“รถเสียเหรอครับคุณเพลิน” เขาถามแบบยิ้ม ๆ เหมือนขำหญิงสาวอยู่ในที
‘ขับเลยไปซะไกลตั้งใจแกล้งกันชัด ๆ’
“ค่ะ ขับมาดี ๆ มันก็ดับไปซะอย่างนั้น” พาเพลินปั้นหน้าพูดกับเขาดี ๆ ทั้งที่รู้สึกว่าเขากำลังปั่นหัวเธออยู่
“เก่าขนาดนี้แล้ว ผมว่าขายทิ้งให้โรงรับซื้อเศษเหล็กดีกว่ามั้งครับ ขับไปก็อันตรายเปล่า ๆ” เขามองรถมองคนแล้วยิ้มเยาะนิด ๆ
“นี่คุณเหนือเมฆ รถมันจะเก่าอะไรยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณเลย แล้วนี่คุณจะช่วยฉันไหม” เห็นเขาตั้งแง่แบบนี้ พาเพลินก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน
“แม่เจ้าโว้ย ! นี่คือคำพูดของคนที่กำลังขอความช่วยเหลือคนอื่นอยู่เหรอครับ ผมตกใจมากเลยนะครับคุณเพลิน ความรู้สึกอยากช่วยมันลดเหลือกระจึ๋งนึงเอง” เหนือเมฆจีบนิ้วให้อีกฝ่ายได้รู้ ถึงความอยากช่วยอันน้อยนิดของตน ซ้ำยังกอดอกยืนมองนิ่ง ๆ รอดูว่าหญิงสาวจะตอบโต้กลับอย่างไร
พาเพลินหันหน้าหนีไปอีกทางพยายามตริตรองให้รอบคอบ เธอจะให้ใครช่วยได้ล่ะในเมื่อคนที่รู้จักแถวนี้ก็ไม่มีสักคน หากเกิดเจอคนไม่หวังดีเข้า ช่วยแล้วประสงค์ร้ายล่ะ อย่างน้อยเหนือเมฆก็ยังเป็นคนบ้านข้างเรือนเคียง
‘สวมบทนางเอกหน่อยยัยเพลิน’
“ฉันต้องขอโทษคุณเหนือเมฆด้วยนะคะ ฉันแค่หงุดหงิดที่โบกรถแล้วไม่มีใครจอดช่วยเลย คุณเองก็ขับเลยไปเสียตั้งไกลนึกว่าจะไม่มาช่วยแล้ว อย่าโกรธฉันเลยนะ” พาเพลินแสร้งปั้นหน้ายิ้มก่อนหันมาพูดดี ๆ กับเขา เหนือเมฆเลิกคิ้วขึ้นข้างเดียวเหมือนเขาแปลกใจที่ได้ยิน
“ครับรู้จักขอโทษแบบนี้ค่อยน่าช่วยขึ้นมาหน่อย หน่อยเดียวเองนะครับ” เหนือเมฆพูดแล้วก็หันหลังกลับไปดูที่รถของหญิงสาว
พาเพลินกลอกตาใส่ลับหลังเขาระหว่างเดินตามเขาไปที่รถ เห็นเขาลองบิดกุญแจสตาร์ตดูสองสามรอบ ก่อนลงมาเปิดกระโปรงหน้ารถดู ขยับโน่นนิดนี่หน่อยแล้วส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
“คงต้องให้อู่มาลากไปแล้วล่ะคุณเพลิน” เขาบอกพร้อมปิดฝากระโปรงรถลง
“เหรอคะ เอ่อ ฉันไม่รู้จักอู่แถวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมประสานมือเข้าหากัน เหมือนขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นนัย ๆ
“เดี๋ยวผมโทรให้เอง ว่าแต่คุณเถอะขนของในรถคุณไปไว้ที่รถผมได้เลย เดี๋ยวผมไปส่งที่ไร่ให้” เหนือเมฆชี้นิ้วไปที่เบาะหลัง จากนั้นก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่รถของตัวเอง เลื่อนหาเบอร์โทรของอู่ซ่อมรถละแวกที่ใกล้ที่สุด
‘แมนมากไม่ช่วยเลย’
พาเพลินบ่นเขาในความคิด มือก็เอื้อมไปเปิดประตูเบาะหลังรถ จัดการหิ้วของไปไว้ที่รถของเหนือเมฆทีละสองสามถุง ขณะที่เขากำลังยืนคุยโทรศัพท์กับอู่ มีเหลือบมองมาที่เธอแบบแปลก ๆ สายตาของเขาเหมือนคนจงใจไม่ช่วย หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาอยากให้เธอออกปากขอร้องเป็นแน่ ขนของก่อนค่อยโทรศัพท์ก็ได้ แต่นี่เขาเจตนาแน่นอน
‘ไม่ขอให้ช่วยหรอก เชอะ ที่ตลาดยังขนเองได้’
กว่าหญิงสาวจะขนของขึ้นรถจนหมดได้ ก็ต้องเดินไปมาถึงสามรอบ ขนเสร็จแล้วเหนือเมฆถึงเดินเข้ามาหาเธอ
“ขนหมดแล้วเหรอคุณเพลิน” เขาถามคนที่ยืนอยู่ข้างรถของตนเอง ทำหน้านิ่งเหมือนไม่เข้าใจสายตาที่มองมาเชิงตำหนิของอีกคน
“ค่ะ แล้วเรื่องรถลากว่ายังไงบ้างคะ”
“โอเคแล้วครับ จอดไว้นี่แหละเดี๋ยวเขามาลากไปที่อู่ให้ ขึ้นรถกันเถอะครับคุณเพลิน เดี๋ยวผมไปส่งที่ไร่”
“ขอบคุณค่ะ”
เหนือเมฆเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ พาเพลินจึงต้องเปิดประตูขึ้นมานั่งด้านข้างด้วยตัวเอง
‘คนป่าคนไร่แบบเขา เปิดประตูให้ใครไม่เป็นหรอกยัยเพลิน’
พยายามคิดว่าคนอย่างเขา คงห่างไกลจากคำว่าสุภาพบุรุษพอสมควร
เหนือเมฆขับรถออกจากจุดรถเสียไปอย่างช้า ๆ ทั้งที่รถของเขานั้นสามารถเร่งความเร็วมากกว่านี้ได้ แปลกที่เขาเลือกขับช้าเป็นเต่าคลานอยู่แบบนี้ แม้จะมีข้อสงสัยเต็มไปหมดแต่พาเพลินก็เลือกที่จะนั่งเงียบ ๆ แทน แต่ก็ดูเหมือนจะเงียบจนเกินไป
“ของเต็มรถคุณเลย ซื้อไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้คะคุณเหนือเมฆ” ไหน ๆ ก็ขึ้นรถเขามาแล้ว ชวนเขาคุยหน่อยจะเป็นไรไป
“วันนี้หัวหน้าแม่ครัวที่ไร่ลาป่วย ผมเลยต้องไปซื้อของที่ตลาดเอง ความจริงวันนี้ผมก็ตั้งใจไปหาคุณที่ไร่อยู่เหมือนกันนะ”
“หาฉันเหรอคะ ไปหาทำไม”
“อ้าว คุณเพลินนี่ก็แปลก วันนี้วันอาทิตย์ไงครับ ลืมวันลืมเดือนแล้วหรือยังไง”
“วันอาทิตย์ ?” พาเพลินนิ่วหน้า พยายามคิดว่าวันอาทิตย์ทำไมเขาต้องมาหาเธอ
‘…ปกติแล้วผมจะมาเก็บดอกกับคุณอรรถทุกวันอาทิตย์’
หญิงสาวถึงบางอ้อในทันที หันไปมองเขาแล้วเอ่ยถามเบา ๆ
“พ่อจ่ายดอกเบี้ยคุณทุกวันอาทิตย์เหรอคะ ทำไมไม่จ่ายเป็นเดือน ๆ ไป”
“ก็ถ้าเป็นเดือนยอดมันจะเยอะยังไงล่ะ คุณอรรถเลยให้ผมมาเก็บทุกวันอาทิตย์ รวม ๆ กันก็ได้เงินก้อนพอดี ไม่รู้แกเอาเงินมาจากไหนนะ ผมไม่เห็นแกจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยหลัง ๆ มานี้”
“เหรอคะ” ได้ยินเขาทวงหนี้แบบนี้พาเพลินก็รู้สึกปวดแปลบอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้คือเจ้าหนี้และไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะใจดีตรงไหน
“ว่าแต่เมื่อไหร่คุณเพลินจะกลับกรุงเทพฯ ล่ะครับ” จู่ ๆ เหนือเมฆก็ถามออกมา พาเพลินชักสีหน้าใส่เขาเล็กน้อยหลังได้ยิน
“ผมพูดอะไรผิดครับ ทำไมมองผมแบบนี้ล่ะคุณเพลิน” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่เจตนาถามตรง ๆ นั่นเอง
“ฉันอยากอยู่ที่ไร่ค่ะ ยังไม่คิดกลับไปตอนนี้” พาเพลินตอบกลับเสียงแข็ง หันหน้าไปมองข้างทางแทนหน้าเขา
“อยู่ที่ไร่ คนอย่างคุณนี่นะ” เขาสบประมาทเบา ๆ ทว่าอีกฝ่ายได้ยินชัดเต็มสองหู
“มันแปลกตรงไหนเหรอคะคุณเหนือเมฆ ถ้าฉันอยากอยู่ที่ไร่ของพ่อฉันเอง” หญิงสาวหันขวับกลับมาถามเขา
“อย่าล้อเล่นเลยครับคุณเพลิน บ้านไร่มันไม่ได้ผาสุกหรือสนุกสนานอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอกครับ มาอยู่จริงแล้วจะรู้ว่ามันลำบากขนาดไหน ผมว่าคุณไปบีบน้ำตาออกสื่อสักหน่อย ขี้คร้านคนเขาจะลืมเรื่องฉาวโฉ่ก่อนหน้าของคุณไป คนไทยลืมง่ายจะตายไปครับ” เหนือเมฆกระตุกมุมปากยิ้มหยันหลังพูดจบ