Chapter 5 《 Part 2 》

1856 คำ
เมื่อใกล้ถึงวันเข้าค่ายรับน้องที่ต่างจังหวัดฉันก็เริ่มว้าวุ่น ตระเตรียมโน่นนี่วุ่นวายไปหมด ส่วนใหญ่ที่เตรียมก็เกี่ยวกับลูกทั้งนั้น จนแม่กับคะนิ้งเห็นแล้วรู้สึกรำคาญหรือยังไงไม่รู้ บอกให้ฉันเลิกทำตัวจู้จี้จุกจิกสั่งโน่นสั่งนี่เป็นมนุษย์ป้าสักที ด้วยความที่อ่อนเยาว์สุด พอถูกตอกหน้าแบบนั้นฉันก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าพิจารณาตัวเองเงียบๆ เพราะรู้ดีว่าแม่กับคะนิ้งไม่มีทางปล่อยปะละเลยลูกชายฉันแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าฉันซะอีก สิ่งเดียวที่สองคนนั้นทำไม่ได้คือนมแม่ แต่ตาหนูอย่านมแล้ว จะมาพูดเอาตอนนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร สรุปคือฉันแค่กลัวว่าตัวเองจะทนคิดถึงลูกไม่ไหว ต้องห่างกันสามวันสองคืนแต่กลับรู้สึกเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีกสามปี ไม่รู้ว่าช่วงที่ฉันไม่อยู่จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง การไม่ได้เฝ้ามองลูกเติบโตในทุกวันๆ ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่งของคนเป็นแม่อย่างฉันเลยล่ะ ไม่รู้สิ ปกติฉันก็ไม่ได้ติดลูกชายเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยอยู่ห่างกันมาก่อน ก็เลยเกิดความกังวลมากมายอย่างที่เห็น ถึงวันออกเดินทาง ซึ่งตรงกับวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ฉันติดรถมากับคะนิ้ง พวกเราแวะไปส่งตาหนูที่บ้านยายนวลภาเหมือนทุกๆ วันที่มีเรียน ฉันทั้งกอดทั้งหอมลูกอยู่หลายต่อหลายรอบ ไม่ได้บอกลูกชัดๆ ว่าจะไม่อยู่กลัวลูกงอแง ถึงจะไม่รู้ว่าลูกจะเข้าใจที่บอกหรือเปล่าก็เถอะ คะนิ้งเห็นฉันเอาแต่อาลัยอาวรณ์ตาหนู เรียกอยู่หลายรอบเพราะกลัวไม่ทันเวลา ฉันถอนหายใจอย่างเหงาๆ แล้วยอมเดินมาขึ้นรถในที่สุด “ไปเข้าค่ายนะ ไม่ได้ไปรบ” ยัยนั่นเอ่ยระหว่างทางไปมหาลัย “เธอไม่เข้าใจหรอก” “สามวันก็ไม่นานนะ” “ไม่นานเหรอ? ไว้เธอมีลูกเป็นของตัวเองแล้วค่อยพูดดีกว่า” ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดของคนที่ยังไม่มีประสบการณ์เป็นแม่คนจากคะนิ้ง ยัยนั่นจะไปรู้อะไร เหอะ เมื่อถูกฉันสวนกลับด้วยคำพูดที่คล้ายจะหาเรื่องนั่นคะนิ้งก็ไม่พูดอะไรอีก แต่สีหน้าเธอก็ไม่ได้แย่ เห็นชัดว่าไม่ได้เก็บคำพูดของฉันไปใส่ใจ คะนิ้งจอดรถให้ฉันลงใกล้จุดรวมตัว เธอทำเหมือนจะลงมาช่วยฉันถือกระเป๋า แต่ฉันห้ามเอาไว้ก่อน ยัยนั่นจึงกลับมานั่งที่เบาะนิ่ง มองฉันที่กำลังจะเปิดประตูรถลงไปเอากระเป๋าลากที่ด้านหลังแล้วพูดออกมา “ไม่ลืมอะไรใช่ไหม” คำถามทั่วไปเวลาคนออกเดินทาง แต่ฉันได้ยินมาหลายรอบแล้วตั้งแต่ออกจากบ้าน ก็เลยอดรำคาญไม่ได้ “ไม่ลืม” “ถึงแล้วโทรมาบอกด้วย” “ได้” “มีปัญหาอะไรก็โทรมาด้วย” “อืม” “เวลากลับก็...” “รู้แล้วๆ” ฉันเอ่ยสวนก่อนที่คะนิ้งจะพูดจบประโยค คะนิ้งเงียบเสียงมองฉันแล้วผ่อนลมหายใจยาวคล้ายเอือมระอา ฉันปิดประตูรถ เดินไปเอากระเป๋าลากด้านหลัง แล้วเดินย้อนกลับมาลาคะนิ้งอีกรอบ ฉันเปิดประตูรถแล้วยื่นหน้าเข้าไปพูด “ไปนะ” “อื้ม” คะนิ้งพยักหน้าส่ง ฉันปิดประตูแล้วลากกระเป๋าตรงไปหาเพื่อนที่กำลังยืนออกันอยู่แถวๆ รถบัส “เพนนีทางนี้” บุ้งกี๋หันมาเห็นฉันโดยบังเอิญ ยกมือขึ้นโบกไหวๆ พลางตะโกนเรียก “มากันนานแล้วเหรอ แล้วเอากระเป๋าไว้ไหนกัน” ฉันมองแต่ละคนที่ตัวโล่ง มีแค่กระเป๋าสะพายใบเล็กติดตัวคนละใบ “อยู่ตรงจุดรายงานตัวน่ะ” ยัยเอสเป็นคนตอบ พลางชี้มือให้ดู ทางนั้นมีรุ่นพี่รวมตัวกันอยู่หลายชั้นปีตรงกลางมีโต๊ะอยู่สองโต๊ะ ซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะรายงานตัวอย่างที่เอสว่า “อ้อ” ฉันเข้าใจทันที “ใช่ รีบไป เห็นบอกว่าจะจับคนช้ามาลงโทษด้วยนะ” ไม่มีใครอยากถูกลงโทษแน่อยู่แล้ว พอได้ยินยังเอสขู่ฉันก็รีบลากกระเป๋าไปทางพวกรุ่นพี่ทันที นอกจากฉันแล้วยังมีคนอื่นๆ ที่มาช้าอีกสามสี่คน กำลังทยอยเดินไปทางนั้น “นี่คือกลุ่มสุดท้ายแล้วใช่ไหม” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ย มองพวกเราด้วยสายตาคล้ายมีแผนการอยู่ในใจ ในแถวมีประมาณห้าหกคน ฉันไม่ได้อยู่หลังสุด แต่คำพูดที่ได้ยินนั่นก็เหมารวมทั้งหมด ถ้ามีบทลงโทษอย่างที่เอสว่าไว้ฉันก็คงไม่รอดอยู่ดี นึกแล้วก็แอบเสียใจ ถ้าฉันไม่มัวแต่ร่ำลาลูกก็คงไม่มาสาย และไม่ต้องถูกคาดโทษ เช็กชื่อแล้วพวกรุ่นพี่กันพวกเราเอาไว้ไม่ให้กลับไปหาเพื่อน หลังจากนั้นก็เรียกรวมแถว พวกปีหนึ่งมีอยู่สามสิบกว่าคน พวกรุ่นพี่แต่ละชั้นปีก็มีคนอยู่เกือบเท่าๆ กัน รวมแล้วต้องใช้รถบัสสามคัน นับเป็นการออกค่ายรับน้องนอกสถานที่ที่เอิกเกริกอยู่ไม่น้อย “เดี๋ยวพี่จะแจกป้ายชื่อนะ น้องๆ ได้แล้วก็เขียนชื่อแส้ตัวเองให้เรียบร้อย ระหว่างทางเราจะมีจุดพักรถอยู่ ฉะนั้นใครจะเข้าห้องน้ำ จะกิน จะซื้ออะไรก็ทำให้เรียบร้อย เพราะถ้าเลยจุดพักรถไปแล้วเราจะไม่จอดนะ เข้าใจตามนี้ด้วย” หัวหน้าชั้นปีสองประกาศใส่โทรโข่งด้วยน้ำเสียงที่ดุกร้าว กวาดตามองน้องๆ ด้วยแววตาจริงจังและแอบข่มขวัญอยู่กลายๆ ในทำนองว่าเวลาที่เขาพูดห้ามใครทำเป็นเล่นเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อฟังก็ถือว่าไม่เคารพรุ่นพี่ และรุ่นน้องคนนั้นก็จะถูกบอยคอตเงียบๆ แต่เอาตรงๆ ก็ไม่มีใครโง่พอจะไปท้าทายรุ่นพี่หรอก ทุกคนที่มาก็มาเพราะสมัครใจไม่ได้โดนบังคับ จึงไม่มีใครมีความคิดต่อต้านไม่ว่ารุ่นพี่จะพูดเสียงดุ หรือแกล้งดุให้กลัวก็ตาม ทุกคนได้รับแจกป้ายชื่อ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนช้าหกคนที่ยืนหน้าสลอนอยู่ด้านข้าง นอกจากนักศึกษาตาดำๆ แล้ว ยังมีอาจารย์เข้าร่วมด้วยอีกสามคน หลังจากรุ่นพี่แนะนำกฎในค่ายคร่าวๆ แล้วก็เชิญอาจารย์มาพูดอะไรนิดหน่อยจากนั้นก็ให้ทุกคนขึ้นรถ ตอนที่ทุกคนเดินเรียงแถวกันขึ้นรถบัสอย่างสบายๆ นั่นเอง รุ่นพี่ปีสองที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็หันมาสั่งพวกเราหกคน “น้องที่มาสาย ไปขนกระเป๋าเพื่อนขึ้นรถครับ” ทุกคนมองไปที่กระเป๋ากองโต ซึ่งยังไม่มีใครแตะต้องเลย แม้กระทั่งพวกรุ่นพี่ก็ขึ้นรถกันสบายใจเฉิบ เหลือรั้งอยู่สี่ห้าคนที่คอยควบคุมความเรียบร้อย “ให้พวกเราขนเหรอคะ หมดนั่นเลยเหรอ” ผู้หญิงที่พูดไว้ผมสั้น ตัดหน้าม้าเต่อ แต่แทนที่จะดูตลกกลับทำให้ใบหน้ากลมเรียวของเธอโดดเด่น จมูกโด่งสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ตาเรียวกลมสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวเนียนละเอียด เป็นผู้หญิงที่สวยมีสไตล์คนหนึ่งถึงขนาดว่าถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งเดือนคณะ แต่เพราะเธอตัวเล็ก สูงแค่ 159 เซนติเมตร ก็เลยตกไป ชื่อของเธอคืออิมเมจ พวกเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักกัน แถมเมื่อถูกลงโทษด้วยกันก็ยิ่งมีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น อิมเมจมองกระเป๋าด้วยสีหน้ากล้ำกลืนพลางยิ้มแห้ง “ล้อเล่นใช่ไหม” รุ่นพี่พยักหน้า เอ่ยอย่างเย็นชา “ใครบอกให้มาสายล่ะ ถ้าไม่อยากเหนื่อยคราวหน้าคราวหลังก็รักษาเวลาหน่อยสิ” “เดี๋ยวสิพี่ ถึงพวกผมจะมาสายแต่นั่นมันเยอะไปไหม” เพื่อนผู้ชายประท้วง แต่ก็โดนรุ่นพี่คนนั้นโบกหัวป้าบ “อย่าบ่น หรืออยากสก๊อตจ้ำป์สักห้าสิบทีก่อนแล้วค่อยขน” ไม่เอานะ... ฉันร้องโอดครวญอยู่ในใจ พวกผู้ชายทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อถูกขู่ก็ไม่กล้าโวยวายอีก เดินไปขนกระเป๋าขึ้นรถอย่างเซ็งๆ ฉันกับอิมเมจเดินตามหลังพวกนั้นไปเงียบๆ ในหกคนที่โดนลงโทษนอกจากฉันกับอิมเมจก็มีน้ำเมยอีกคนที่เป็นผู้หญิง ที่เหลือเป็นผู้ชาย “มาพี่ช่วย” “ขอบคุณค่ะ” ฉันคงฝืนมากเกินไป นอกจากสองมือจะลากกระเป๋าจูงแล้วยังสะพายเป้น้อยใหญ่อีกหลายใบเอาไว้บนบ่าทั้งสองข้างแล้วยังมีห้อยอยู่ตรงคออีกใบ ดูเป็นคนโลภมากที่อยากให้งานเสร็จไวๆ แต่ว่าการทำแบบนั้นก็ทุลักทุเลมากจริงๆ ระหว่างที่ฉันรู้สึกเหมือนไหล่จะทรุดและเกือบทำกระเป๋าหล่น รุ่นพี่ปีสามก็ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างทนไม่ไหว “ขนเยอะขนาดนี้ไม่หนักเหรอ” เขามองฉันอย่างทึ่งๆ แต่ก็มีแววตำหนิเจืออยู่ ฉันยิ้มตอบ “หนักค่ะ แต่ก็ไม่อยากขนหลายรอบ” รุ่นพี่เอามือเกาหัว แล้วมองไปยังเด็กปีหนึ่งอีกห้าคนที่ช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถ เหมือนอยากช่วยแต่ก็ไม่อยากล่วงเกินกฎที่ปีสองตั้งขึ้นมา ฉันไม่อยากหยุดคุยกับรุ่นพี่นานนักเพราะเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าอู้ แต่ไหนๆ เขาก็ยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว ฝากขนนิดหน่อยคงไม่เป็นไร “งั้นนีฝากพี่ขนกระเป๋าสองใบนั้นด้วยนะคะ” รุ่นพี่มองประเป๋าจูงสองใบที่เขาช่วยฉันแบ่งเบาก่อนหน้านี้ เขาอึ้งเล็กน้อยที่มีรุ่นน้องปีหนึ่งกล้าเอ่ยปากขอร้อง ก่อนพยักหน้าอย่างไม่เกี่ยงงอน “ได้ แต่ว่าครั้งหน้าก็อย่าทำเกินตัวล่ะ เข้าใจไหม” “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มให้รุ่นพี่คนนั้นแล้วเดินออกมา เอากระเป๋าเก็บเสร็จก็เดินกลับมาขนใบใหม่ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอิมเมจบ่น “คนขนเท่านี้เมื่อไหร่จะเสร็จ คิดบทลงโทษไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย” นอกจากจะกล้าตัดผมม้าเต่อแล้วยังกล้าบ่นเสียงดังอีก พวกรุ่นพี่ชำเลืองมองด้วยสายตากดดัน “รีบเข้า! ชักช้าแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ไปสักที” รุ่นพี่คนเดียวกับที่พูดใส่โทรโข่งก่อนหน้านี้ตะเบ็งเสียงค่อนข้างดัง ยัยอิมเมจหันขวับ แววตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันควันเมื่อสบตากับรุ่นพี่คนนั้น ดูก็รู้ว่าอิมเมจกำลังฉุนแต่ก็ไม่กล้าโวยวายต่อหน้าคนหมู่มาก ฉันได้ยินเธอกัดฟันพูดอย่างเคืองๆ ว่า “ไอ้หน้าปลาจวดเอ๊ย!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม