3
ต้องสู้
พาเพลินเริ่มเดินสำรวจดูพื้นที่ของไร่ กลิ่นอายในอดีตหวนมาให้คิดถึง ชีวิตที่นี่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะจบลงด้วยหยาดน้ำตา และการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ตอนนี้หลงเหลือไว้เพียงความว่างเปล่ารกร้างเต็มไปหมด ไร่พาเพลินในความทรงจำของเธอนั้น มีสารพัดสัตว์ที่บิดาเลี้ยงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มวัวหลายร้อยตัว ฟาร์มไก่ไข่ และมีแปลงผักสวนครัวหลายแปลง เคยมีคนงานคอยดูแลไร่ราวยี่สิบคน ทุกวันจะต้องได้ยินเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว เสียงฝูงวัวถูกปล่อยออกจากคอก ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปตามทางที่พวกมันเดินผ่าน ระหว่างวันมีเสียงคนงานพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา เจ้าของไร่เช่นบิดาของเธอดูจะทำงานหนักกว่าทุกคน เป็นแบบนี้ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
เมื่อพาเพลินอายุได้แปดขวบ มารดาของหญิงสาวเริ่มทนรับความซ้ำซากจำเจทุกวันแบบนี้ไม่ได้ หญิงสาวจากเมืองกรุงผันชีวิตมาเป็นภรรยาชาวไร่ แรกเริ่มทุกอย่างก็สวยงาม แต่พอนานวันเข้าท่านก็เริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น และเริ่มรู้ว่าชีวิตมันไม่ได้สุขสบายเหมือนอย่างที่ต้องการ เมื่อใจไม่อยากอยู่คนเป็นสามีก็ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ และครอบครัวที่เคยแสนสุขก็จบลงในวันนั้น
พาเพลินเดินออกจากบ้านไม้สองชั้นของบิดา เดินทอดน่องตรงไปยังโรงเลี้ยงม้า ซึ่งในอดีตบิดาเคยเลี้ยงไว้สามสี่ตัวเห็นจะได้ พาเพลินเคยฝึกขี่ม้ากับบิดาด้วย หลังขี่เป็นแล้วท่านก็ปล่อยให้เธอขี่วิ่งไปรอบ ๆ ทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ท่ามกลางฝูงวัวที่กำลังเล็มหญ้าอยู่นับร้อยตัว ภาพแห่งความสนุกผุดขึ้นในความทรงจำอันแสนหวาน ก่อนจะถอนหายใจออกมากับสภาพผุพังของโรงเลี้ยงม้าแห่งนี้ หญิงสาวผลักประตูเข้าไปเบา ๆ ฝุ่นละอองฟุ้งออกมาจนต้องดึงคอเสื้อยืดขึ้นมาปิดจมูกเพื่อกรองฝุ่น ที่นี่ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้วจริง ๆ หญิงสาวเดินออกมาสักพักก็เจอฟาร์มเลี้ยงวัว ซึ่งตอนนี้ถูกปล่อยร้างไปไม่ต่างจากที่อื่น
บ้านของลุงมากับป้าน้อยอยู่ท้ายไร่ เป็นพื้นที่เดียวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีบ่อเลี้ยงปลาและปลูกผักเอาไว้บริเวณรอบ ๆ บ่ออีกด้วย
‘คุณอรรถแนะนำให้เราเลี้ยงปลากับปลูกผักค่ะคุณหนูเพลิน แกให้คนมาขุดบ่อเลี้ยงปลาให้ด้วย แกบอกว่าทำแบบนี้แล้ว ถึงไม่มีงานทำก็ไม่อดตาย นี่ป้าเลี้ยงไก่ไข่เอาไว้ด้วยนะคะ เลี้ยงไว้ตรงฟาร์มไก่ไข่เก่านั่นแหละ แต่เลี้ยงแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้นเอง แค่นี้ก็กินกันไม่ทันแล้วค่ะ บางทีก็เอาไปฝากไร่ข้าง ๆ เขาด้วยเหมือนกัน’
ดูเหมือนป้าน้อยกับลุงมาจะได้อยู่กับบิดาของเธอ มากกว่าลูกสาวแท้ ๆ อย่างเธอเสียอีก เป็นความสัมพันธ์ที่อธิบายยาก และยากที่คนอื่นจะมาเข้าใจได้ พาเพลินเดินไปเรื่อย ๆ จนสุดรั้วไร่ฝั่งซ้าย เล่นเอาเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน ถ้าจะสำรวจทั่วไร่ได้คงต้องขับรถกระบะคันนั้นออกมาด้วย เดินไปหยุดอยู่ตรงลวดหนามที่มีความสูงถึงอกของเธอ มีไว้สำหรับกั้นอาณาเขตของสองไร่ เมื่อก่อนพาเพลินเคยมุดรั้วเข้าไปวิ่งเล่นที่ไร่ฝั่งโน้นอยู่บ่อยครั้ง
‘เด็กนั่นลูกใคร ทำไมมาวิ่งเล่นอยู่ตรงนี้ได้ ออกไปเลยนะ ! เห็นไหมว่าม้ากำลังพยศอยู่ ออกไปจากรั้วเดี๋ยวนี้เลย !’
ภาพความทรงจำส่วนหนึ่งกระจ่างขึ้น พาเพลินเกลียดเจ้าของไร่ด้านข้างเป็นอย่างมาก ที่มาไล่เธอเหมือนตัวอะไรสักอย่าง แต่พอโตขึ้นถึงได้เข้าใจ ว่าการที่ม้าพยศมันอันตรายแค่ไหน และกว่าเธอจะนึกเรื่องของเขาออกก็หลายวันผ่านไป เกือบลืมไปหมดเสียแล้วความทรงจำในวัยเด็ก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม มองแมกไม้ใบหญ้าและกลิ่นอายธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ เธอจะปล่อยให้ที่นี่ไปอยู่ในมือของคนอื่นจริงหรือ ปล่อยบ้านที่บิดาสร้างมาจากหยาดเหงื่อแรงงานให้คนอย่างเหนือเมฆอย่างนั้นหรือ
‘บ้านของพ่อ’
แค่คิดถึงสามคำนี้ หยาดน้ำใส ๆ ก็ไหลอาบพวงแก้มอิ่มทั้งสองข้าง เธอกับแม่ทิ้งพ่อไปอยู่ในที่ที่สุขสบาย ปล่อยให้ท่านต้องเผชิญกับความยากลำบากกับชีวิตที่นี่ ความมั่งมีในอดีตหายไปหลงเหลือเพียงความแห้งแล้งของผืนไร่ บิดาของเธอต้องเจอกับอุปสรรคหนักหนาแค่ไหน หากไม่ถึงที่สุดคงไม่กล้าเรียกร้องให้ลูกสาวอย่างเธอกลับมาหา ทำไมเธอไม่เฉลียวใจเลยสักนิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดร้าวลึกอยู่ข้างในใจ หากหันหน้ามาคุยกันสักนิด เปิดใจเข้าหากันสักหน่อย เธอคงไม่พลาดช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตไป
‘พ่อเพลินขอโทษ’
พาเพลินเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน ตรงขึ้นบันไดไปเปิดประตูห้องนอนของบิดา ทุกอย่างยังเหมือนวันวานไม่มีผิด ภาพตรงฝาผนังห้องยังเป็นรูปครอบครัว ตอนเธอยังแบเบาะนอนยิ้มแฉ่งอยู่ในอ้อมกอดของมารดา มีบิดาโอบสองแม่ลูกเอาไว้อีกที สายตาของพวกท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยแววตาแห่งความสุข กลิ่นอายของบิดายังอบอวลอยู่ในห้อง
‘อกตัญญู’
ใช่ เธอมันเหมาะกับคำนี้จริง ๆ ความหมางเมิน ความเฉยชา ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ที่ผ่านมาหัวใจเธอแข็งกระด้างตามวันเวลา ทว่าตอนนี้มันกลับอ่อนไหวกับที่นี่ อยากเก็บทุกอย่างที่เป็นของพ่อเอาไว้เหมือนเดิม หญิงสาวปาดน้ำตาออกแล้วเดินไปเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงของบิดา พบโทรศัพท์มือถือกับปืนพกกระบอกหนึ่งของท่านวางอยู่ในนั้น พาเพลินนำโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่แล้วเปิดดูข้อมูลในนั้น บิดาไม่ได้ตั้งรหัสล็อกหน้าจอแต่อย่างใด คนเป็นลูกจึงสามารถเปิดดูทุกอย่างในนั้นได้ แต่เรื่องที่เธอเห็นบนโลกออนไลน์ของท่าน กลับมีแต่ข่าวและภาพของเธอทั้งนั้น
“พ่อเพลินขอโทษ ฮื้อ ฮือ ๆ”
พาเพลินกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น กดแนบตรงอกด้านซ้ายแล้วฟุบหน้าร้องไห้อยู่บนเตียงนอนของบิดา หญิงสาวร้องไห้จนผล็อยหลับไปในห้องของท่าน ตื่นมาอีกทีก็เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ เสียแล้ว เดินลงมาข้างล่างก็เห็นป้าน้อยกำลังถูบ้านอยู่
“คุณหนูเพลินไปไหนมาคะ ป้าตามหาเสียให้ทั่วไร่เลยค่ะ ป้าทำข้าวเที่ยงไว้ให้แล้วค่ะ ตั้งโต๊ะรอแล้วด้วยป่านนี้เย็นหมดแล้วมั้งคะ”
“ขอโทษด้วยค่ะป้าน้อย เพลินเข้าไปห้องพ่อแล้วเผลองีบไปค่ะ ขอบคุณนะคะที่ทำกับข้าวให้เพลินกินตั้งหลายวัน ป้าน้อยเพลินอยากจะถามอะไรสักหน่อย วางมือแล้วมานั่งคุยกันก่อนค่ะ” พาเพลินเดินนำหน้าไปยังห้องรับแขก ป้าน้อยก็รีบวางมือที่จับไม้ถูพื้นเดินตามหญิงสาวไป
“มีอะไรจะคุยกับป้าคะคุณหนูเพลิน”
“นั่งบนเก้าอี้สิคะ ไปนั่งที่พื้นทำไม”
“ค่ะ ๆ” ป้าน้อยรีบลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีนอบน้อม ทำให้พาเพลินอมยิ้มในความซื่อของหญิงสูงวัย
“ถ้าเพลินยอมให้คุณเหนือเมฆยึดไร่ไปแล้ว ป้าน้อยกับลุงมาจะไปอยู่ที่ไหนคะ”
“อะไรนะคะ คุณหนูเพลินจะให้คุณเหนือเมฆมายึดไร่เราไปจริง ๆ เหรอคะ” ป้าน้อยยกมือตบอกออกอาการตกใจเป็นอย่างมาก