“แค่คิดก็รู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมาแล้วหละป้า”
“วะอีนี่… จะอดตายอยู่รอมร่อยังเสือกมาทำเรื่องมาก ข้าเมื่อยปากแล้วนะโว้ย”
“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะป้า…” สายตาบอกความหวาดกลัว
“ข้ารู้น่ะ ที่เสียเวลาพูดซะจิ๋มแฉะ เอ้ย… ปากเปียกปากแฉะ ก็เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาคุยกันเล่นๆ…”
แกเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
“ก็…” จำปาอ้ำอึ้ง
“ว่าแต่เอ็งจะทำมั้ย…” แกถามถึงความสมัครใจ ถึงเวลาที่ต้องสรุปเสียที
“ไม่ป้า…”
จำปาส่ายหน้าพรืดอีกตามเคย ตอบโดยไม่ต้องคิด
ป้าช้อยทำหน้าผิดหวัง ก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้ว นับตั้งแต่ลงมานั่งหย่อนสะโพกคุยกับจำปา
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจในตอนนี้… ข้าให้เวลาคิดอีกคืน บางทีเอ็งอาจจะเปลี่ยนใจ ถ้าเองทำได้… ข้าเอาหัวเป็นประกันเลยก็ได้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของเอ็งจะดีขึ้นในพริบตา เอ็งจะมีเงินใช้หนี้ใช้สิน ต่อไปเอ็งจะมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องอยู่ห้องเช่าซอมซ่อแบบนี้ และที่สำคัญ ลูกเอ็งจะได้เรียนดีๆ มีอนาคตที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าแววตาแข็งขืนเมื่อครู่ดูอ่อนลง ป้าช้อยรีบฝากอีกประโยคทิ้งท้ายเอาไว้ให้คิด
“ถ้าเอ็งไม่คิดถึงตัวเอง… ก็ขอให้คิดถึงลูกบ้างเถอะวะนังจำปา”
จำปานิ่งเงียบ…
แต่ในสมองของหล่อนก็คิดตามที่ป้าช้อยพูด ทุกถ้อยคำยังดังกึกก้องอยู่ในสองหู
‘ไม่คิดถึงตัวเองก็ให้คิดถึงอนาคตของลูก’ ประโยคนั้นสะกิดใจหล่อนอย่างแรง
“เอ็งนอนคิดให้ดีๆ… ยังมีเวลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้าจะไม่บังคับฝืนใจใคร จะทำหรือไม่ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเอ็งคนเดียว อยู่ที่ความสมัครใจของเอ็ง ข้าไปละ… เป็นอันว่าพรุ่งนี้สายๆ จะมารอฟังคำตอบ”
คนที่กำลังจะเดินจากไปทิ้งท้ายเอาไว้ให้คิด
ยังไม่ทันที่จำปาจะตอบอะไร เสียงของลูกน้อยที่นอนอยู่ในเปลก็ร้องจ้าขึ้นมาเสียก่อน หล่อนจึงรีบกลับเข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น…
แสงแดดของยามสายสาดทอมาจากผืนฟ้าเบื้องทิศตะวันออก กลุ่มเมฆสีขาวดูนุ่มเบาราวขนมปุยฝ้ายกำลังลอยผ่านหน้าไปช้าๆ ผีเสื้อหลายตัวกระพือปีกอยู่เหนือพุ่มดอกเข็มสีแดงสะพรั่งที่ขึ้นอยู่ข้างริมรั้ว ใกล้ๆ กันนั้นแลเห็นป้าช้อยกำลังตักน้ำรดต้นไม้ หลังจากเลียบๆ เคียงๆ รอดูว่าเมื่อไรจำปาจะออกมาจากบ้านเสียที เพราะแกอยากรู้คำตอบจากปากของหล่อน ในเรื่องที่ได้คุยค้างคาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ทว่าเมื่อได้เจอจำปา คำตอบที่ได้รับรู้… กลับไม่เป็นไปอย่างที่ป้าช้อยต้องการจะได้ยิน
“ไม่จ้ะป้า… ฉันทำไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมา เชื่อไหมว่าฉันก็มีแต่พี่เชิดคนเดียว เคยทำเรื่องอย่างว่ากับเขาคนเดียวเท่านั้น ในชีวิตของฉันไม่เคยมีผู้ชายอื่น”
จำปาที่อยู่ในชุดเสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุงลายดอก เส้นผมที่เคยยาวสลวยขมวดเป็นมุ่นมวยเอาไว้เรียบร้อยที่ด้านหลังของท้ายทอย ใบหน้าเนียนสวยอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่สาดมากระทบ พวงแก้มดูผ่องพรรณแม้จะทาเพียงแค่แป้งฝุ่นบางๆ
“อีห่า…” แกอุทานด้วยความเคยปาก
ป้าช้อยนึกประหลาดใจว่าเป็นไปได้ยังไง? ที่ผู้หญิงสาวสวยและมีของดีอย่างที่ผู้หญิงทุกคนเห็นแล้วนึกอิจฉา จะผ่านมือชายมาเพียงคนเดียว ซึ่งก็คือไอ้เชิดผัวของจำปา
ให้ตายสิ… แต่แกก็เชื่อสนิทใจ จะเพราะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ได้เห็นมาเต็มสองตาตัวเองเมื่อวานนี้ ว่าผิวเนื้อของจำปายังไม่ทันช้ำจริงๆ นับเป็นข้อดีของการมีผัวคนเดียว ไอ้เชิดมันโชคร้ายได้ชื่นชมความสาวของจำปายังไม่ทันช้ำ ก็มีอันต้องมาตายไปเสียก่อน
ตอนสายของวันเดียวกันนั้น ป้าช้อยกลับเข้าบ้านไปด้วยความผิดหวัง ทั้งที่อยากช่วยเหลือให้จำปาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากสามี แต่ทุกอย่างกลับติดขัดอยู่ที่การตัดสินใจของจำปานั่นเอง
“ในชีวิตมันเพิ่งผ่านผู้ชายมาแค่คนเดียว เลยไม่แปลก ถ้ามันจะทำอิดออดบ้าง แต่พอได้ยินว่าเงินดี มันก็มีท่าทีสนใจ… ไม่เชิงว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว”
ป้าช้อยเก็บเอาเรื่องที่เพิ่งคุยกับจำปาเมื่อตอนสาย มาระบายให้สามีฟัง
เพราะว่าคนที่นอนร่วมมุ้งเดียวกันอยู่ทุกคืน ย่อมไม่มีความลับต่อกันเป็นธรรมดา
“ฮ้า! ยังงั้นรึ…”
ลุงเข้มที่กำลังนั่งดูภาพสาวงามในชุดวาบหวิวที่มักจะปรากฏอยู่บนหน้าหนึ่งของคอลัมน์มาลัยไทยรัฐ หันมาทำตาวาวขึ้นมาทันที
แกไม่ได้ตกใจที่รู้ว่าจำปาปฏิเสธงานที่ป้าช้อยชักชวน แต่ตกใจที่ได้รู้ว่าจำปาเพิ่งเคยผ่านมือผู้ชายมาเพียงคนเดียว ก็คือไอ้เชิดผัวของมันซึ่งก็ตายไปแล้ว
“ใช่… ฉันหมดปัญญาจะโน้มน้าวมันละพี่เข้ม”
แกถอนใจเบาๆ ส่งสายตาเหนื่อยหน่ายให้สามีรู้ว่าได้ลองพยายามดูแล้ว
“ก็แล้วทำไมไม่หักดิบ มัดมือชกให้รู้แล้วรู้รอด”
ลุงเข้มเอ่ยออกมาตามนิสัยผู้ชายใจร้อน แต่ความจริงแล้วแฝงเอาไว้ด้วยแผนการสกปรกบางอย่าง
“มัดมือชกยังไง…”
ป้าช้อยตบเข่าสามีเบาๆ เงยหน้ารอฟังความคิดพิเรนทร์ของลุงเข้ม
“ก็ถ้ามันไม่กล้า เพราะเหตุผลที่ว่ามันไม่เคยเอากับคนอื่นที่ไม่ใช่ผัว… ก็ทำไมไม่ทำให้มันเคยๆ ไปซะล่ะ คราวนี้มันจะได้เลิกหน้าบางซะที มันจะได้กล้า… จะได้คุ้นเคย คราวนี้รับรองว่าอะไรๆ จะง่ายขึ้น” แกเชื่ออย่างนั้น
“ยังไงของพี่…”
คนเป็นเมียเกาหัวแกรกๆ แม้พอจะเดาทางได้ แต่ก็ไม่คิดว่า…
“ก็ให้ข้าจัดการมันก่อน”
“โห… พี่เข้มอ่ะ ช่างคิดได้เนาะ”