9 - เพราะความบังเอิญ
รุ่งเช้า
การตื่นเช้าสำหรับผมถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดหายไปนานตั้งแต่เรียนจบออกมาเปิดธุรกิจ นอนจนไก่ขันไม่ได้ยิน นาฬิกาปลุกยังไม่ทำผมตื่น วันนี้ผมตื่นตีห้าออกมาตลาดเช้ามาทำบุญพร้อมกับเดนิช เพื่อนผมคนนี้มันชอบทำบุญกับญาติและชอบออกไปเที่ยวกลางวัน แปลกดีที่มันไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ดีแล้วจะได้ไม่ดื่มเหล้าทำสติสัมปชัญญะหายไปกับสิ่งมอมเมา
ผมเดินทางออกมาจากบ้านซึ่งแถวบ้านผมใกล้ตลาดเช้า ผมเห็นว่าระยะทางใกล้แบบนี้ บิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจมาถึงอย่างรวดเร็ว ผมมองหาเดนิชบอกว่าอยู่ที่เสาไฟฟ้า ผมถึงกับหาคำตอบไม่ได้เพราะเสาไฟฟ้าไม่ได้มีต้นเดียวเปรียบเหมือนรออยู่ที่ป้ายโป๊ยเซียนแต่มีเป็นร้อยถี่ไปตามเส้นถนน
“จะมาทำบุญต้องมาเวลานี้เนี่ยนะ”
เดนิชนัดผมออกมาให้ผมมาเจอที่ตลาดเช้าจะได้ซื้อของเติมพลังและออกไปทำบุญ จุดประสงค์และความหวังดีของเธอคือถ้ารอคอยความรักไม่มาเสียทีจะพาไปไหว้พระเอาดีทางไสยศาสตร์ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยบันดาลความรักให้ผม บางทีความหวังดีของเพื่อนคนนี้มันก็เหมือนจะดี แต่ผมไม่ได้มีความเชื่อจนถึงขนาดงมงาย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจะดีที่สุด
“ฉันอุตส่าห์หวังดีนะเพลนส์ แกจะพับเครื่องบินกระดาษจนเปลืองทรัพยากร ไม่พยายามออกไปตามหาความรักให้เข้ามาเดี๋ยวก็แก่ตายหรอก”
“ก่อนจะแกตาย กูจะอยู่ถึงวัยที่เรียกว่าแก่ไหม” ผมว่าผมยังรอคอยความรักผ่านการพับเครื่องบินกระดาษ ผมเชื่อตัวเองว่าผมไม่ได้บ้าและจะทำแบบนี้ต่อไปจนกว่าผมจะไม่สามารถหากระดาษมาพับมันได้อีก ผมเชื่อหัวใจตัวเองไม่ฟังว่าใครจะหาว่าผมบ้าอีกแล้ว ผมเข้าใจว่าถ้าโตขึ้นจนอายุใกล้จะไม้ใกล้ฝั่งแล้วหาความรักกับใครสักคนไม่ได้ถือว่าเกิดมาเสียเวลาชีวิต ผมถามกลับเลยว่าผมจะอยู่ถึงตอนนั้นไหม
“แกรู้จักดาวหางฮัลเล่ย์ไหม”
“แกงเหรอ”
“อันนั้นมันฮังเล กว่าดาวหางจะโคจรมาอีกครั้งก็เจ็ดสิบห้าปี ชั่วอายุคนถ้ามึงไม่มีความรักในชาตินี้ ต้องอยู่รอดูดาวหางฮัลเล่ย์อีกกี่ชาติจะพบคนที่ใช่” ผมเองรู้จักดาวหางฮัลเล่ย์ผ่านเพลงดังตอนนี้ ฟังดูแล้วมันโรแมนติกดีแต่ว่ากว่ามันจะโคจรมาให้ผมดู ผมไม่รู้ว่าผมจะตายก่อนดูมันหรือตายก่อนเพราะหาแฟนไม่ได้กันแน่ ถึงผมจะอยู่ไม่ทันดาวหางฮัลเล่ย์แต่ให้ผมอยู่พับเครื่องบินกระดาษจนกว่าผมจะมีแฟนก็ยังดี
“กูถือว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
“พับอีกกี่ล้านลำจะเจอคนที่ใช่ล่ะ ขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเห็นผลทันตากว่านะเพลนส์” ฉันแนะนำการหาคนที่ชอบให้แบบเห็นผลที่สุดแล้ว ความเชื่อของฉันกับเขาสวนทางและไม่เคยได้ยินมาก่อน ความเป็นไปได้มาจากไหน มีงานวิจัยตัวไหนบอกว่าการพับเครื่องบินกระดาษจะพบรักแท้ ก็ไม่มีแล้วเพลนส์ไปศึกษาและเชื่อมั่นตัวเองได้ยังไง เป็นมนุษย์คนเดียวที่ทำอะไรแปลกที่สุดแล้ว
“ยังไงไว้กูขอคิดอีกทีแล้วกัน”
“เรื่องแบบนี้แกไม่ต้องคิดหรอก เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นผลทันตากว่าการที่แกพับเครื่องบินกระดาษอีก...” เดนิชให้คำแนะนำแล้วว่าถ้าอยากให้ความรักเข้ามา โปรดพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และออกไปตามหาความรักไม่ใช่รอมันเข้ามาในชีวิตเพราะรอเข้ามาก็เปล่าประโยชน์ เหมือนจะหยิบกรรไกรที่วางบนโต๊ะ นั่งรอมันก็ไม่ลอยมาหรอก
“กูขอเชื่อตัวเองก่อนดีกว่า...” ผมไม่ได้ต่อต้านความคิดของเดนิชหรอก แต่ผมอยากเชื่อความคิดและหัวใจตัวเองก่อนแล้วกัน เผื่อว่าเครื่องบินกระดาษที่ผมพับไปได้สะสมแต้มบุญความรักไปพอสมควรแล้ว ถ้าสะสมต่อไปจนคาดคะแนด้วยสายตาว่าได้ล้านลำแล้ว ความรักเข้ามาแบบไม่ต้องรอให้มั่นใจอีกแล้ว สิ่งที่ผมทำไปถือว่ามีประโยชน์ไม่น้อย
ผมกับเดนิชตื่นเช้าเพื่อออกไปหาแต้มบุญมาเติมพลังชีวิต ผมเองก็ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศเช้ามืดมาหลายปีแล้ว ถือซะว่าผมขอตื่นเช้าขึ้นมาทำอะไรที่มีประโยชน์สักหน่อย เพราะความที่ผมตื่นไม่ทันฟ้าใกล้เช้า ทำให้ผมพลาดสิ่งดี ๆ ไปเยอะเลย ช่วงเวลานี้ถือว่าเย็นสบายไม่ร้อนมาก รอบข้างผมสว่างไปด้วยไฟจากร้านค้าและผู้คนที่เดินผ่านไปมาจับจ่ายซื้อของ ผมเห็นแล้วอุ่นใจได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตาออกมาเจอกัน ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานกลายเป็นไม่คุ้นเคยไปแล้ว เดนิชยังบอกผมเลยว่าออกมาข้างนอกบ้างไม่ใช่นอนมองดูเพดานในร้านของเล่นจนเห็นมันเป็นท้องฟ้าไปแล้ว
“เดนิช กูอยากกินโจ๊กรวมมิตร”
ผมรู้สึกอยากกินโจ๊กขึ้นมา มันเคยเป็นของโปรดที่ผมชอบกินทุกเช้า ตั้งแต่ตื่นไม่ทันก็ไม่ได้กินเลย ผมจะไปเดินเลือกซื้อของก่อนแล้วโจ๊กที่ผมอยากกินไม่ได้ไปทางเดียวกัน ผมจึงฝากเดนิชซื้อจะได้ไม่ต้องรอให้เสียเวลา
“งั้นแกไปซื้อของก่อนแล้วกัน”
เดนิชเดินไปทางขวาของตลาดเช้าที่มีร้านโจ๊กอยู่แถวนั้น ส่วนผมจะไปเดินหาอะไรกินก่อนเป็นการเติมพลัง ผมเองไม่ได้สัมผัสบรรยากาศตอนเช้ามืดมานานแล้ว ออกมาทั้งทีผมอยากเดินสักชั่วโมงก่อนจะได้เปลี่ยนบรรยากาศและออกมาทำอะไรที่หลุดจากกรอบเดิม
ระหว่างที่ผมเดินไปตามทางที่มีผู้คนเดินไปซื้อของ ผมเห็นใครบางคนยืนก้มหน้าอยู่ตรงเสาไฟฟ้า ดูทรงแล้วไม่เหมือนคนไร้บ้านเลย เธอเป็นผู้หญิงแต่งตัวดี แต่หันหลังยืนคุยโทรศัพท์มันแปลกตาดีเหมือนกัน ผมเดินผ่านไปก็ไม่ได้คิดอะไร คงจะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่กล้าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า ผมไม่ได้สังเกตอะไรมาก เห็นร้านขายปาท่องโก๋ผมรีบเดินไปจับจอง ร้านนี้ขายดีมากผมต้องรีบไปซื้อ แล้วผมก็ได้มันมาคนสุดท้ายพอดี
“อ้าว หมดแล้วเหรอ”
ผมหันมาพบกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งคนนี้เป็นคนที่ผมเดินผ่านเห็นยืนก้มหน้ายืนคุยโทรศัพท์ดูจากน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก ผมมาค้นพบความจริงว่าจะมาซื้อปาท่องโก๋แต่มันหมดแล้ว เธอจึงเสียดายอาจจะกลับไปเปล่าประโยชน์ ผมสงสารคิดอยากจะแบ่งให้โดยไม่ต้องเกรงใจเลย
“เอ่อคุณครับ ผมแบ่งให้ได้นะ”
ผู้หญิงคนนั้นดูร้อนรนและเหมือนเดินทางมาด้วยความพยายามสูญเปล่า จะมาซื้อของที่อยากกินแต่ว่ามันหมดไปแล้ว เธอได้แต่เสียดายแล้วอีกอย่างร้านแบบนี้มีร้านเดียวด้วย ผมสงสารจึงแบ่งให้สักหน่อยแต่ผมว่าให้หมดดีกว่าเพราะผมไม่รู้ว่าเธอเดินทางมาไกลแค่ไหนตั้งใจมาซื้อแต่ไม่ได้มันมา
“ขอบคุณนะคะ”
ผมเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากเพราะดูจะรีบกลับด้วย คนเห็นแล้วก็ยิ้มนะว่าจะมีคนที่รอคอยเป็นเวลานานเพื่อมาซื้อของที่อยากกิน มันก็เป็นปกติและความสุขเล็ก ๆ ของคน ๆ หนึ่งเลยก็ว่าได้ ผมได้รอยยิ้มเล็กน้อยออกมาเป็นสีสันแล้ว แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรีบออกมาแค่ไหนมาหน้าสดกลาง ๆ คงความสวยอยู่แต่ดูทรงเป็นคนที่ทำงานบ้านมากกว่าทำงานข้างนอกเสียอีก แต่ก็คงความสวยได้ดีเลยทีเดียว
เวลาต่อมา
“เดนิช มึงมานี่หน่อยดิ”
ผมเสร็จธุระเตรียมของจะไปใส่บาตร ผมเกือบลืมโจ๊กที่ตัวเองอยากกินแล้ว เมื่อเดนิชซื้อมาผมก็รับไปแต่พอเห็นผมอยากจะโยนใส่หน้าเป็นการเปิดรูขุมขนมันมาก ผมสั่งอะไรแล้วมันซื้ออะไรให้ผม มันถูกต้องแต่ตีความหมายไม่ถูก ผมสั่งโจ๊กรวมมิตร ความหมายคือเขาจะใส่ทอปปิ้งทุกอย่างหมู ไก่ ทะเลลงในโจ๊กทีเดียว ไม่ใช่ให้มันเอารวมมิตรที่เป็นของหวานใส่รวมมาแบบนี้ นอกจากกินไม่ได้ยังไอคิวไม่ถึงเกณฑ์
“อ้าว ไม่ใช่แบบนี้เหรอ”
“คนห่าที่ไหนเขากินคาวหวานรวมในจานเดียว” ผมถึงกับปวดหัวแต่เช้า ผมแนะนำเข้าแอปสั่งสินค้าออนไลน์ ผมเลือกหนังสือภาษาไทยเพื่อการสื่อสารให้มันสักเล่มจะได้เข้าใจว่าผู้ส่งสารกับผู้รับสารควรตีความยังไงให้เข้าใจกันที่สุด
“กูขอโทษ กูเกรดสองภาษาไทย”
“เกรดวิชาหลักมึงได้แค่นี้ได้ไงอะ จบจากที่ไหนมา” ผมถึงกับส่งโจ๊กนี้ให้มันไปกินเองเลยแล้วกัน อยากรู้เหมือนกันว่าการกินคาวหวานในชามเดียวกันของเดนิชมันเป็นยังไง แต่ว่าวันนี้ผมคงไม่ได้กินอะไรมากแล้วล่ะเพราะความใจดีของผมเพิ่มแต้มบุญให้
“ปกติแกติดกินปาท่องโก๋ไม่ใช่เหรอ”
“วันนี้กูไม่มีอารมณ์กินอะ เอาเป็นว่าไปใส่บาตรกันดีกว่า” ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมมีพลังใจในการใส่บาตรทำบุญแต่เช้าแล้ว เพราะว่าผมได้ส่งต่อความช่วยเหลือให้กับผู้หญิงคนหนึ่งไป และหวังว่าจะเป็นการตอบแทนให้ผมได้อะไรดี ๆ กลับมาโดยที่ผมไม่ต้องคาดหวังอะไรเลย
‘มันเป็นแบบนั้นเหรอเพลนส์ ปกติแกชอบกินจะตาย...’ข
ทางด้านก้านไม้
ผมกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนอบอุ่น ถือว่าเป็นเซฟโซนที่ดีที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ บนเตียงวางตุ๊กตาเป็นบอดี้การ์ดปกป้องความฝันกลัวใครเข้ามาทำร้าย ผมถึงนอนหลับสบายไม่ถูกอะไรมารบกวน ผมตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกตัวแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่าเวกเตอร์ส่งข้อความมาเป็นการปลุกผมไปในตัว เขาพิมพ์ข้อความมาเยอะมากคาดว่าจะตื่นเต้นอยากชวนผมไปไหนสักที ผมเปิดอ่านดูพบว่าเวกเตอร์จะชวนไปเล่นเกม แล้วจะชวนผมไปด้วย ผมตื่นเต้นจึงตอบตกลงไป
: แกชวนใบข้าวไปด้วยไหม
ผมอ่านข้อความแล้วก็คิดตามเพราะว่าผมเห็นใบข้าวเวลาอยู่ที่โรงเรียนชอบเล่นเกมมาก มือจะจับโทรศัพท์แน่นฝังไว้กับพังผืดมือราวกับเป็นอวัยวะที่สามสิบสามแล้ว ระหว่างที่ผมคุยแชทกับเวกเตอร์ ผมก็คุยกับใบข้าวเป็นการทักทายไปในตัว
: สวัสดีนะใบข้าว
ข้อความที่ผมส่งไปแจ้งเตือนว่าอ่านแล้ว ผมรอคำตอบกลับมาและเขาก็ตอบกลับมาว่ามีอะไรเหรอ ดูท่าทางเขาก็อยากคุยกับผมอยู่ ผมตั้งใจจะชวนไปเล่นเกมพร้อมกับพวกผม เขาก็เหมือนจะดูไม่ค่อยอยากคุยกับผม ดูจากการตอบช้าและตอบสั้นในบางครั้ง แต่ดีหน่อยที่ช่วงหลังเริ่มตอบข้อความยาว ๆ ตอบทุกคำถามที่ผมถามไป
: ทำไมอยากชวนเราไปเหรอ เห็นเราชอบเล่นเกมก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะติดเกมสักหน่อย
: เอาน่า ถือว่าเราชวนแล้วกัน
ใบข้าวนั่งอยู่บนเตียงนอน ช่วงเวลาตีห้าผมนอนหลับไปพักหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมาจับโทรศัพท์เปิดดูข้อความเผื่อว่าจะมีใครทักมาหาผม พบว่าคนที่ทักผมมาก็อยู่ห้องเดียวกันแต่ไม่ได้สนิทมาก เขาทักมาผมก็ตอบไปตามมารยาทซึ่งเขาชวนผมไปเล่นเกม เพราะเห็นว่าผมชอบจับโทรศัพท์ ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่ เรื่องอะไรต้องมาบอกผม ถึงผมไม่ได้อยากตอบรับแต่ชวนไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร ไปก็ดีจะได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
‘เรื่องอะไรต้องมาบอกเราด้วย ไม่ได้สนิทสักหน่อย’