เช้าวันต่อมา
ฮั่วซานเฉียวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดังโหวกเหวกโวยวายมาจากหน้าบ้าน เธอลุกขึ้นมานั่งแล้วหันมองรอบตัวก็พบว่าเธอกำลังอยู่ในห้องของร่างนี้ ข้าวของเครื่องใช้ดูเรียบง่ายแต่กลับประณีตและใส่ใจ เสื้อผ้าของเธอถูกซักแล้วพับไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ
ทุกครั้งที่เธอมองไปรอบ ๆ ห้องก็จะมีความทรงจำที่ทำให้เธอเห็นภาพต่าง ๆ ว่าร่างนี้เป็นคนที่ค่อนข้างมีระเบียบแต่หัวอ่อน เรียบร้อยพูดน้อยและเป็นดวงใจของทุกคนในบ้านนี้ ซึ่งนั่นก็ต่างจากนิสัยของเธอโดยสิ้นเชิง
"หู้วว ต่างกันขนาดนี้จะบอกกับทุกคนยังไงดีเนี่ย"
"จะเอายังไง เมื่อไหร่จะย้ายออก ดอกเบี้ยก็ไม่จ่าย ตอนนี้ฉันก็หมดทางจะช่วยเหลือครอบครัวนายแล้วนะซานถัง"
เสียงดังจากหน้าบ้านทำให้ซานเฉียวต้องหยุดความคิดทุกอย่างแล้วรีบเดินออกมาตามต้นเสียง สิ่งที่เธอเห็นก็คือชายวัยกลางคนกับลูกน้องอีกหลานคนกำลังมายืนทวงหนี้อยู่หน้าบ้าน ท่ามกลางเสียงสะอื้นของแม่ของเธอที่ดังมาเป็นระยะ ส่วนพ่อกับพี่ชายของเธอกำลังต่อรองกับอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
"พี่เหล่ย ผมขอร้องช่วยพูดกับเถ้าแก่ให้พวกเราอีกสักนิดได้ไหมครับ ขอเวลาพวกเราหาเงินสักหน่อย ผมรับรองว่าจะหาเงินต้นมาคืนให้เถ้าแก่ได้แน่ ๆ"
ฮั่วซานถังพยายามอ้อนวอนขอเวลาจากคนรู้จักที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันอย่างน่าเวทนา ซานเฉียวที่แอบดูอยู่ก็สลดใจไม่น้อยที่ได้เห็นภาพนี้ ที่ที่เธอจากมา แม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่ได้ร่ำรวยจนเป็นเศรษฐีแต่ก็ไม่เคยเห็นบิดาก้มหัวให้ใคร หากคนคนนั้นไม่คู่ควร
"ซานถัง นี่มันเป็นเรื่องธุรกิจ ฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้จริง ๆ ฉันยื้อเวลาให้นายได้มากสุดก็แค่ 1 สัปดาห์ รอบหน้าคนที่มาจะไม่ใช่ฉัน แต่เป็นกลุ่มไล่ที่ที่จะมาแทน พวกเค้าโหดขนาดไหนนายน่าจะได้ยินมาบ้าง"
"แต่พ..."
"ฉันเตือนด้วยความหวังดี รีบหาเงินแล้วพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่นซะ ฉันรู้ว่านายกับครอบครัวเป็นคนดี แต่ไม่น่าเสียรู้ให้คนบ้านนั้นเลย อีกอย่าง อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อลูกสาวของนาย"
"พี่หมายความว่ายังไงพี่เหล่ย"
"ตอนนี้ข่าวที่ลูกสาวนายพยายามกระโดดน้ำตายแพร่ไปทั่วหมู่บ้านแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เป็นผลดีกับอาเฉียว ไม่สู้ไปตายเอาดาบหน้ายังดีกว่า นายก็รู้ว่าพวกปากหอยปากปูที่นี่มันน่ารำคาญขนาดไหน"
คำพูดของชายที่มาทวงหนี้ทำให้ทุกคนในบ้านฮั่วได้หันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง เดิมนายเหล่ยกับฮั่วซานถังเคยไปทำงานรับจ้างร่วมกันอยู่หลายปีจึงค่อนข้างจะสนิทกันพอสมควร กระทั่งนายเหล่ยเปลี่ยนไปทำงานกับเถ้าแก่ที่ปล่อยเงินกู้เพื่อให้ครอบครัวของเขามีเงินจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น
"ผมเข้าใจแล้วพี่เหล่ย ขอบคุณพี่มากที่ยื้อเวลาให้ผมกับครอบครัว"
"อื้อ ฉันไปล่ะ"
ในขณะที่ทุกคนกำลังกลัดกลุ้มและใช้ความคิดอยู่ที่หน้าบ้าน ซานเฉียวจึงรีบเดินกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิด เธอลองนึกถึงมิติเพื่อจะเข้าไปข้างในตามที่ชายชราบอกเอาไว้ แค่ชั่วพริบตาเธอก็เข้ามาอยู่ในมิติเรียบร้อยแล้ว
"โฮ๊ะ! เข้ามาได้จริง ๆ ด้วย ให้ตายเถอะ นั่นมันผักคะน้ากับข้าวที่ฉันหว่านเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นแบบนี้ก็ไม่อดตายแล้วเรา เอ๋ แต่ว่า.."
ซานเฉียวเห็นข้าวที่เธอหว่านทิ้งเอาไว้กลายเป็นต้นข้าวที่ออกรวงสีทองเหลืองอร่ามพร้อมเก็บเกี่ยว ไหนจะผักคะน้าต้นอวบที่โตเต็มที่ ทั้งสองอย่างทำให้เธอตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
แต่พอคิดว่าเธอจะปลูกของเหล่านี้แล้วนำออกไปขายเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัว มันก็ทำให้เธอตระหนักได้ว่าเธอไม่สามารถทำทุกอย่างคนเดียว อย่างน้อยเธอก็ต้องมีคนช่วยอีกแรงเวลาที่ขนข้าวออกไปขาย เพราะเธอแทบไม่รู้เลยว่าต้องเอาไปขายที่ไหนได้บ้าง
"คงต้องบอกพี่ใหญ่ ยังไงก็ต้องรีบปลูกข้าวแล้วเอาไปขายให้ได้มากที่สุดก่อนจะครบกำหนดยึดบ้าน"
คิดได้แบบนั้นซานเฉียวจึงรีบออกมาจากมิติ เธอรีบจัดการกับร่างกายที่อ่อนปวกเปียกด้วยการกินข้าวต้มเปล่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ตามด้วยยาลดไข้แก้ปวดอีก 2 เม็ดที่วางอยู่ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่ทะมัดทะแมงมาสวมใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
แอดดด
"อาเฉียว น้องตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้าง กินข้าวกินยารึยัง มานั่งลงข้างพี่เร็วเข้า"
ซานหลางเห็นน้องสาวเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านก็รีบลุกขึ้นไปประคอง ตามฉบับพี่ชายที่รักถนอมน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งใด แม้ชาวบ้านมักจะบอกว่าน้องสาวของเขาแก่เกินวัยที่จะได้แต่งออกเรือนไปแล้ว และเขาเองก็ควรจะแต่งเมียเข้าบ้านได้แล้วแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
"หนูกินเรียบร้อยแล้วพี่ใหญ่ หนูขอถามทุกคนหน่อยได้ไหมคะว่าพวกเราจะเอายังไงต่อ"
ซานเฉียวเอ่ยถามพร้อมกับหันมองหน้าทุกคนเพื่อขอคำตอบ การกระทำของเธอทำให้ทุกคนแปลกใจไม่น้อย แต่คนเป็นปู่ก็เลือกที่จะตอบหลานสาวออกไปตามความจริง
"อาเฉียวเอ้ย ปู่รู้ว่าการตัดสินใจของปู่อาจจะทำให้หลานเสียใจ แต่ปู่ว่าพวกเรากลับไปอยู่ที่บ้านเดิมที่ปักกิ่งกันดีกว่าไหมลูก"
พ่อเฒ่าฮั่วรู้ว่าหลานสาวผูกพันกับที่นี่เพราะอยู่มาตั้งแต่จำความยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ อีกอย่างซานเฉียวคนเดิมก็รักและยึดติดกับอดีตคู่หมั้นจนยอมตายถ้าไม่มีจื่อชิวอยู่เคียงข้าง
"หนูไม่เสียใจค่ะคุณปู่ หนูอยากจะบอกทุกคนว่าฮั่วซานเฉียวคนเก่าได้จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มีแต่ฮั่วซานเฉียวคนใหม่ที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขและยิ้มไปกับทุกคน ระหว่างนี้หนูจะช่วยพี่ใหญ่หาเงิน ถ้าได้มากพอกับค่าใช้จ่ายเราจะออกเดินทางกันทันที ดีไหมคะคุณปู่"
ซานเฉียวทำท่าทางไม่ต่างจากหนูน้อยตัวเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยับเข้าไปซบลงที่ตักของคนเป็นปู่ ทำเอาทุกคนในบ้านที่ได้เห็นภาพนั้นต่างก็ต้องหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีที่สุด อาเฉียวของปู่เป็นเด็กดีที่สุด เราจะไปด้วยกันนะลูก"
มือหยาบกร้านลูบลงที่กลุ่มผมดำขลับของหลานสาวอย่างทะนุถนอมแผ่วเบา ราวกับว่าไม่อยากให้มีความเจ็บปวดใดเข้ามากล้ำกรายคนบนตัดเลยแม้แต่น้อย
"ไปไหนไปกัน พ่อกับแม่ไม่กลัวที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ ขอแค่อาเฉียวกับอาหลางมีความสุขก็พอ"
ฮั่วซานถังพูดขึ้นพร้อมกับกุมมือของภรรยาเอาไว้ เขารู้ว่าฮั่วเจินยังรู้สึกผิดต่อทุกคนที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อชีวิตต้องเดินต่อ ลูกทั้งสองก็เข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียว เขาในฐานะพ่อก็ต้องประคับประคองครอบครัวนี้ไปให้ถึงฝั่งจนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง
"แม่ขอโทษนะอาเฉียว ฉันขอโทษนะคะคุณพ่อคุณแม่"
"อย่าคิดมากเลยอาเจิน ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกลูก ช่วยเข้าไปหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงในกล่องใต้หมอนออกมาให้แม่หน่อยได้ไหม"
แม่เฒ่าฮั่วปลอบใจสะใภ้พร้อมกับไหว้วานให้อีกฝ่ายไปหยิบสิ่งของมาให้นาง
"ค่ะคุณแม่"
ฮั่วเจินเดินเข้าไปในห้องของพ่อแม่สามีไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับถุงกำมะหยี่สีแดง ถุงนั้นถูกส่งต่อให้ถึงมือผู้เป็นเจ้าของ แล้วนางก็กลับมานั่งที่เดิม
"อาหลาง เอาสร้อยกับกำไลนี่ไปขายนะลูก เงินที่ได้มาจะได้เอาไว้เป็นค่าเดินทางกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ "
สร้อยคอกับกำไลทองคำถูกยื่นให้หลานชายอย่างไม่นึกเสียดาย แม้ว่าของสองสิ่งนี้จะเป็นสิ่งของที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ความสำคัญของมันก็ไม่เท่าความเป็นของทุกคนในครอบครัว
"แต่นี่เป็นของของย่านะครับ ย่าเก็บไว้เถอะ ผมจะไปทำงานหาเงินเอง เหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์หนึ่งน่าจะได้พอค่าเดินทาง"
ฮั่วซานหลางไม่กล้าแม้แต่จะรับสร้อยเส้นนั้นมาไว้ในมือ เขายังยืนยันคำเดิมว่าต้องการใช้แรงงานแลกเงินมาเป็นค่าเดินทางของทุกคน
"พ่อจะช่วยลูกอีกแรงอาหลาง"
"แต่หลานก็น่าจะรู้ว่ามันไม่พอ ค่ารถของพวกเรากว่าจะไปถึงปักกิ่งก็ปาเข้าไปเป็น 100 หยวนแล้วนะลูก ค่าแรงวันละ 1-2 หยวนมันจะทันเวลาได้ยังไงกัน"
แม่เฒ่าฮั่วแม้จะอยู่แต่ในหมู่บ้าน แต่นางก็พอจะได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันถึงเรื่องการเดินทาง และค่าโดยสารแต่ละครั้งว่าแพงขนาดไหน
"คุณย่าเก็บไว้เถอะค่ะ หนูจะช่วยพี่ใหญ่อีกแรง ถ้าขาดเหลือยังไงก่อนเดินทางเราค่อยคุยกันอีกครั้งก็ยังไม่สาย"
ซานเฉียวรีบพูดช่วยพี่ชายอีกแรง ขณะเดียวกันเธอก็อยากจะชวนพี่ชายออกไปข้างนอกเพื่อหาที่ลับตาคนแล้วเข้าไปในมิติอีกครั้ง
"เอาอย่างนั้นก็ได้ลูก ถ้าขาดเหลืออะไรก็มาบอกย่าได้เลยนะ สิ่งของพวกนี้ก็เป็นแค่ของนอกกาย ไม่ตายก็ยังหาใหม่ได้"
"ย่าของหนูยังใจดีไม่เปลี่ยนเลย แบบนี้หนูต้องให้รางวัลซักหน่อยแล้ว"
ฟอดด ฟอดด ซานเฉียวรีบเข้าไปโอบกอดย่าของเธอ พร้อมกับหอมแก้มที่มีรอยย่นตามกาลเวลาจนเกิดเสียงดังฟอดใหญ่
"ฮะ ฮะ ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้อาเฉียว โตแล้วนะยายหนูเอ้ย"
"ไม่โตหรอก หนูจะเป็นหลานสาวตัวน้อยของย่าแบบนี้ไปนาน ๆ"
สักพักต่อมา ซานเฉียวได้ชวนพี่ชายให้พาเธอออกไปที่เชิงเขาท้ายหมู่บ้านพร้อมกับตะกร้าคล้ายจะพากันขึ้นเขาไปหาของป่า ตลอดทางเดินต้องผ่านบ้านคนประมาณ 6-7 หลัง แน่นอนว่าพวกเขาก็หันมามองที่ซานเฉียวพร้อมกับซุบซิบนินทา
ชานหลางที่เห็นแบบนั้นจึงจับมือน้องสาวเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ ทว่าซานเฉียวกับไม่ได้กังวลใจกับสายตาของคนพวกนั้นเลยสักนิด เรื่องอะไรเธอต้องเอาสมองไปเปลืองพื้นที่กับคำพูดไร้สาระกับพวกปากมากให้เปล่าประโยชน์
ขึ้นเขาหาอะไรไปให้พ่อเฒ่าแม่เฒ่ากินดีน๊า
ช่วงปี 1980 ค่าแรงของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามชนบทจะเฉลี่ยอยู่ที่ 500 หยวน/ต่อปี/ต่อคน (40หยวนต่อเดือน หรือ 1-1.5 หยวนต่อวัน แล้วแต่งานยากง่าย)
หากอยู่ในเมืองใหญ่หรือได้ทำงานในบริษัทที่ดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จะมีรายได้อยู่ที่ 1,000-1,500 หยวน/ต่อปี/ต่อคน