พอพ่อเฒ่ากับภรรยารวมไปถึงลูกสะใภ้ที่รออยู่ที่บ้านได้เห็นสิ่งของที่ 3 คนพ่อลูกนำกลับมา ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปรอยยิ้มแห่งความยินดีและตื่นเต้น แต่ก็มิวายจะมีคำถามมากมายตามไม่หยุด
เมื่อเป็นเช่นนั้นฮั่วซานถังผู้เป็นพ่อจึงปรึกษากับลูก ๆ และตัดสินใจบอกเรื่องมิติให้กับคนในครอบครัวรู้ อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องช่วยกันให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซานเฉียวกับซานหลางจะได้ไม่ต้องแอบไปหาที่เข้ามาติที่อื่นนอกบ้าน เพราะนั่นยิ่งเสี่ยงที่จะมีคนพบเห็นได้มากกว่า
"อั๊ยหยา ถ้าไม่ได้เห็นกับตาปู่คงไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่จริงหรอกนะอาเฉียว เป็นบุญของเราจริง ๆ ที่เทพเซียนท่านยังเมตตา"
เสียงของพ่อเฒ่าดังขึ้นเมื่อออกมาจากมิติ ท่านแทบไม่อยากจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้มีโอกาสพบเห็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
"ย่าแทบจะเป็นลม พวกเราต้องช่วยกันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ ถ้าชาวบ้านรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ"
"เพราะแบบนั้นแหละครับแม่ ผมถึงบอกให้ลูกเล่าให้ทุกคนฟัง อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องแอบไปหายตัวเข้าออกพื้นที่วิเศษอยู่นอกบ้าน แบบนั้นผมว่าอันตรายกว่า"
ฮั่วซานถังรีบพูดเสริมขึ้นตามที่ตนเองคิด ถ้าปล่อยให้ลูก ๆ ไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างนอกไม่สู้บอกให้คนในบ้านรู้แล้วช่วยกันรับมือจะดีกว่า
"ทำตามที่พ่อเค้าบอกนะลูกอาเฉียว เวลาจะทำอะไรก็ให้ทุกคนช่วยดูต้นทาง อย่าให้ย่าต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้เลย"
แม่เฒ่าพูดพร้อมกับลูบหัวหลานสาวของนางอย่างทะนุถนอม แค่นางได้ยินว่าวิญญาณของหลานสาวเคยออกจากร่างหัวใจของคนเป็นย่าก็เจ็บปวดเหมือนจะขาดอยู่รอน ๆ
"เข้าใจแล้วค่ะย่า ไปนั่งพักกันก่อนนะคะ เดี๋ยววันนี้หนูจะเข้าครัวทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้ปู่กับย่าชิมเอง"
"รู้จักเอาใจคนแก่จริง ๆ "
ซานเฉียวสังเกตเห็นสีหน้าของมารดาไม่สู้ดีเท่าไหร่ เธอจึงรีบเดินตามไปที่ครัว พร้อมกับใช้พี่ชายให้เอากุ้งที่นึ่งเอาไว้ออกมาแกะเอาแต่เนื้อไว้ให้เธอ
"พี่ใหญ่อย่าลืมเอากุ้งไปแกะให้หนูนะ ทำตามที่หนูบอกแล้วมันจะแกะง่าย"
"รู้แล้ว ๆ"
"เดี๋ยวพ่อช่วยอีกแรงอาหลาง เอามาทางนี้เร็วเข้า"
ฮั่วซานถังรีบเรียกลูกชายให้ยกหม้อนึ่งไปใกล้ ๆ จุดที่ทุกคนนั่งอยู่ จากนั้นก็รีบช่วยกันแกะเอาแต่เนื้อกุ้งใส่ถ้วยตามที่ลูกสาวคนเล็กบอก ส่วนแม่เฒ่าฮั่วก็รีบไปจัดการขูดทำความสะอาดขาเห็ดที่ลูกหลานเก็บมาอย่างชำนาญ
"แม่คะเดี๋ยวหนูช่วย"
ซานเฉียวเดินตามมารดาเข้ามาในครัวก็พบว่าแม่ของเธอกำลังจะตั้งหม้อหุงข้าวพร้อมกับจุดไฟในเตา
"ไม่เป็นไรหรอกลูก หนูออกไปพักเถอะ แค่นี้หนูก็เหนื่อยเพราะแม่มามากพอแล้ว"
"แม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ถ้าแม่พูดแบบนั้นหนูก็ไม่มีกำลังใจจะใช้ชีวิตอยู่ต่อแล้วนะ แม่รู้ไหมว่าหนูต้องยอมแลกกับอะไรเพื่อจะได้กลับมาอยู่กับทุกคน"
ฮั่วเจินที่ได้ยินคำพูดของลูกสาวก็ทำให้เธอใจเสียจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งความผิดหวังในตัวเองและความเสียใจที่ทำให้คนในครอบครัวลำบาก มันทำให้เธอละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าทุกคน
"แม่ขอโทษอาเฉียว แม่ขอโทษนะลูก"
"แม่ไม่ต้องขอโทษหนู แค่แม่รับปากว่าจะยิ้มให้หนูทุกวัน แล้วก็เริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกันก็พอ"
"ฮึก แม่ยอมแล้วลูก เราจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน"
ซานหลางที่เดินเข้ามาหยิบกะละมังไปให้ย่าใส่เห็ดบังเอิญมาได้ยินแม่กับน้องสาวพูดคุยกัน ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาสวมกอดทั้งคู่เอาไว้
"ผมรักทั้งคู่เลย"
"ปล่อยแม่กับน้องได้แล้ว โตขนาดนี้รีบหาเมียได้แล้วนะลูก แม่อยากอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว"
"โฮ๊ะ ผมต้องรีบเอากะละมังไปให้ย่าซะแล้ว"
พูดจบซานหลางก็รีบปลีกตัวออกไปหยิบกะละมังเหล็กแล้วนำออกไปให้ย่าทันที ส่วนนางฮั่วเจินผู้เป็นแม่ก็ได้แต่มองตามลูกชายด้วยสายตาห่วงใย
"แม่ไปช่วยย่าล้างเห็ดเถอะค่ะ ในนี้เดี๋ยวหนูจัดการต่อเอง อย่าลืมเก็บเศษดินตรงขาเห็ดไว้ให้หนูด้วยนะคะ หนูจะลองเอาไปปลูกเผื่อจะมีเชื้อเห็ดหลงเหลืออยู่"
"ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จะเก็บไว้ให้"
เมื่อมารดาออกไปแล้วซานเฉียวก็เริ่มเติมฟืนให้ไฟลุกโชน จากนั้นก็นำข้าวหอมมะลิได้มาใหม่ ๆซาวน้ำล้าง ก่อนจะเติมน้ำลงไปเพียงเล็กน้อยแล้วนำไปตั้งไฟ ขณะเดียวกันเธอก็นำผักคะน้าต้นอวบ ๆ ที่ได้มาจากมิติมาปอกเปลือกตรงส่วนโคนต้นที่แข็งออกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำก่อนจะนำไปล้าง
พริกกระเทียมถูกทุบใสถ้วยเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ จากนั้นซานเฉียวก็เดินไปสำรวจเครื่องปรุงตามไหเล็กที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ แม้จะเหลือเครื่องปรุงไม่เยอะแล้ว แต่ก็เพียงพอที่จะให้ปรุงอาหารได้อีกหลายวันก่อนที่พวกเขาจะเดินทาง
สักพักต่อมาพอข้าวให้หม้อเริ่มสุกแล้วเธอจึงยกไปพักไว้อีกเตาหนึ่ง พร้อมกับถ่านไฟอีกเพียงไม่กี่ก้อนเพื่อจะทำให้ข้าวร้อนระอุไปเรื่อย ๆ แล้วสุกอย่างทั่วถึง เตาเดิมถูกเติมฟืนเข้าไปอีกครั้งเพื่อให้พร้อมกับการทำอาหาร
"อาเฉียว เห็ดกับเนื้อเจ้าหัวแข็งมาแล้ว แต่ข้างนอกยังเหลืออีกเยอะเลยนะ เดี๋ยวพี่จะไปแกะเปลือกมาให้อีก"
"ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่"
ซานเฉียวมองเห็นเห็ดในกะละมังที่ถูกฉีกเป็นเส้นมาให้เธอพร้อมลงกระทะ ใบหน้านวลก็เผยรอยยิ้มอ่อน ๆ ไม่ว่ากาลเวลาใดมารดาของเธอก็ยังชอบทำแบบนี้ให้เธอกินอยู่เสมอ
กระทะใบเก่าถูกตั้งไฟตามด้วยน้ำมันหมูและกระเทียมที่ถูกเทตามลงไม่ หญิงสาวใช้เวลาไม่นานกลิ่นกระเทียมก็หอมคลุ้งไปทั่วบ้าน จากนั้นเธอก็หยิบเห็นโคนลงไปผัดในกระทะที่ไฟกำลังร้อนฉ่า ตามด้วยซีอิ๊ว น้ำตาลและเกลืออีกเพียงเล็กน้อย
เสียงไฟซู่ซ่า กับเสียงตะหลิวที่กระทบกับกระทะดังเล็ดลอดออกไปถึงนอกตัวบ้าน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในช่วงเวลา 4 โมงเย็นต่างก็ต้องแปลกใจเมื่อได้กลิ่นอาหารที่หอมฉุย บวกกับกลิ่นข้าวหอมมะลิที่ถูกหุงใหม่ ๆ
"ไม่ยักกะรู้ว่าบ้านฮั่วจะมีแก่ใจใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข"
"นั่นสิ บ้านก็จะไม่มีให้ซุกหัวนอนอยู่แล้วแท้ ๆ"
เสียงของหญิงวัยกลางคน 2 คนที่กำลังชะเง้อคอมองเข้ามาในตัวบ้านสกุลฮั่ว แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะกำแพงบ้านค่อนข้างสูงและมิดชิด
ส่วนฮั่วซานเฉียวก็ไม่ได้สนใจใคร เพราะตอนนี้เธอกำลังลงมือผัดคะน้าใส่เนื้อกุ้งที่พี่ชายของเธอแกะมาให้ ตบท้ายด้วยการทำน้ำแกงเห็ดโคนใส่เนื้อกุ้งที่เหลืออยู่เพื่อให้ทุกคนได้ซดกินให้ชุ่มคอ เครื่องปรุงซานเฉียวจำเป็นต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ไปก่อน แต่ก็ถือว่ารสชาติที่ได้ออกมาก็อร่อยเช่นกัน
1 ชั่วโมงต่อมา
กับข้าวทั้ง 3 อย่างถูกวางเรียงอยู่บนโต๊ะกินข้าวตัวเก่าที่ตั้งอยู่ใต้เพิงสังกะสีหน้าบ้าน ทุกคนในครอบครัวที่ได้เห็นข้าวสีขาวส่งกลิ่นหอมไม่น้อยหน้าอาหารที่ทำเสร็จใหม่ต่างก็ต้องกลืนน้ำลายจนเก็บอาการไม่อยู่ เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่มีใครจำได้ว่าอาหารเต็มโต๊ะเช่นนี้ มื้อสุดท้ายที่ทุกคนได้กินมันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
"ถ้วยนี้น้ำแกงเห็ดของปู่ ถ้วยนี้ของย่า อันนี้ของพ่อกับแม่ สุดท้ายของพี่ชายที่แสนดีของหนู ลองชิมดูสิคะว่าอร่อยไหม ไว้พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาว่างเราไปเก็บเจ้าหัวแข็งเอาเนื้อของมันมาทำน้ำพริกอีกรอบนะพี่ใหญ่ หนูว่ามันต้องอร่อยแน่ ๆ "
คนอายุน้อยที่สุดในบ้านรีบตักน้ำแกงเห็ดแบ่งให้ทุกคน ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปเก็บกุ้งมังกรน้อยมาทำอาหารในวันพรุ่งนี้ตามที่เธอหมายมาดเอาไว้
"หึ อาเฉียว น้องคงกะจะทำให้เจ้าหัวแดงนี่สูญพันธุ์จริง ๆ สินะ"
"โอ๊ะ มันไม่สูญพันธุ์ง่ายขนาดนั้นหรอกพี่ใหญ่ ชาวบ้านไม่มีใครเก็บไปกินซักคน"
ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่ ผู้เฒ่าทั้งสองรวมไปถึงลูกชายและลูกสะใภ้ของท่านต่างก็ซดน้ำแกงและกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย ซานเฉียวที่ได้เห็นภาพนั้นก็มีความสุขไม่น้อย เพราะตอนนี้ทุกคนในบ้านซูบผอมลงมาก
"ซู้ดดด อ่าส์ อร่อยมาอาเฉียว ปู่ชอบน้ำแกงเห็ดที่หลานทำมาก"
"ย่าก็ชอบ น่าแปลกที่เจ้าหัวแดงตัวแข็ง ๆ นี่มีเนื้อแค่นิดเดียวแต่ก็อร่อยมากเลย ถ้าชาวบ้านรู้มันคงไม่มีโอกาสขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้"
"ผมก็คิดเหมือนแม่ครับ เอาอย่างนี้ดีไหมอาเฉียว พรุ่งนี้เที่ยงพ่อจะพาลูกไปเก็บมาขังไว้เยอะ ๆ เลย เราจะได้มีเนื้อสัตว์กินอีกหลายวันหน่อย"
ฮั่วซานถังหันมาพูดกับลูกสาวแต่มือของเขาก็คอยคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวให้ภรรยาไปด้วย ตอนนี้ฮั่วเจินยังโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก เขาจึงกลัวว่านางจะคิดสั้นทำร้ายตัวเอง ชีวิตคู่ไม่ว่าหนักเบาเขาจะไม่ปล่อยให้ภรรยาต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง
"เดี๋ยวแม่จะไปช่วยด้วยนะลูก เผื่อจะเจอเห็ดป่าอีก"
"ได้ค่ะ แต่มีอยู่เรื่องนึงที่หนูกำลังคิดหนัก"
ซานเฉียวลดระดับเสียงลงเล็กน้อย สายตาของเธอมองไปรอบ ๆ ก่อนพูดถึงเรื่องที่เธอเป็นกังวลให้คนในครอบครัวได้รับรู้
"เรื่องอะไรอาเฉียว บอกพี่มาเร็วเข้า"
"เราจะเอาข้าวไปขายที่ไหน แล้วเราจะขนไปยังไง ข้าวที่เราหว่านเอาไว้มันประมาณ 5 ไร่เลยนะพี่ใหญ่"
คำถามของซานเฉียวทำให้ทุกคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ซานหลางจะตอบสิ่งที่เองรู้ออกมา
"พี่รู้ว่าต้องเอาข้าวเปลือกไปขายที่ไหน แต่เรื่องขนย้ายนี่สิ!"
ที่ซานหลางรู้เรื่องพวกนี้เป็นเพราะตอนทำงานในคอมมูนเขาเคยนำข้าวเปลือกเข้าไปขายที่โรงสีตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ เพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งให้ชาวบ้าน
"เกวียนเก่าที่อยู่ข้างบ้านยังไงละอาหลาง หลานลืมไปแล้วรึยังไง"
คำพูดของพ่อเฒ่าทำให้ซานหลางกับบิดาตาเป็นประกายอีกครั้ง เมื่อก่อนตอนที่มีวัวพวกเขาก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่มีเกวียนไว้ใช้คอยเข้าออกในเมืองด้วยตัวเอง แต่พอสถานการณ์ย่ำแย่จนต้องขายวัวทิ้ง เกวียนหลังเก่าก็ถูกทิ้งไว้ข้างบ้านและไม่ได้ใช้งานอีก
"จริงด้วยครับพ่อ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมจะกับเจ้าใหญ่จะลองไปลื้อออกมาซ่อมดู"
"แล้วเราจะให้อะไรลากครับพ่อ"
"ก็รถไถไงพี่ใหญ่ กินข้าวเสร็จค่อยเอาเกวียนเข้าไปซ่อมในนั้น แม่คะ บ้านเรามีเมล็ดพันธุ์ผักอย่างอื่นเหลือไหม หนูอยากเอาเข้าไปปลูกไว้เป็นเสบียงอาหารของเราด้วย"
ซานเฉียวหันไปถามมารดาของเธอ เธอตั้งใจเอาไว้ว่าจะเก็บสิ่งของเข้าไปไว้ในมิติในก่อนเดินทางเพื่อความสะดวก พอไปถึงที่หมายค่อยขนออกมาจัดไว้ในบ้านเช่นเดิม แบบนั้นถึงจะง่ายต่อการเดินทาง รวมไปถึงเสบียงอาหารและเครื่องปรุงก็เช่นกัน
"มีสิลูก มีหลายอย่างเลย เดี๋ยวแม่จะช่วยปลูกเองนะ"
"อีกอย่างค่ะ ก่อนออกเดินทางหนูจะขนของเข้าไปไว้ในนั้น..พอถึงปลายทางค่อยเอาออกมาจัดเรียงที่บ้านใหม่หลังจากทำความสะอาดเสร็จ แบบนั้นเราก็ไม่ต้องทิ้งอะไรซักอย่าง แม้แต่กะละมัง หม้อ ไห เราก็เอาไปได้หมด"
คำพูดของซานเฉียวทำให้คนเป็นย่าถึงกับเสียน้ำตา ของใช้ทุกอย่างในบ้านล้วนแต่มีเรื่องราวและมีคุณค่าทางจิตใจต่อท่าน การที่สามารถนำไปด้วยได้ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านตื้นตันใจมาก
"อึก ดีแล้วอาเฉียว เราต้องเอาไปให้หมดทุกอย่างนะลูก เห็นกะละมังเหล็กใบนั้นไหม? ย่าซื้อตั้งแต่ตอนที่อาหลางคลอดเลยนะ 30 กว่าปีแล้วมันก็ยังใช้งานได้เหมือนเดิม แม้แต่หลานเองก็โตทันได้ใช้มัน"
"ไม่ร้องสิคะย่า หนูสัญญาว่าจะเก็บไปให้หมดทุกอย่าง ไหนดูสิ ข้าวของย่าหมดแล้วนี่นา เดี๋ยวหนูเติมให้อีกนะคะ"
พูดจบซานเฉียวก็รีบยกหม้อข้าวไปเติมให้ทุกคน อาหารมื้อนี้มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา แต่ก็เป็นมื้อที่ทุกคนกินอิ่มและมีความสุขไปด้วยกัน
หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี พ่อเฒ่าฮั่วและลูกชายพร้อมกับหลานชายช่วยกันไปลื้อเอาเกวียนเก่าออกมาปัดฝุ่น ซานเฉียวเห็นว่าในมิติมีเครื่องมือครบครับเธอจึงเอาเกวียนเข้ามิติให้พี่ชายกับทุกคนเข้าไปซ่อมในนั้น
แต่มีความลับหนึ่งที่เธอได้รู้ ต่อให้ข้างนอกมืดค่ำแล้วแต่ในมิติก็ยังมีแสงสว่างอยู่เช่นเดิม ทุกคนจึงช่วยกันซ่อมเกวียนต่อได้อย่างไม่ต้องกังวล ส่วนผู้หญิงก็ช่วยกันเอารากเห็ดและดินในส่วนนั้นไปหว่านตามโคนต้นไม้ใหญ่
ซานเฉียวขุดดินปลูกผักสวนครัวโดยใช้เมล็ดพันธุ์ที่แม่ของเธอนำเข้ามา ส่วนแม่เฒ่าฮั่วก็เดินชื่นชมข้าวที่หลาน ๆ ปลูกเอาไว้ รวมไปถึงผักที่ซานเฉียวปลูกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ท่านเพิ่งเข้ามาในมิติเมื่อไม่นาน แต่พอเข้ามารอบนี้ก็พบว่าข้าวเริ่มตั้งท้องออกรวงแล้ว