Chapter 5 《 Part 1 》

1882 คำ
“เพนนี” พี่ลีไทน์เห็นฉันกำลังคุยกับชายแปลกหน้าตะโกนเรียกมาแต่ไกล รีบสาวเท้าเข้ามาหา เมื่อมีคนขัดจังหวะ ผู้ชายตรงหน้าฉันก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อ เขามองไปยังพี่ลีไทน์ที่เร่งรุดมาทางนี้ ก่อนหันกลับมายิ้มให้ฉันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกไปขึ้นรถ ตอนพี่ลีไทน์มาถึง เขาก็ขับรถนั่นออกไปแล้ว “ใครเหรอนี พี่รู้สึกคุ้นๆ” ฉันเลิกคิ้วสูง ถามกลับอย่างแปลกใจ “พี่รู้จักคริสด้วยเหรอ” ผู้ชายคนนั้นชื่อ “คริส” หัวหน้าทีมรถแข่งอีเกิ้ลสปีดซึ่งอดีตเป็นศัตรูคู่แค้นของเรดซัน แต่ว่าตอนนี้ความแค้นนั่นน่าจะเจือจางลงไปบ้างแล้วเพราะผู้หญิงสองคน แต่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ได้ติดตามวงการแข่งรถแล้ว เลยไม่รู้เรื่องความบาดหมางของแต่ละทีมดีเท่าเมื่อก่อน จึงยังไม่ค่อยแน่ใจสถานการณ์ระหว่างอีเกิ้ลสปีดกับเรดซัน “คริส? หรือว่าคริสหัวหน้าทีมอีเกิ้ลสปีด” “ค่ะ” พี่ลีไทน์นิ่งไปครู่หนึ่ง การที่เขารู้จักคริสคงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะขนาดฮานพี่ลีไทน์ยังรู้จักเลย “แล้วเขาคุยอะไรกับนี” “เขาแค่ทักทายนีตามประสาคนรู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ” ฉันเดินนำพี่ลีไทน์มาที่ลิฟต์ ไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้นาน เพราะคนมองเยอะ พี่ลีไทน์รับรู้ถึงความไม่สบายใจของฉัน ก็พยักหน้าแล้วเดินตาม ไม่ถามอะไรมาก ระหว่างทางเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคริส หรือล่วงเกินถึงเรื่องส่วนตัวฉันเลยอย่างมากก็แค่เรื่องตาหนูและเรื่องคนที่บ้านที่ฉันสามารถแชร์กับพี่ลีไทน์ได้ ถ้าลึกกว่านั้นฉันยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจกับเขา พวกเรามาถึงบ้านยายนวลภาตะวันก็คล้อยใกล้จะตกดินแล้ว ใครจะไปรู้ว่ารถจะติดยาว นั่งแช่เป็นชั่วโมงก็ไม่ขยับ ตูดชาไปหมด “ภาม แม่นีมาแล้ว” ฉันเดินนำพี่ลีไทน์เข้ามาในบ้าน ก่อนจะชะงักเท้ากึกเมื่อเห็นลูกกำลังนั่งคาบรถสกู๊ดเตอร์พลางส่งเสียงบรื๊นๆ โดยมีพี่ดาวซึ่งควบตำแหน่งพยาบาลพิเศษกับพี่เลี้ยงคอยประคองไม่ให้ล้มอยู่ข้างๆ “รถมาจากไหนคะ” ฉันถามเพราะฉันไม่ได้ซื้อ และไม่รู้มาก่อนว่ายายนวลภาซื้อของเล่นให้ตาหนูซึ่งปกติยายไม่ซื้ออยู่แล้วเพราะยายบอกเองว่าของเล่นกับเสื้อผ้าเด็กเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือย ปกติถ้ายายจะช่วยก็ช่วยเป็นเงินกับพวกของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากกว่า ฉันถึงได้แปลกใจไงว่ารถสกู๊ดเตอร์เด็กมาจากไหน แถมยังเป็นรถที่ดูดีกว่าในท้องตลาดด้วย ท่าทางราคาไม่ใช่น้อยๆ “อ๊ะ น้องนี” พี่ดาวหันมามองพลางส่งยิ้มเมื่อเห็นฉัน ส่วนแม่บ้านก็กำลังปัดกวาดเช็ดถูตามหน้าที่ แค่เงยหน้าขึ้นมามอง ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ฉันยิ้มตอบพี่ดาวก่อนเดินเข้าไปหาลูกโดยยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ลูกเห็นฉันแล้วตบมือตบไม้อย่างดีใจ ก่อนเรียกให้ดูรถที่ตัวเองกำลังขี่อยู่ด้วยการตบมือไหวๆ ใส่แฮนด์รถ แต่ส่วนใหญ่ตบหวืด เลยไม่เจ็บ แถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจมาก “รถเท่จัง ใครให้มาครับ” “ยุ... ยุง” ตาหนูชี้มือไปทางพี่ลีไทน์ ฉันเอียงคอสงสัย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือลูกฟังที่ถามรู้เรื่องกันแน่ พอหันไปมองพี่ลีไทน์เขาก็ส่ายหน้าพรืด บอกว่าไม่ใช่เขาที่ซื้อรถให้ลูกชายฉัน ไม่ใช่พี่ลีไทน์แน่อยู่แล้ว... ถ้าเป็นเขาฉันก็ต้องรู้สิ ฉันหันกลับมามองตาหนู คราวนี้มือที่ชี้นิ้วอยู่ก็วาดไปวาดมามั่วซั่วไปหมด นั่นน่ะสิ ลูกจะไปฟังที่ฉันพูดรู้เรื่องได้ยังไง “บรื๋นนนนบรื๊นนนน” แล้วตาหนูของฉันก็กลับเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองต่อ พอเห็นลูกเล่นเพลินขนาดนี้ฉันก็ลืมคำถามก่อนหน้านี้ไปหมด หันไปถามพี่ดาวตามประสาคนเป็นแม่ “อาบน้ำหรือยังคะ” “ยังเลยค่ะ” “อ่อ แล้วกินนมเยอะไหมคะวันนี้” “ปกตินะ แต่วันนี้น้องกินข้าวหมด” “หืม” ฉันแปลกใจ เพราะปกติข้าวจะเหลือ ไม่ก็ไม่แตะเลย กินแต่นม “จริงเหรอ เก่งจังเลยลูก” ฉันบีบแก้มนิ่มๆ อย่างเอ็นดู หันไปพูดกับพี่ดาวต่อ “เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมวันนี้กินหมด” “เอ่อ...” พี่ดาวอึกๆ อักๆ เหมือนไม่รู้จะตอบยังไง ฉันเลิกคิ้วสงสัย ไม่เข้าใจว่ามีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้กัน “ก็ได้ของเล่นน่ะสิ ถึงได้กินเยอะ ป้อนกี่คำๆ ก็งับเอาหมด” ยายนวลภาเดินออกมาจากห้องข้างในพูดในทำนองกระแหนะกระแหน ยายสวมชุดผ้าฝ้ายทั้งตัว เนื้อตัวสะอาดสะอ้านและมีกลิ่นหอมของสบู่อ่อนๆ โชยมาด้วย แค่มองก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะคิดมาก แต่ฉันชินกับคำพูดแบบนี้ของยายแล้วเลยไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้ว่าลูกเจริญอาหารเพราะได้ของเล่นใหม่ ฉันก็ทั้งตื่นเต้นและกังวลไปพร้อมกัน “แล้วรถมาจากไหนคะยาย” ยายนวลภามองหน้าฉันนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพูดออกมาคล้ายตัดรำคาญ “หลานเขยฉันเป็นคนซื้อ” หลานเขย... หมายถึงริกกี้สินะ “อ่อ” ฉันพยักหน้า ไม่สงสัยอะไรอีก ถึงจะแปลกใจที่ยายเรียกริกกี้ว่าหลานเขยก็เถอะ ฉันอยู่คุยกับยายพักหนึ่งก็ขอตัวพาตาหนูกลับ แน่นอนว่าพี่ลีไทน์อาสามาส่ง พอได้ขึ้นรถจริงตาหนูก็ส่งเสียงบรื๊นๆ ตบไม้ตบมืออย่างชอบใจ แต่ไม่ทันถึงไหนก็ตาเยิ้มหลับคอพับคออ่อนคาอกแม่แล้ว พี่ลีไทน์มาส่งพวกเราถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ “ตัวเล็กหลับเหรอ รอเดี๋ยวนะ พี่เปิดประตูให้” “เอ่อ ขอบคุณค่ะ” พี่ลีไทน์รีบลงจากรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูให้อย่างรู้ใจ ฉันยิ้มให้เขาอย่างซาบซึ้งแกมเกรงใจ รวบร่างลูกแล้วค่อยๆ ก้าวลงจากรถโดยไม่ให้สะเทือนถึงลูกที่หลับอยู่ในอ้อมแขน เดินเข้าบ้านโดยมีพี่ลีไทน์ถือของตามเข้ามา “อ้าวกลับมากันแล้วเหรอ” ลุงคณินคือคนเดียวที่อยู่บ้าน รีบปรี่เข้ามารับของจากพี่ลีไทน์โดยที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ “ลีไทน์มาส่งเหรอ มาพ่อช่วย” “ขอบคุณครับ” พี่ลีไทน์ปล่อยของในมือให้ลุงคณิน “แม่กับคะนิ้งยังไม่กลับเหรอคะ” “ยัง โยน่าจะกลับดึก ส่วนคะนิ้งบอกว่าจะกินข้าวนอกบ้าน เพราะงั้นเรากินข้าวกันก่อนเลยไม่ต้องรอ ลีกินข้าวหรือยังลูก ถ้ายังก็มากินด้วยกัน พ่อทำกับข้าวเสร็จพอดี” “เสียดายจังเลยครับ ผมมีนัดสอน คงอยู่กินด้วยไม่ได้” “อ้าวเหรอ” “ถ้างั้นผมขอตัวเลยนะครับ พี่ไปนะนี” “ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” “อื้ม” พี่ลีไทน์ไปแล้ว ตาหนูที่หลับอยู่ก็ขยับตัวอย่างรู้สึกไม่สบาย ฉันรีบพาลูกขึ้นมาข้างบนทันที โดยไม่ลืมบอกกล่าวลุง “นีพาตาหนูไปนอนก่อนนะคะ ลุงกินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอ” “ได้ๆ” พอเข้ามาในห้อง ฉันค่อยๆ วางลูกลงบนเตียง เปิดแอร์แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอก อยู่รอจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าลูกหลับสนิทถึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ การเป็นแม่คนทำให้ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยและการใช้ชีวิตหลายอย่าง แม้แต่การอาบน้ำยังต้องเร่งรีบ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยจนอยากนอนแช่น้ำอุ่นๆ ในอ่างแค่ไหนก็ต้องตัดใจ ฉันเริ่มชินกับการทำอะไรรวดเร็ว อาบน้ำเสร็จในสามนาที ก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกจากห้องน้ำ มองไปที่เตียงตาหนูยังหลับอยู่ท่าเดิม ฉันเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนมาสวมแล้วย้อนกลับมานั่งลงที่เตียง เมียนมองใบหน้ากลมๆ ของลูกพลางคิดอะไรหลายๆ อย่าง แล้วจู่ๆ ฉันก็นึกถึงคำพูดของคริส ภายในใจรู้สึกกังวล… ไม่รู้ว่าพ่อจะไปก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า คราวนี้ต่อให้เป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตเกรงว่าฉันก็คงช่วยไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้ตัวคนเดียวที่จะทำเรื่องเสี่ยงๆ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว ฉันครุ่นคิดพักหนึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจไม่โทรหาพ่อ ฉันจะทำเป็นว่าไม่ได้ยินเรื่องที่คริสพูดวันนี้ก็แล้วกัน “แมะ…” เสียงเรียกดังขึ้น ฉันที่กำลังใจลอยอยู่ดึงสติกลับมาทันที มองคนตัวเล็กที่ลืมตากลมแป๋ว “หืม ตื่นแล้วเหรอคนเก่ง” “มะหม่า… ม หม่ำ” กว่าจะพูดได้แต่ละคำ คนฟังรอลุ้นจนเหนื่อย “หม่ำเหรอ รอเดี๋ยวนะ” ฉันกุลีกุจอลุกขึ้นไปชงนมให้ลูก เดี๋ยวลูกกินนมเสร็จก็จะพาไปอาบน้ำ ช่วงที่รอลูกกินนม ฉันเอางานมาทำคร่าเวลา “แมะ…” “อ๊ะ ระวังตกนะ” ฉันได้ยินเหมือนเสียงเรียกของลูกก็เงยหน้าขึ้น แล้วเห็นตาหนูวางขวดนมที่ดื่มจนเกลี้ยง พลิกตัวลงคว่ำ ทำท่าจะคลานลงจากเตียง ก่อนที่ลูกจะพลั้งตกฉันรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวลูกเอาไว้หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เลยทีเดียว เฮ้อ! อันตรายจริงๆ คลาดสายตาไม่ได้เลย คราวนี้ฉันวางลูกลงกับพื้นพลางพร่ำบ่นต่างๆ นานา แต่ก็เหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า เพราะพูดอะไรไปลูกก็ไม่รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด “เดี๋ยวอาบน้ำนะครับ มาแม่นีถอดเสื้อหน่อย…” ตาหนูทำท่าจะคลานหนี แต่ว่าฉันจับไว้ได้ก่อน พอถูกจับก็พลิกตัวหลบอีก คือจะคลานไปให้ได้ซึ่งไม่รู้จะคลานไปไหน หรือขอแค่ได้คลานหนีก็สบายใจ? แต่ว่าแม่ไม่ปล่อย จับถอดเสื้อผ้าจนล่อนจ้อน แล้วอุ้มเข้าห้องน้ำแบบไม่เปิดโอกาสให้เล่น ตอนแรกก็ทำเสียงร้องงอแง แต่พอสระผมเสร็จจับจุ่มน้ำอุ่นทั้งตัวก็เปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นเสียงหัวเราะร่า เล่นน้ำอย่างชอบอกชอบใจ แค่จับลูกอาบน้ำฉันก็รู้สึกว่าผลาญพลังไปเท่ากับข้าวที่กินไปหนึ่งมื้อ หลังอาบน้ำเสร็จฉันอุ้มลูกลงมาข้างล่าง เพื่อหาอะไรให้ตัวเองกิน ตาหนูเห็นแม่กินก็อยากกินด้วย ฉันเลยเอาขนมสำหรับเด็กให้แต่ลูกกลับกำเล่นจนขนมแตกหักหกเลอะไปอีก ช่างเถอะ ฉันมองอย่างไม่คิดอะไรมาก แค่ลูกนั่งเล่นอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ สักสามนาที ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม