เมิ่งเยียนและอาเหยา สิบแปดมงกุฏตัวแสบหนีคนของทางการเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดร้าง เมิ่งเยียนทิ้งตัวแล้วนั่งทุบขาอย่างคนหมดแรง เหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน นางพึ่งกินอิ่มจนพุงกาง เนื้อเป็ดยังไม่ทันย่อยเสียเลยด้วยซ้ำ กลับต้องวิ่งจนจุกท้องไปหมด
อาเหยาเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขาล้มตัวนอนแล้วเหยียดแขนเหยียดขาเสียเต็มที่ “พี่เมิ่ง พวกเราจะทำอย่างไรกันดี พวกทางการมีภาพเหมือนของพวกเราอยู่ในมือด้วย” หนุ่มน้อยกล่าวอย่างกังวล
“ถึงเวลาที่พวกเราคงต้องออกจากเมืองหลวงกันแล้ว” เมิ่งเยียนตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ดูไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด นางเข้าออกเมืองหลวง ย้ายเมืองไปเรื่อยจนเป็นเรื่องปกติแล้ว หากเรื่องแดงนางก็จะหายหน้าจากเมืองหลวงไปสักพักเพื่อรอให้เรื่องเงียบ แล้วค่อยกลับเข้ามาเมืองหลวงใหม่อีกครั้ง เพราะที่นี่ ถือเป็นแหล่งรายได้ชั้นดี เหยื่อของนางแต่ละคนล้วนเป็นคนมีฐานะ
เมิ่งเยียนกล่าวเสริม “ครั้งนี้เราต้องหาเงินก้อนใหญ่ให้ได้สักก้อนก่อนออกจากเมืองหลวง” เพราะว่าครั้งนี้ เมิ่งเยียนจะไม่กลับเข้ามาเมืองหลวงอีกแล้ว นางคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเลิกเป็นสิบแปดมงกุฏเสียที นางจะย้ายไปลงหลักปักฐานในเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบสักเมืองและเริ่มทำการค้าขาย อีกอย่าง อาเหยาที่ติดตามข้างกายนางมานานหลายปี นางไม่อยากให้เขาเดินเส้นทางนี้ เพราะสำหรับนางแล้ว อาเหยาไม่ใช่แค่ลูกน้องมือซ้ายอะไรนั่นเสียหน่อย แต่เขาเป็นเหมือนน้องชาย เป็นเหมือนคนในครอบครัวของนาง
อาเหยา “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ไปหาฮูหยินผู้นั้นกันเถอะ”
เมิ่งเยียนพยักหน้า ก่อนทิ้งตัวนอนแผ่หลาอยู่ข้างอาเหยา นางยกแขนก่ายหน้าผาก บ่นอย่างหงุดหงิด “คิดแล้วก็หงุดหงิด เหตุใดรอบนี้คนของทางการถึงตามกลิ่นเจอพวกเราเร็วนัก”
คืนนี้เมิ่งเยียนและอาเหยาไม่ได้กลับเข้าที่พัก พวกเขานอนกันที่วัดร้าง รอจนกระทั่งเช้า เมิ่งเยียนก็ลุกมาจัดการตนเอง ชุดสีขาวที่สวมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นเกรอะ แต่นางคงไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่โรงเตี๊ยมแล้ว คิดว่าคนของทางการคงไม่ยอมเลิกราวีพวกนางง่าย ๆ เป็นแน่
เมิ่งเยียนที่สวมบทบาทเป็นผู้วิเศษเดินทางมาที่จวนสกุลจางพร้อมอาเหยาแต่เช้าตรู่ ทันทีที่จางฮูหยินรู้ว่าท่านผู้วิเศษมาแล้วนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับออกมาต้อนรับด้วยตนเองถึงหน้าประตูจวน
“ท่านผู้วิเศษมาแล้วหรือ แล้วนี่เหตุใด…” จางฮูหยินกวาดสายตามองสภาพมอมแมมของทั้งคู่แล้วย่นหัวคิ้ว
เมิ่งเยียนแสร้งกระแอมเสียงดัง โกหกไปว่า “คือว่า...เมื่อคืนข้าไปนั่งอาบแสงจันทร์เพื่อรับพลังหยางในวัดร้าง เพราะเห็นว่าที่นั่นเงียบสงบดี เสียแต่ฝุ่นเยอะและสกปรกไปหน่อย พอเช้าพวกข้าก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ สภาพเลยดูไม่ดีเท่าไร จางฮูหยินโปรดอย่าได้ถือสาที่สภาพพวกข้าเป็นเช่นนี้เลย ตอนนี้พลังหยางในกายข้าเพียงพอแล้ว อีกอย่างวันนี้ฟ้าก็เปิด เหมาะสำหรับทำพิธีขับไล่วิญญาณยิ่งนัก” พูดจบนางก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า
จางฮูหยินได้ฟังแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ มองหน้าท่านผู้วิเศษด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ ท่านผู้วิเศษช่างใจดียิ่งนัก ตั้งใจช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่
จางฮูหยินผายมือไปด้านใน “เช่นนั้นเชิญทางนี้”
เมิ่งเยียนให้คนตั้งโต๊ะด้วยอาหารชั้นดีเจ็ดอย่าง อ้างว่าจะทำการเชิญเทพเจ้าเข้าสู่ร่างก่อน หญิงสาวที่ยังไม่ได้กินอะไรนอกจากเป็ดย่างเมื่อวานก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเมื่อได้กลิ่นอาหารหอม ๆ หากเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงท้องนางร้อง
“อ่ะแฮม! ฮูหยิน พวกท่านออกไปรอข้างนอกก่อน อย่าเข้ามาจนกว่าข้าจะอนุญาต ข้าต้องการให้ท่านเทพช่วยข้าขจัดวิญญาณร้ายอีกแรง ดังนั้นพิธีเชิญท่านเทพจึงสำคัญมาก” เมิ่งเยียนกล่าวด้วยสีหน้านิ่งขรึมจริงจัง
จางฮูหยินรีบพยักหน้าตอบรับแทบจะทันที ก่อนจะพาคนของตนออกไปรอข้างนอก ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง ทั้งสองก็ลงมือจัดการอาหารตรงหน้า
“พี่เมิ่ง หมูตุ๋นน้ำแดงชามนี้เนื้อนุ่มมาก” อาเหยาลากเสียงยาว หยิบตะเกียบคีบเนื้อหมูติดมันเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
“อาเหยา หากกินไม่หมดพวกเราก็ห่อกลับ เจ้าเอาปิ่นโตมาด้วยหรือไม่”
อาเหยาพยักหน้า ตบที่ย่ามสองสามที “เอามา”
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม อาหารตรงหน้าก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่น่าเชื่อ เมิ่งเยียนและอาเหยาถึงกับขยับตัวไม่ได้เลยทีเดียว อิ่มจนจุกท้อง พวกเขาแทบจะกลิ้งกันแล้ว
“ท้องข้าจะแตกแล้ว” เมิ่งเยียนลูบพุงตนเอง
“ข้าก็ด้วย” อาเหยาถึงกับเรอออกมา
จากนั้นทั้งสองก็รีบเช็ดคราบมันที่ติดตามนิ้วมือและปาก ก่อนเปิดประตูออกไปข้างนอก บ่าวรับใช้ในจวนที่รออยู่ข้างนอกมองเข้าไปในห้องทำพิธีถึงกับผงะ อาหารที่ตระเตรียมไว้หมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน พวกบ่าวต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าปริปากถามอะไร
เมิ่งเยียนเริ่มทำพิธี วาดมือกลางอากาศแล้วหลับตานิ่ง ก่อนเริ่มสั่นกระดิ่งที่ถืออยู่ในมือ จากนั้นก็บ่นพึมพำไปเรื่อย ผู้คนที่เฝ้ารอดูพิธีขับไล่ภูติผีจากท่านเทพสาวถึงกับขนลุกเกรียว เมื่อจู่ ๆ ก็มีลมพัดผ่านอย่างแรง
เมิ่งเยียนและอาเหยาเดินสั่นกระดิ่งจนทั่วจวน จากนั้นก็มาห้องนอนของจางฮูหยินเป็นที่สุดท้าย หญิงสาวมองไปที่เตียง นางเห็นหมอนที่ฮูหยินจางใช้หนุนนอน ก็พอจะเดาได้ว่าทำไมถึงปวดคอ
“จางฮูหยิน ท่านควรเปลี่ยนหมอนใหม่ ใบนี้สูงเกินไป” เมิ่งเยียนแนะนำด้วยความปรารถนาดี
ส่วนจางฮูหยินก็รีบตอบรับพร้อมพยักหน้าเช่นเดิม นางสั่งการกับบ่าวคนสนิทให้นำหมอนใบนั้นไปทิ้งแล้วเปลี่ยนใบใหม่เสียเดี๋ยวนั้นเลย
นางเชื่อท่านเทพผู้นี้เสียยิ่งกว่าอะไร
ใช้เวลาเกือบชั่วยาม พิธีขับไล่ภูติผีปลอม ๆ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เมิ่งเยียนได้มอบผ้ายันต์ให้อีกห้าแผ่น พร้อมสร้อยเครื่องรางไว้ให้จางฮูหยินอุ่นใจ ส่วนจางฮูหยินได้มอบเงินเป็นจำนวนถึงร้อยตำลึงให้แก่ท่านผู้วิเศษสิบแปดมงกุฏด้วยความเต็มใจ
เมิ่งเยียนไม่เคยได้เงินมากมายเท่านี้มาก่อน นางถึงกับมือสั่นเลยทีเดียว
“เป็นสินน้ำใจ ไม่มากมายอะไร ท่านเทพโปรดรับไว้เถอะ” จางฮูหยินกล่าวอย่างใจดี นางยินดีให้เองในจำนวนเท่านี้ จริงแล้วเมิ่งเยียนไม่เรียกร้องว่าต้องจ่ายเท่าไร นางแล้วแต่ศรัทธา ด้วยเพราะเหตุผลนี้ ผู้คนจึงเชื่อคำพูดปั้นแต่งของนางได้ง่าย
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ตอนนี้วิญญาณเด็กได้ไปผุดไปเกิดแล้ว จากนี้ท่านก็สบายใจได้” เมิ่งเยียนฉีกยิ้มกว้าง ยื่นมือสั่นเทาออกไปรับหีบเงินร้อยตำลึง จากนั้นก็รีบขอตัวลา
แต่เพียงก้าวออกจากจวนสกุลจางได้เพียงสามก้าว จู่ ๆ ก็มีกระบี่จ่อเข้าที่คอนางและอาเหยา หากพวกนางก้าวต่อ คอคงขาดสะบั้นแน่
มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของทางการ
เมิ่งเยียนหันไปสบตากับอาเหยา ทั้งคู่ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก หน้าซีดขาวราวกระดาษ
เมิ่งเยียนกอดหีบเงินร้อยตำลึงไว้แน่น “นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ!”
บุรุษร่างสูงคนหนึ่งเดินขึ้นหน้า ก่อนกระชากผ้าคลุมหน้าและดึงหมวกฟางของทั้งสองออก เขาคลี่ม้วนภาพเหมือนในมือแล้วเทียบกับใบหน้าพวกเขาทีละคน
เซ่าเจ๋อได้รับแจ้งจากคนของคุณหนูจาง ว่ามีชายหญิงท่าทางมีพิรุธเข้ามาทำพิธีบางอย่างในจวน ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนกัน เขาถึงต้องมาดูด้วยตนเอง ใครจะไปรู้ ว่าสุดท้ายก็เจอคนที่ต้องการตัว
“คุมตัวไป” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ
“อ๊ะ! นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ ท่านจะพาพวกข้าไปไหน” เมิ่งเยียนเริ่มโวยวาย เหงื่อเย็นแตกพลั่กเต็มแผ่นหลังแล้วตอนนี้
“พี่เมิ่ง...” หนุ่มน้อยอาเหยาใจคอไม่ดีแล้ว มองหน้าลูกพี่เมิ่งพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าจะทำอย่างไรกันดี ลูกพี่อย่างเมิ่งเยียนก็ได้แต่พยักหน้ายิ้มเจื่อนให้ไป
เมิ่งเยียนและอาเหยาถูกคุมตัวมาได้สักพัก ระหว่างทางหญิงสาวก็เริ่มออกลวดลายและลีลา นางแสร้งทำเป็นสะดุดขาตนเองจนหกล้มดังพลั่ก “โอ๊ย! ขาข้า”
เซ่าเจ๋อที่เดินนำหน้า ถึงกับต้องหยุดแล้วเหลียวหลังมามอง เขาขมวดคิ้วรำคาญ ก่อนกล่าวเสียงเข้มดุดัน “เดินต่อ!”
เมิ่งเยียนถูกกระชากคอเสื้อจากด้านหลัง ทว่าหญิงสาวทำตัวอ่อนปวกเปียกขาอ่อนแรงไม่ยอมยืนเองง่าย ๆ นางทำปากยื่นเหมือนจะร้องไห้ จนผู้ชายตัวโตที่ประกบข้างซ้ายขวาต้องตะคอกเสียงดัง “เดินดี ๆ!”
“ขาข้าเจ็บจะเดินดี ๆ ได้อย่างไรเล่า! พวกท่านช่างเป็นบุรุษใจร้าย ไม่รู้จักถนอมบุปผาเช่นข้า” เมิ่งเยียนโต้ตอบเสียงดัง จนชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงกับต้องเหลียวมอง
เซ่าเจ๋อเริ่มรำคาญเสียงนาง เขาจึงอุดปากนางด้วยผ้าคลุมหน้าของนางเอง จากนั้นก็หันไปสั่งการกับลูกน้องเสียงแข็ง “หากนางเดินไม่ได้ก็แบกนางไป!”