สองคนพี่น้องเดินขึ้นไปตามเชิงเขาจนซานเฉียวเห็นว่าพ้นจากสายตาของทุกคนแล้ว เธอจึงตัดสินใจเล่าเรื่องสำคัญให้พี่ชายฟัง
"พี่ใหญ่ เรื่องนี้มันอาจจะเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ต้องเชื่อฉันนะ ฉันไม่มีเวลาอธิบายมากเท่าไหร่ แต่ฉันอยากให้พี่เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง"
"น้องหมายความว่ายังไงอาเฉียว?"
ซานหลางเริ่มแปลกใจในสิ่งที่น้องสาวพูด วันนี้ซานเฉียวมีหลายอย่างที่แปลกไป แต่เขาเห็นว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเขาจึงไม่ได้ทักท้วงอะไร บางครั้งน้องสาวของเอาอาจจะเปลี่ยนไปเพราะเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วก็เป็นได้
"พี่ใหญ่จับมือหนูแล้วหลับตานะ"
ถึงจะไม่ได้คำตอบกับเรื่องที่สงสัย แต่ซานหลางก็ยอมทำตามที่น้องบอกแต่โดยดี ซานเฉียวจับมือพี่ชายแล้วพาซานหลางเข้าไปในมิติ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าผู้เป็นพ่อแอบตามมาด้วยตลอดเส้นทาง การที่เห็นลูกทั้งสองหายวับไปกับตาทำให้ฮั่วซานถังแทบเป็นลมล้มทั้งยืน
"มะ..ไม่จริง นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ในมิติ
"ลืมตาได้แล้วพี่ใหญ่"
"เฮ้ย! นี่มันที่ไหนกันอาเฉียว พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
ซานหลางมองไปรอบตัวด้วยความตื่นตระหนก ปากหยักเอ่ยถามน้องสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่แตกตื่น
"พี่ตั้งสติแล้วฟังหนู ตอนที่วิญญาณของหนูออกจากร่าง หนูเจอกับผู้เฒ่าคนนึงที่มาพร้อมกับมิติแห่งนี้ ท่านให้โอกาสหนูอีกครั้งเพื่อจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว.."
"แลกกับอะไรอาเฉียว บอกพี่มาเร็วเข้า"
เมื่อเห็นสีหน้าน้องสาวเหมือนมีเรื่องปิดบัง นั่นยิ่งทำให้ภายในใจของซานหลางร้อนรุ่มจนไม่อาจใจเย็นอยู่ได้
"แลกกับให้หนูเป็นคนใหม่"
ด้วยไม่รู้ว่าขอบเขตของกาลเวลาจะทำให้ผู้คนแตกตื่นมากน้อยแค่ไหน ฮั่วซานเฉียวจึงเลือกที่จะบอกเรื่องราวให้พี่ชายฟังเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่เธอไม่ได้โกหก..
"คนใหม่หรอ?"
"ใช่ค่ะ หนูต้องเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม หนูจะไม่มีวันคิดสั้นเพราะผู้ชายคนไหนอีก หนูจะช่วยพี่ใหญ่ดูแลทุกคนในครอบครัว หนูสัญญาว่าจะทำให้ทุกคนกินอิ่มนอนหลับได้อย่างสบายใจ"
พรึบ
ซานหลางดึงน้องสาวเข้ามากอดไว้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาพร้อมกับความโล่งอกคลายกังวล โชคดีที่น้องสาวของเขาไม่ต้องแลกมิตินี้มาด้วยอายุขัย
"ยังดีอาเฉียว ยังดีที่เป็นแบบนี้"
"เรามีเวลาไม่มาก พี่ตามหนูมาทางนี้ เร็วเข้า ดินในนี้ทั้งหมดเป็นดินวิเศษที่สามารถปลูกพืชผัก หรือข้าวให้โตได้เพียงข้ามคืน พี่เห็นข้าวนั่นไหม คะน้าข้าง ๆ ด้วย หนูเพิ่งปลูกมันเมื่อคืน"
ซานเฉียวเดินนำหน้าพี่ชายไปทางโรงนา พร้อมกับชี้บริเวณกอข้าวกับต้นคะน้าให้พี่ชายได้ดูไปพร้อม ๆ กัน
"มันเป็นเรื่องจริงเหรออาเฉียว มีเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนั้นจริง ๆ เหรอ"
"มีสิพี่ใหญ่ มีตั้งแต่ตอนที่เราก้าวขาเข้ามาในนี้แล้ว"
ครืดดดดด
ประตูโรงนาถูกเปิดออกยิ่งทำให้ซานหลางทึ่งกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจนตาค้าง ทั้งเครื่องสีข้าวขนาดใหญ่ ทั้งรถไถนา รถเกี่ยวข้าว ไหนจะเครื่องมือทำสวนอย่างครบครันอีก
"นี่มัน! อาเฉียวเรามีทางรอดแล้ว"
สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ซานเฉียวจะบอกให้พี่ชายไปลองขับรถไถนาลองดู
"เราต้องรอดอยู่แล้ว พี่ขับรถไถนาเป็นไหม หนูว่าเราเริ่มไถนาแล้วหว่านข้าวกันเลยดีกว่า"
"ได้เลย ไม่มีปัญหา น้องน่าจะจำได้ว่าพี่เป็นคนขับรถไถนาของคอมมูนเลยนะ พี่ชายของเธอเก่งขนาดไหนไม่รู้รึยังไง"
พูดจบซานหลางก็ปีนขึ้นบนรถไถนาคันใหม่อย่างตื่นเต้น ส่วนซานเฉียวก็รีบไปเตรียมเมล็ดพันธุ์ผักที่มีไปปลูก อย่างน้อยก็จะได้ทำกินในครอบครัว ดูจากมื้อเช้าที่เธอได้กินมีเพียงข้าวต้มเปล่า ๆ ไม่ได้ข้นเลยสักนิด เธอคิดว่าทุกคนคงไม่มีเงินซื้อเสบียงอาหารแล้ว
"เอาข้าวออกไปทีละถังก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้าปลูกหมดกระสอบนี้แล้ว หวังว่าคงมีที่ขายข้าวเปลือกออกไปบ้างนะ อย่างน้อยก็จะได้ซื้อพันธุ์ข้าวมาเพิ่ม"
มือของซานเฉียวตักข้าวเปลือกในกระสอบป่านมาใส่ในถังขนาด 10 กิโลจนเต็มถัง แต่ที่น่าแปลกก็คือตักเท่าไหร่ข้าวเปลือกก็ไม่พร่องลงเลยสักนิด
"เอ๊ะ! หรือว่า.."
เมื่อเกิดความสงสัยเธอจึงลองเดินไปหยิบเมล็ดพริกและเมล็ดผักบุ้งที่มีอยู่อย่างละ 1 ถุงขนาดครึ่งกิโลออกมาจนหมด ปรากฏว่าทันทีที่ซานเฉียวหยิบออกมาก็มีเมล็ดพันธุ์ผุดขึ้นมาใหม่ในปริมาณเท่าเดิม นั่นจึงทำให้เธอรู้แล้วว่าเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เธอสามารถใช้ปลูกได้ตลอดโดยไม่มีวันหมด
เช่นเดียวกับเครื่องมือทำสวนที่ซานเฉียวหยิบออกมาจากชั้นวาง เธอหยิบคราดพรวนดิน เสียมเล็ก ๆ พร้อมกับเคียวเกี่ยวข้าว ปรากฏว่าทุกอย่างก็เพิ่มขึ้นมาแทนที่อันที่เธอหยิบออกไปทันที
"เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณนะคะคุณตา หนูสัญญาเมื่อถึงเวลานั้น หนูจะช่วยทุกคนเท่าที่แรงขอหนูจะทำได้เพื่อเป็นการตอบแทน"
พอเดินออกจากโรงนาเธอก็พบว่าพี่ชายไถพรวนพื้นดินไปได้เกือบ 1 ไร่แล้ว เธอจึงเริ่มใช้เคียวที่หยิบมาเกี่ยวข้าวที่เธอหวานเอาไว้ออกมาให้หมด ซึ่งมันก็ไม่ได้มากมายจนเธอทำเองไม่ไหว เสร็จจากเกี่ยวข้าวเธอก็รีบไปเก็บคะน้าที่เธอหว่านเอาไว้มากองรวมกัน
ซานเฉียวเริ่มใช้คราดพรวนดินบริเวณที่เธอเพิ่งเก็บผักออก จากนั้นก็เริ่มหว่านผักชนิดต่าง ๆ ลงไปอย่างละเล็กละน้อย แต่เน้นหลากหลายจะได้ไม่จำเจ พอหว่านลงไปไม่นานเมล็ดพันธุ์ก็แตกเป็นต้นอ่อนทั้งที่เธอไม่ทันได้รดน้ำเลยสักนิด
เช่นเดียวกับผืนดินที่ซานหลางเพิ่งไถพรวน ดินดำร่วนซุยดีจนไม่จำเป็นต้องไถซ้ำ ซานเฉียวจึงเริ่มนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เธอตักออกมาหว่านให้กระจายไปทั่วพื้นดินจนหมดถัง แล้วเธอก็เดินเข้าไปตักมาเพิ่มเรื่อย ๆ จนกระทั่งพี่ชายของเธอขับรถไถมาจอดที่หน้าโรงนา
"น้องไปนั่งพักเถอะอาเฉียว เดี๋ยวพี่จะหว่านต่อเอง"
"ไม่เป็นไรค่ะพี่ใหญ่ ช่วยกันทำจะได้กลับบ้านเร็วขึ้น เราเข้ามาในนี้เกือบจะ 2 ชั่วโมงได้แล้ว อีกไม่นานก็เที่ยว หนูอยากจะไปหาดูอะไรแถวลำธารตรงเชิงเขาท้ายหมู่บ้านซะหน่อย"
"เอาอย่างนั้นก็ได้"
ซานหลางจำต้องยอมให้น้องสาวทำงานตามที่อีกฝ่ายต้องการ ก่อนที่เขาจะเดินไปหอบเอารวงข้าวที่ซานเฉียวเกี่ยวไว้เข้าไปในโรงนา จากนั้นเขาก็กลับออกมาพร้อมถังข้าวเปลือกอีก 2 ถัง ทั้งคู่เร่งมือหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยกันอย่างขะมักเขม้น
พื้นที่ที่ถูกไถพรวนเอาไว้กว้างกว่า 5 ไร่เท่าที่ซานหลางคาดการณ์ด้วยตาเปล่า ไม่ถึง 1 ชั่วโมงสองพี่น้องก็หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวเสร็จแล้วมานั่งพักตรงจุดแรกเริ่ม ต้นข้าวสีเขียวที่เติบโตขึ้นภายในพริบตาทำให้สองพี่น้องรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
"ข้าวที่บ้านหมดแล้วใช่ไหมพี่ใหญ่ หนูว่าเราไปลองใช้เครื่องสีข้าวกันเถอะ เราจะได้เอาข้าวกลับไปหุงให้ทุกคนกินด้วย"
"อื้อ ไปสิ ว่าแต่ลุกไหวไหม ขี่หลังพี่รึเปล่า"
"ไหวเซ้ หนูโตเป็นสาวจนเลยวัยออกเรือนแล้วนะพี่ใหญ่ ทำยังกะหนูเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยไปได้"
"หึ! เมื่อเช้ายังบอกจะเป็นยายหนูตัวเล็กของปู่อยู่เลย"
"ไม่ต้องมาพูดเลย เดี๋ยวจะไม่แบ่งกับข้าวอร่อย ๆ ให้กินนะ"
"ยิ่งโตยิ่งขี้บ่น"
ทั้งคู่พูดคุยกันไปพร้อมกับเดินเข้าไปเปิดเครื่องสีข้าวในเวลาเดียวกัน ซานหลางใช้เวลาไม่นานก็รู้ว่าต้องใช้เจ้าเครื่องนี้ยังไง แม้ว่ามันจะดูล้ำสมัยแต่ปุ่มสั่งงานก็มีให้เห็นชัดเจน นั่นจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับลูกจ้างที่ผ่านมาหลายงานอย่างเขาเลยสักนิด
"ว้าวพี่ใหญ่ ดูเม็ดข้าวสิ ขาวสวยเต็มเม็ด แล้วก็หอมมากด้วย เย็นนี้ทุกคนต้องกินข้าวอร่อยมากแน่ ๆ "
เพียงแค่คิดว่าทุกคนในบ้านจะได้กินของดี ๆ ก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่หาถังเล็ก ๆ มาใส่ข้าวที่สีออกมาได้ประมาณ 5 กิโล จากนั้นก็เดินออกไปเก็บคะน้าจัดเรียงใส่ตะกร้าแล้วพากันรีบกลับออกไปจากมิติทันที
พรึบ
"พ่อ!/ พ่อ!"
"นี่มันอะไรกันอาเฉียว อาหลาง พ่อไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม"
ซานเฉียวกับซานหลางพอออกมานอนมิติก็พบเข้ากับบิดาที่ยืนอยู่ ทั้งสามคนต่างก็ตกใจที่ได้เจอกับอีกฝ่ายในสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย
"พี่ใหญ่ หนูยกให้เป็นหน้าที่ของพี่นะ ช่วยอธิบายให้พ่อฟังที หนูขอเดินไปดูบางอย่างที่ลำธารสักหน่อย"
ผู้เป็นพี่ชายจำต้องรับหน้าที่อธิบายทุกอย่างให้บิดาเข้าใจ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เดินตามซานเฉียวไปที่ลำธารติดทว่า..
"..." "..."
"นั่นมันเห็ดนี่พี่ใหญ่ เห็นโคน ฮ่า ฮ่า ฮ่า อร่อยแน่เย็นนี้"
ระหว่างที่กำลังเดินผ่านกอไผ่ที่อยู่ริมลำธาร อยู่ ๆ หางตาของซานเฉียวก็พบเข้ากับเห็ดที่เธอคุ้นตา เวลาที่เธอกลับบ้านที่ไร่องุ่น แม่ของเธอมักจะหาซื้อจากชาวบ้านมาทำให้เธอกินอยู่เป็นประจำ
"อาเฉียวเดี๋ยวพี่เข้าไปเก็บให้เอง ถอยออกมาเร็วเข้า อย่ามุดไปมั่วซั่ว"
"ออกมารอข้างนอกเร็วลูก เดี๋ยวพ่อจะเข้าไปช่วยพี่เราเอง"
ฮั่วซานถังพอได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ จากลูกชายก็ยังทึ่งกับเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นอยู่ แต่อะไรจะเป็นคำตอบได้ดีกว่าการที่เขาได้เห็นกับตาว่าลูกทั้งสองคนหายตัวไปมาอยู่กลางอากาศต่อหน้าต่อตาเขาอีกล่ะ
"หู้วว ลำบากพี่ใหญ่กับพ่อแล้ว ขอบคุณนะคะ"
จังหวะนั้นซานเฉียวก็เดินไปหาใบไม้ใหญ่ ๆ เพื่อมาห่อเห็ดโคนที่พี่ชายกับพ่อของเธอกำลังช่วยกันเก็บ มันเกิดเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เธอคิดว่าหากนำไปผัดก็น่าจะอิ่มกันพอดี
"วันนี้เราโชคดีนะครับพ่อ อาเฉียวตาดีเลยได้กินของอร่อยเลย"
"นั่นสิ วันนี้พวกเราโชคดีจริง ๆ"
สองพ่อลูกใช้มีดพกงัดโคนเห็ดขึ้นมาแล้วเก็บเห็ดมากองรวมกันและพูดคุยกันไปด้วย
"พี่ใหญ่เอารากมันมาด้วยนะ หนูจะลองเอาไปปลูกในนั้นลองดู เผื่อได้เชื้อเห็ดไปด้วยจะได้มีกินตลอดเลย"
แค่คิดเห็นภาพซานเฉียวก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข สายตาของเธอมองไปที่โขดหินริมลำธารอย่างยับยั้งชั่งใจ
"ได้เลยอาเฉียว"
ไม่นานซานหลางกับบิดาก็เก็บเห็ดได้ทั้งหมด พวกเขาจัดเรียงลงในตะกร้าที่มีผักคะน้าต้นอวบเรียงอยู่ จากนั้นก็ใช้ใบไม้ใหญ่ที่ซานเฉียวเก็บมาปกคลุมเพื่อบดบังสายตา ก่อนจะปิดฝาตะกร้าอีกชั้นเป็นปราการสุดท้าย
"พี่ใหญ่ พ่อคะ มาทางนี้เร็วเข้า เมนูฟ้าประทานอยู่ทางนี้"
เสียงของซานเฉียวดังขึ้นอยู่ริมลำธารทำให้สองพ่อลูกบ้านฮั่วต้องรีบตามลงไปช่วยเธอ แม้จะแปลกใจว่าซานเฉียวกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เหมือนเก็บอะไรบางอย่างอยู่ตามซอกโขดหิน
"น้องทำอะไรอาเฉียว จะเก็บเจ้าหัวแดงนั่นไปทำไม มันแข็งขนาดนั้นจะกินได้ยังไงกัน"
ซานหลางเอ่ยถามน้องสาวด้วยความแปลกใจ เจ้ากุ้งหัวแข็งสีแดงมีอยู่มากมายตามลำธารและท้องนา และเจ้าตัวนี้ก็เป็นตัวการในการกัดกินต้นข้าวก็ว่าได้
"ช่วยหนูเก็บใส่ตะกร้าเร็วเข้า นี่แหละของอร่อย ถึงจะต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะได้กิน แต่ถ้าหนูอยู่นานไปรับรองว่ามันต้องสูญพันธุ์แน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
พอได้เห็นดวงใจของบ้านหัวเราะออกมาได้อย่างมีความสุข ซานหลางกับผู้เป็นพ่อก็พลอยยิ้มไปด้วย จากนั้นก็ลงไปช่วยคนตัวเล็กเก็บกุ้งหัวแข็งใส่ในตะกร้า ไม่นานก็ได้กุ้งจนเกือบครึ่งตะกร้าซานเฉียวจึงยอมกลับบ้านพร้อมรอยยิ้ม
ภาพที่สามคนพ่อลูกบ้านฮั่วยิ้มร่าอย่างมีความสุขทำให้ชาวบ้านมีเรื่องนำไปเป็นหัวข้อในการวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง แทนที่บ้านกำลังจะถูกยึดพวกเขาต้องเศร้าสลดมิใช่หรือ
ไรต์ขอไปเตรียมตัวทำมื้อเย็นอร่อย ๆ ก่อนนะค๊า มาดูกันว่าซานเฉียวจะทำอะไรให้ปู่กับย่ากินดีน๊า