EP4 - ผมอยากเรียกพี่เขาว่า 'พี่เปเปอร์เพลนส์'

1939 คำ
4 - ผมอยากเรียกพี่เขาว่า ‘พี่เปเปอร์เพลนส์’ เช้าวันต่อมา “ที่รักคร้าบ เขาขอซื้อ...” “ไม่ได้” “ผมยังไม่ได้พูดเลยนะ” โซดาตื่นเช้ามาได้พักหนึ่ง ความจริงเรื่องนี้ผมคุยมาพักหนึ่งแล้วว่ามีของชิ้นหนึ่งที่ผมอยากได้มาก ตั้งใจเก็บเงินมาพักหนึ่งแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ของจำเป็น แต่อย่างน้อยมันก็มีคุณค่าทางจิตใจไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นใด เวลาผมอยากได้อะไรแอบซื้อแล้วแฟนผมชอบสงสัยหาคำตอบเองจนมันสืบได้ ด่าผมไม่หยุดเลยว่าจะซื้ออะไรทำไมไม่ปรึกษาก่อน ผมบอกแล้วไงว่าเงินถูกออกแบบให้มนุษย์ใช้จ่าย คนมีเงินไม่ใช้เงินมันก็แปลกเกินไปไหม รอบนี้ผมขอเจรจาอย่างจริงจังแต่ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมอยากจะซื้ออะไร “กูรู้ว่ามึงจะซื้อเกมให้ก้านไม้ มึงก็รู้นี่ว่าเขายังเด็ก อย่ายัดเยียดให้เล่นเกมต่อสู้จะได้ไหม ทุกวันนี้ข่าวอาชญากรรมมันเยอะน่ากลัวจะตาย อยากให้ก้านไม้เป็นเด็กหัวรุนแรงเหรอ” ผมเองจะเป็นคนหนึ่งที่รักเด็กประถมและถือว่าอยู่ในความดูแลระดับหนึ่งแม้ว่าน้องจะดูแลตัวเองได้ บางเรื่องไม่ต้องเรียกใช้ผมแต่ว่าเรื่องบางอย่างจะปล่อยตามลำพังไม่ได้ เช่นการเล่นเกม เกมบางอย่างไม่เหมาะกับเด็กด้วยซ้ำ แล้วผมรู้ดีว่าโซดาชอบเล่นเกมต่อสู้ ผมก็เป็นห่วงอยากให้เด็กสมัยนี้เข้าใจและอยู่อย่างสงบสุข “คุณฟังนะ ไม่มีวิจัยตัวไหนบอกว่ามนุษย์มีพฤติกรรมร้ายแรงจากการเล่นเกม คุณเล่นมาริโอ้แล้วเวลาคุณโกรธเอาหัวไปโหม่งกำแพงไหม” “ก็ไม่” “เกมไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดอาชญากรรมเหมือนในข่าวนะ สาเหตุมาจากครอบครัวและสังคมของเด็กเอง ถ้าเขาเกิดมาในสังคมที่มีปืน เขาก็จะคุ้นเคยกับปืน...” ผมพยายามหาเหตุผลมาอ้างอย่างมีเหตุผลและความเป็นไปได้ อย่างน้อยผมก็อยากให้ก้านไม้เข้าใจว่าของพวกนี้มันเป็นสิ่งจำลองเหตุการณ์ การปลูกฝังใช้วิจารณญาณต้องใช้ตั้งแต่วัยเด็กไม่ใช่โตแล้วค่อยใช้วิจารณญาณ ผมเองก็บอกแล้วว่าทุกวันนี้พฤติกรรมความคิดของเด็กเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ผมคิดว่าก้านไม้ควรเป็นผ้าสีบริสุทธิ์ไม่ใช่ผ้าเปื้อนสีแดง “เราก็ไม่ได้ใจร้ายนะ แต่เราเป็นห่วง” “คุณไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ผมถือว่าเป็นพ่อพันธุ์ที่ดี ไม่ได้มีหน้าที่ปล่อยน้ำเชื้อทิ้งแล้วไม่รับผิดชอบ” ผมว่าตอนนี้โฟร์กำลังระแวงและคิดมาก คาดว่าจะดูข่าวเกี่ยวกับเด็กทุกวันนี้จนสมองเกิดความระแวงไปหมด ผมกับโฟร์ทุ่มเงินซื้อคุณภาพชีวิตให้ก้านไม้ถึงที่สุด แม้ว่าจะราคาแพงอย่างน้อย คุณภาพสังคมถือว่าเป็นสีขาวมากกว่าเป็นสีดำ “ขอให้เสมอต้นเสมอปลายแล้วกัน รับเลี้ยงเด็กคนนี้แล้วก็ดูแลดี ๆ ไม่ใช่ทำเหมือนเพื่อนเก่าคุณ ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบ” “ไอ้คนพันธุ์นั้นผมเลิกคบไปแล้ว” การเจรจาถือว่าผมประสบผลสำเร็จไประดับหนึ่ง โฟร์อาจจะใจอ่อนซื้อเกมที่ผมอยากได้แล้ว ผมจะทำหน้าที่เป็นแฟนที่ดี ต่อให้ตอนนี้ผมจะยังไม่แต่งงานกับเขาก็ตามและเด็กคนนี้ผมกับเขารับเลี้ยงแล้ว ก็ต้องดูแลให้ถึงที่สุด งานบ้านผมกับเขาก็ช่วยกันทำ ตอนนี้ผมล้างจาน “แม่ครับ” โฟร์ตกใจเพราะผมเองไม่ชินกับคำว่าแม่สักเท่าไหร่ ผมเป็นผู้ชายที่ออกจะเป็นผู้หญิง แต่ไม่เคยมีความคิดอยากแต่งหญิง ผมมักจะโดนน้องก้านไม้เรียกว่าแม่ ผมเคยบอกน้องแล้วว่าเรียกได้แต่สำหรับผมขอไม่เรียกแบบนี้จะดีกว่าเพราะผมอยากให้น้องเรียกผมว่าพี่มากกว่าแม่ “พี่บอกแล้วไงว่าพี่กับโซดาเป้นแฟนที่คบกับเพศเดียวกัน พี่กับเขาก็ผู้ชายเหมือนกัน ไม่มีคำว่าพ่อหรือแม่ มีแต่คำว่าพี่” ผมตกลงกับน้องอย่างมีเหตุผล ผมไม่ได้ชอบด่าทอเด็กหรือคนอื่นเวลาอารมณ์ร้อน แม้เมื่อก่อนผมจะอาละวาดเวลาไม่ได้ดั่งใจ นิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้ว มันอยู่ที่บุคคลรอบข้างผมมากกว่าถ้าผมจะดีหรือร้ายกับใคร อยู่ที่สถานการณ์ตรงหน้า “ไม่รู้สิครับ ผมถนัดเรียกแบบไหนอยากเรียกแบบนั้น” “ถ้าเกิดมีคนอยากให้เรียกพี่ แต่บุคลิกเป็นป้า เขาก็อยากย้อนวัยไม่อยากดูแก่ จำไว้นะว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข วัยและเพศก็แค่ชื่อเรียก ความสุขอยู่กับเราตลอดไปอยากทำตัวเป็นเด็กก็ได้เพราะทุกคนก็ผ่านวัยเด็กมาแล้ว” ผมถือว่าผมสอนก้านไม้อย่างมีเหตุผล ไม่ได้ตะคอกหรือกดดันให้เป็นไปตามความต้องการจากความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง ผมไม่อยากถามคำถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เพราะถ้าคาดหวังตั้งแต่เด็กอย่างไม่มีตัวเลือกมากพอ พอเจอสิ่งที่ชอบมากกว่าตอนที่เป็น มันเสียดายมาก ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่ชอบกลายเป็นไม่ถนัด จะเสียดายเวลาต้องมาเริ่มต้นใหม่ ยังไงการเรียนรู้มีตลอดชีวิต วัยไหนก็เรียนในมหาวิทยาลัยได้ถ้าใจพร้อมเรียนรู้ มีแต่คนไปจำกัดมันว่าสิ่งนั้นไม่ถูกใจมากกว่าถูกต้อง “ก้านไม้ชอบไหม ถ้าต้องกินข้าวคนเดียว” “ปกติการกินข้าวคนเดียวก็ไม่ได้แย่นะครับ เรามีความสุขด้วยตัวเอง มีแต่คนที่ตัดสินว่าไม่มีเพื่อน เพราะเขาไม่ได้มีตัวตนเหมือนกับผม ไม่ได้ก๊อปวางเหมือนทำเอกสารในเวิร์ด” ก้านไม้ตอบคำถามผมก็ดูจะดี มันก็ถือว่าเป็นบททดสอบที่อยากรู้ว่าสังคมที่กว้างกว่าบ้าน กว้างกว่าหมู่บ้าน ขยายจากโรงเรียนไปถึงปราการสุดท้ายอย่างโลกทั้งใบ หลากความคิดและความคาดไม่ถึงจะเหวี่ยงให้เจอบททดสอบมากมายจนใครก็ไม่อาจรับมือทัน “พี่ชอบความคิดน้องมากเลยนะ อย่าลืมเอาเครื่องบินห้อยกระเป๋าไปด้วยล่ะ” ผมสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าน้องก้านไม้จะชอบเครื่องบินมาก ชอบเอาไม้บรรทัดไปสอดหูหนีบฝาปากกาแล้วใช้มือบังคับให้ลอยไปมา สงสัยอนาคตอยากไปอยู่บนเครื่องบินแน่นอน ผมเห็นก็ดีใจนะที่น้องชอบแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไว้มีเวลาว่างจะพาไปเดินสนามบินให้เห็นของจริง “ถ้าอยากเห็นของจริง พี่จะพาไปนะครับ” ผมสัญญากับน้องก้านไม้ว่าผมจะพาน้องไปดูเครื่องบินของจริงที่สนามบินไปเลย ไปดูให้เห็นกับตาว่าของจริงเขาทำงานกันยังไง ดูทรงแล้วอยากเป็นสจ๊วดหรือเจ้าของสนามบินแน่นอน ผมไม่ดูถูกความฝันของใครอยู่แล้ว ระหว่างนั้นผมขอตัวไปสอดส่องแฟนผมก่อน หายเข้าครัวไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าจมน้ำในอ่างล้างจานไปแล้วหรือไง “ทำไมล้างจานนานจัง” “กูหาน้ำยาล้างถ้วยไม่เจอ” ผมชี้ไปที่ชั้นวางของมีน้ำยาล้างจานอยู่ แต่มันบอกว่าหาน้ำยาล้างถ้วยไม่เจอ มันต้องเป็นคนสึ่งตึงขนาดไหนถึงหาน้ำยาล้างถ้วยทั้งที่น้ำยาล้างจานใช้ได้หมด ผมปวดหัวกับมันมากถึงกับบอกให้มันหยุดล้างแล้วไปส่งก้านไม้ไปโรงเรียน ผมจะได้เข้าสถานีวิทยุต่อ “ถ้ากูบอกให้หยิบโน้ตบุ๊คมา มึงจะเอาแค่โน๊คบุ๊คไม่เอากระเป๋าใส่ตัวเครื่อง เม้าส์ คีย์บอร์ดไร้สายมาเหรอ” ผมว่าผมมีแฟนเป็นคนซื่อตรงหรือซื่อบื้อกันแน่ ทุกอย่างปวดประสาทปวดใจตั้งแต่สอนการบ้านแล้ว ทุกวันนี้ยาแก้ประสาทกินเอาไม่อยู่ทั้งแฟนทั้งน้องแล้ว ที่โรงเรียน โซดาขับรถมาส่งก้านไม้ที่โรงเรียน ความจริงที่เมืองหลวงก็มีรถไฟฟ้ามีสายที่โดยสารมาลงและสถานีอยู่ใกล้โรงเรียน ผมกับโฟร์คิดมาพักหนึ่งแล้วว่าอยากให้น้องมาโรงเรียนเองเกิดวันที่ผมมีธุระจนมารับส่งไม่ได้ หรือมีเหตุไม่คาดฝันการเดินทางด้วยตัวเองถือว่าช่วยให้ชีวิตตัวเองสบายไประดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าผมอยากให้ทุกอย่างมั่นใจว่าจะปลอดภัย กลัวว่าจะเดินทางไม่ถึงจุดหมายแล้วต้องสอนซื้อตั๋ว เข้าช่องแตะบัตรเข้าออกทางไหน เวลาขึ้นรถไฟฟ้ายังไงจะปลอดภัย ถ้ามีเวลาว่างผมกับโฟร์จะพาไป “สวัสดีครับคุณครู” ผมและโซดาเข้าไปพบครูประจำหน้าโรงเรียน ทักทายกันตามปกติซึ่งมันก็เป็นไปตามกิจวัตรประจำวันเวลาที่เราสองคนมาโรงเรียนก็ต้องพบครูพบเพื่อนของเด็กอยู่แล้ว วันนี้ครูก็ถามไปตามประสาคนชอบเด็ก มันก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติแต่วันนี้ดูก้านไม้จะร่าเริงมากกว่าเดิม น้องถืออุปกรณ์ทำงานประดิษฐ์ ดูแล้วจะตื่นเต้นกับกิจกรรมที่ต้องออกแบบให้เกิดจินตนาการ ยังบอกครูด้วยว่าจะพับเครื่องบินกระดาษให้ได้มากที่สุด “ทำไมก้านไม้อยากพับให้มากล่ะ” “ผมเชื่อว่าเครื่องบินกระดาษแม้จะไม่บินไปไกลเท่าของจริง แต่อย่างน้อยผมโยนแล้วเก็บสลับไปตลอดทางมันจะพาความรักของผมไปถึงจุดหมายที่ผมหวังไว้ครับ” ผมเองมีความคิดมาจากพี่เพลนส์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พี่เขาตั้งใจอยากจะสื่อให้ผมเข้าใจว่าความรักมันต้องใช้เวลาและสร้างมันขึ้นมาเป็นสิ่งจำลอง “ว่าแต่ก้านไม้ไปได้มาจากใครเหรอ” “ผมเรียกพี่เขาว่าพี่เปเปอร์เพลนส์ครับ” โซดาได้ยินก็แปลกใจว่าน้องไปรู้จักเพื่อนผมยังไงแล้วดูน้องเรียกสิเป็นชื่อศิลปินไปแล้ว สงสัยจะชอบพับเครื่องบินกระดาษมากเพราะตั้งความหวังอยากให้มันเกิดขึ้นจริง ราวกับของสิ่งนี้เป็นเครื่องรางนำโชคในชีวิต พับเยอะเท่าไหร่ชีวิตจะดีขึ้นมากกว่าจำนวนที่พับไป ผมว่าผมต้องเจอเขาให้ได้แล้วล่ะ “ทำไมก้านไม้เรียกเพื่อนนายว่าเปเปอร์เพลนส์” ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องไปรู้จักกับเพื่อนของโซดา แล้วความจริงเพื่อนชื่อเพลนส์แต่ชอบพับเครื่องบินกระดาษทำให้ผมแปลกใจมาก ไม่เคยเจอใครนั่งพับเครื่องบินกระดาษเพื่อพยายามทำสิ่งหนึ่งให้เป็นจริง นั่นคือการตามหาความรักมันดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันเท่าไหร่ “เพื่อนผมก็แบบนี้ มันมีความเชื่อที่ไม่เหมือนคนอื่น ไว้ผมจะพาไปแนะนำแล้วกัน” “ว่าแต่นี่เป็นเหตุผลในการให้เราใจอ่อนซื้อเกมหรือเปล่า” “เอ่อ... ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ผมแกล้งเอานิ้วชี้ชนกันเป็นการกลบความผิดต่อให้มันจะไม่แนบเนียนแต่ผมอยากได้เกมจริง ๆ ของแบบนี้ขอให้ผมได้ย้อนวัยสักหน่อยก็ดีไม่น้อย ทำให้ผมย้อนวัยเป็นเด็กไม่ได้เลยหรือไง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม