเมจกับพวกผู้ชายที่เหลือเล่นถอนหายใจเฮือกๆ และบ่นอุบอย่างไม่คิดเก็บซ่อนอารมณ์กันเลย ส่วนน้ำเมยฉันไม่ได้ยินว่าเธอจะมีปากมีเสียงมาตั้งแต่แรกแล้ว ยัยนั่นมองผ่านๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย เป็นตัวตนที่จืดจางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมาสายเหมือนกันฉันก็คงไม่เห็นน้ำเมยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“เอาล่ะทั้งหกคน รู้ตัวใช่ไหมว่าทำความผิดอะไรถึงต้องอยู่ที่นี่”
รุ่นพี่ผู้หญิงที่ห้อยป้ายปีสองชื่อ ‘ลี่ลี่’ เธอมัดผมรวบตึง สวมแว่น ดวงตาเรียวเล็ก จมูกค่อนไปทางแบนนิดหน่อยก้าวเข้ามาพูดกับพวกเรา
ทว่ากลับไม่มีใครส่งเสียงตอบ พี่ลี่ลี่มองหน้าเราทีละคนจนครบอย่างไม่รีบร้อน เบื้องหลังของเธอมีรุ่นพี่ปีสองกับปีสามอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ต่อให้พวกเราเกิดต่อต้านและอยากอาละวาดขึ้นมาก็คงจะถูกรุ่นพี่เหล่านั้นขัดขวางเอาไว้อยู่ดี
“การรักษาเวลาเป็นเรื่องสำคัญ พวกพี่มีกฎอยู่ว่าใครมาสายก็ต้องถูกลงโทษ ไม่ใช่เพราะอยากแกล้งพวกน้อง แต่ที่ต้องมีกฎก็เพื่อให้น้องๆ ตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้ต่างหาก พี่หวังว่าจะไม่มีใครแปลเจตนาดีๆ ของพวกพี่เป็นอย่างอื่น...” คุณพี่ลี่ลี่พูดวกไปวนมา ก่อนจะหยุดสายตาเอาไว้ที่อิมเมจครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “...แต่ถ้าน้องคนไหนไม่พอใจ ก็พูดออกมาได้เลย พี่ทุกคนพร้อมจะรับฟัง”
หืม... นี่มันอะไร ครอสเปิดใจแบบรวบรัดเหรอ ดูเหมือนการที่รั้งพวกเราเอาไว้ไม่ใช่เพราะต้องการลงโทษต่อแต่เป็นการพูดคุยปรับทัศนคติ? เอ่อ คงไม่มีใครเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจจนก่อให้เกิดความร้าวฉานระหว่างรุ่นหรอกน่า รีบๆ ปล่อยพวกเราไปนอนเถอะ ขืนยังฝืนยื้อพวกเราเอาไว้อีก ไม่แน่อาจจะมีคนทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
ยัยอิมเมจได้ยินแบบนั้นก็นัยน์ตาลุกวาว แถมการที่พี่ลี่ลี่จ้องเธอนานกว่าคนอื่นๆ ก็เหมือนกระตุ้นต่อมความฉุนเฉียวของยัยนั่นให้ทำงาน กำลังจะอ้าปากตอบโต้แต่ดันถูกเพื่อนชายข้างๆ เอ่ยตัดหน้าซะก่อน
“พวกเราไม่มีปัญหาหรอกพี่ลี่ลี่” ผู้ชายคนนี้ชื่อ ‘กัส’
“ใช่พี่ ถ้ามันเป็นกฎพวกผมจะไปบ่นอะไรได้ แต่ว่าตอนนี้ผมง่วงมาก เมื่อไหร่จะปล่อยพวกเราไป อยากอาบน้ำแล้วเนี่ย หรือว่าพี่รั้งผมไว้เพราะอยากให้พวกผมโดนลงโทษพรุ่งนี้อีก” คนนี้ชื่อ ‘โชแปง’
คงเพราะเป็นผู้ชายถึงกล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ แบบไม่ทำให้คนฟังเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวได้ แต่ถ้าประโยคนี้เปลี่ยนเป็นอิมเมจพูด ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“....” ยัยอิมเมจที่ทำท่าจะโวยวายได้แต่เหลือบมองพวกผู้ชายอย่างวางหน้าไม่ถูก จะว่าพอใจก็ไม่ใช่ ไม่พอใจก็ไม่เชิง
พี่ลี่ลี่ถูกพูดใส่แบบนั้นก็ยิ่งปรับสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เธอทำท่าจะต่อว่าโชแปง แต่รุ่นพี่ปีสามที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขัดขึ้นมาก่อน
“เอาล่ะๆ นี่ก็ดึกแล้ว ปล่อยน้องไปพักเถอะ เท่าที่ดูก็ไม่น่าจะมีใครไม่พอใจอะไรนี่”
รุ่นพี่ปีสามคนนี้ชื่อ ‘พลอย’ เธอมองท่าทางเคร่งครัดของพี่ลี่ลี่ด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่อีก
พี่ลี่ลี่คล้ายไม่พอใจที่ถูกก้าวก่ายแต่เมื่อรุ่นพี่ปีสามออกปากแบบนั้นก็ได้แต่ทำตามอย่างเสียไม่ได้ เธอหันมาพยักหน้าให้พวกเราก่อนจะพูดว่า “ไปได้แล้ว พรุ่งนี้กิจกรรมจะเริ่มตอนสิบโมงหลังอาหารเช้า อย่ามาสายอีกล่ะ”
แทบไม่รอให้พี่ลี่ลี่พูดจบ พวกเราทั้งหมดก็เดินออกมาแล้ว
พวกเราหกคนเข้าลิฟต์มาด้วยกัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย คงเพราะเหนื่อย หรือเพราะยังไม่เชื่อใจกันสนิทก็ไม่แน่ใจ เพราะขืนพูดอะไรไม่ดีออกไปแล้วมีคนเอาไปฟ้องรุ่นพี่งานอาจจะเข้าได้
พอประตูลิฟต์เปิดก็แยกย้ายไปคนละทาง ปีหนึ่งพักชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง ปีสอง ปีสาม และปีสี่ก็พักอยู่คนละชั้นเหมือนกัน
พอเข้ามาในห้องก็พบว่าเป็นเตียงนอนสองชั้น มีสองฝั่ง ฝั่งละห้าหลัง นอนได้ทั้งหมดยี่สิบคนซึ่งนับว่าเหลือเฟือ ฉันเดินมาหายัยเอสกับบุ้งกี๋ที่โบกมือเรียก
“โดนให้ทำอะไรอีกหรือเปล่า ทำไมมาช้า” เอสชักทันที ฉันมองเธอ ก็เห็นว่าถือผ้าเช็ดตัวกับถุงซิปล็อกเก็บอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำเอาไว้ข้างใน
“เปล่า รุ่นพี่แค่คุยเฉยๆ น่ะ แล้วนี่จะไปอาบน้ำเหรอ”
“อื้ม รีบเอาของไปเก็บสิ แล้วไปอาบด้วยกันเลย”
ถึงห้องนอนจะแยกคนละชั้น แต่เวลาอาบน้ำกลับเป็นห้องน้ำรวม แค่แบ่งชายหญิงเท่านั้น แต่ไม่แบ่งชั้นปี อาบน้ำเสร็จและกำลังเดินออกมาก็สวนกับพี่พลอยพี่ปีสามที่ประตู ฉันยิ้มให้รุ่นพี่อัตโนมัติ รุ่นพี่ก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็ต่างคนต่างไป
ฉันได้เตียงนอนชั้นบน เพราะยัยเอสกับบุ้งกี๋เป็นคนจัดแจงที่ให้ระหว่างที่ฉันถูกพวกรุ่นพี่รั้งเอาไว้ข้างนอก ที่นอนชั้นสองถึงจะอยู่สูง อากาศโล่ง แต่ก็เหนื่อยตรงที่ต้องปีนขึ้นปีนลง
ฉันเอาโทรศัพท์ พาวเวอร์แบงก์ หูฟัง และกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋าผ้าก่อนหันไปบอกเอสกับบุ้งกี๋ “เดี๋ยวจะไปหาอะไรกินข้างล่างนะ เอาไรไหม”
แน่นอนว่าฉันไม่ได้ชวน แค่บอกกล่าวให้รู้เฉยๆ ถึงจะเหนื่อยล้าและอยากล้มตัวลงนอนแค่ไหน แต่ฉันก็คิดถึงลูกมากกว่า อยากเห็นหน้า อยากคุยเล่นด้วย แต่คิดว่าในห้องนอนนี้คงไม่เหมาะ สู้ออกไปหาที่เงียบๆ คุยสบายกว่าเยอะ
ที่จริงฉันไม่ได้ปิดเรื่องลูก ถ้ามีคนถามฉันก็สามารถยืดอกยอมรับตรงๆ ได้ แต่ถึงฉันจะไม่อายก็ใช่ว่าจะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หนิ เพราะรู้ว่าเรื่องคุณแม่ในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้กันทุกคน ถ้าไม่จำเป็นใครจะอยากเอาตัวเองขึ้นเขียงให้เป็นเป้าสายตาคนอื่นล่ะ
ช่วงอุ้มท้องภามตลอดจนคลอดฉันไม่ค่อยอัปเดตโซเชียลเหมือนตอนที่ยังคลั่งไคล้ฮาน รูปลูกก็ไม่เคยเอาลง ไม่เคยโพสต์เกี่ยวกับเรื่องท้องไม่มีพ่อเพราะไม่อยากเหลือร่องรอยของฮานเอาไว้ให้บ่อนทำลายใจตัวเอง ...อย่างมากสิ่งที่ฉันโพสต์ในช่วงระยะทำใจก็แค่คำคม หรือถ้อยคำเพ้อเจ้อที่ให้คนเอาไปตีความหมายเองแค่นั้น
ส่วนรูปลูกชายฉัน คนที่แอบถ่ายไปลงไอจีกับเฟสบุ๊คตัวเองก็จะเป็นแม่ คะนิ้ง และก็คนอื่นๆ มากกว่า แต่ทุกคนก็รู้ความ ไม่เคยแท็กฉันมาเลยสักครั้ง ทุกคนรักษาหน้าฉันเอาไว้โดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปากเลย
“แต่นี่สี่ทุ่มแล้วนะ ยังจะกินอีกเหรอ ไม่ง่วงเหรอถามจริง” เอสมองหน้าฉันอย่างไม่รู้จะนับถือหรือประหลาดใจ
ฉันยิ้มเจื่อน ปล่อยให้ยัยนั่นเข้าใจผิดแบบนั้นต่อไป
“แล้วเอาไรหรือเปล่า”
“จะไปจริงเหรอเนี่ย นั่งรถมาทั้งวัน ถ้าไม่รีบนอนพรุ่งนี้จะไม่ไหวเอานะ ดูยัยบุ้งสิหลับเป็นตายแล้วน่ะ”
“อือ ไว้จะรีบไปรีบมาแล้วกัน ตกลงไม่เอาอะไรใช่ไหม”
“ไม่”
“โอเค งั้นไปนะ”
“อืม”