ตอนที่ 1
1
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”
น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ แต่ทำให้กลุ่มคนที่ถูกถามยิ่งเกิดอาการร้อนสลับหนาวราวกำลังจับไข้ หวาดหวั่นในอก จนเหงื่อผุดไหลออกมาจากข้างขมับ อันเนื่องมาจากรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่กระจายมาจากชายเรือนร่างสูงใหญ่อกกว้างผึ่งผาย ซึ่งยืนสองมือสอดล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสะแล็คส์เนื้อดีรีดเสียจนเรียบ ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกตึก
ที่ตั้งของบริษัทผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟแวร์ต่างๆ คืออาคารสามชั้น ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพียงมองลอดผ่านม่านสีขาวและหน้าต่างกระจกสีชาก็ทำให้เห็นแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ เมฆหมอกสีขาวลอยละลิ่วล่องไปตามกระแสลม ท้องฟ้าสีฟ้าครามและแผ่นพื้นน้ำเป็นสีเขียวอมฟ้าคราม
ท้องทะเลกว้างไกลยาวสุดตา ส่องกระทบกับแสงพระอาทิตย์ซึ่งสาดส่องมาราวกับเพชรหลากสีสัน สายน้ำรวมตัวกันเป็นเกลียวสะบัดไหวปลิวไปตามกระแสลมแรง ละม้ายระลอกคลื่นไล่ล้อกันอย่างสนุกสนาน ก่อนสาดซัดเข้าหาฝากฝั่ง บางส่วนกระแทกเข้ากับโขดหิน ราวกับน้ำทะเลนั้นขอล้อเล่นกับก้อนหินแข็งแกร่งและสายลมพลิ้วเบา บางส่วนก็กลายเป็นฟองฟูฟ่องสาดซัดล้อเล่นกับทรายขาวสะอาด สิ่งที่เห็นเป็นดังเช่นอัญมณีแห่งท้องทะเล นามมุกมรกตที่หลายคนใฝ่ฝันอยากได้ครอบครองเป็นเจ้าของ
แสงและสีอันสดใสสวยงามเบื้องนอกไม่ได้ทำให้หนุ่มร่างสูงคลายความร้อนรุ่มในหัวใจได้เลยสักนิด มีแต่จะถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงโทสะมากยิ่งขึ้น ด้วยเอ่ยถามไปแล้วไร้คำตอบกลับมา ชายหนุ่มละสายตาหันกลับมามองผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคน เพียงแค่เขาเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ละคนก็สะดุ้งเฮือก หน้าตาซีดเผือดเหลือสองนิ้วเห็นจะได้
มือใหญ่วางทาบบนพนักเก้าอี้ ดึงลากเบาๆ แต่ก็มีเสียงล้อครูดกับพื้น อย่างกับมีใครเอามีดทื่อๆ ไปถูกกับหินขัด จนเกิดเสียงเสียวเข้าไปในช่องปากลามไปถึงใบหูคนที่ได้ยิน จนแต่ละคนแทบไม่กล้าหายใจเข้าออก ทั้งที่ภายในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นจัด แต่ทุกคนกลับร้อนรุ่มราวกับนั่งอยู่บนกองเพลิง เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลย้อยลงมาก็ยังไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ด
ยิ่งเมื่อร่างหนาใหญ่ทรุดตัวลงนั่ง เอนกายจนแผ่นหลังอิงกับเบาะนุ่มๆ กางแขนออกเล็กน้อยทาบสองมือจับกัน เคาะนิ้วชี้กระทบกันเบาๆ ขณะกวาดตาสีเทาอมเขียวขี้ม้าที่ฉายแววเนือยๆ และเฉื่อยชา มองผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนอย่างพินิจพิเคราะห์ เหมือนกำลังประเมินศักยภาพ เขาและเธอเหล่านี้ เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ทำอยู่ และผลตอบแทนที่ได้รับในทุกๆ เดือนหรือไม่
สายตาคมกริบราวกับสายตาพญาอินทรีที่กราดมองมา ทำให้คนถูกมองหนาวยะเยือกราวกับนั่งอยู่บนเก้าอี้น้ำแข็ง กลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ด้วยรู้กันดีว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นมายาหลอกตาเท่านั้น ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายสิ่งใด แต่เขาคนนี้กลับร้ายยิ่งกว่าเสือ ดุยิ่งกว่าสิงโต เหี้ยมหาญอย่างร้ายกาจ สามารถปล่อยหมัดเดียวทำให้คนหลับทั้งยืนมาแล้ว
ดวงตาเข้มจัดกวาดไล่ไปหยุดอยู่ที่หนุ่มหน้าละอ่อนคนสุดท้ายฝั่งขวามือ พร้อมคำพูดที่ออกจากปากหนาหยัก เหมือนกำลังยิ้มหยามคนทั้งโลก
“ฉันควรได้รับคำตอบ มากกว่าการนั่งเงียบแบบนี้ไม่ใช่หรือ” ไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร แต่คิดว่าคนตั้งหกเจ็ดคนที่เข้าร่วมประชุม น่าจะให้คำตอบได้บ้าง ไม่ใช่นั่งเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้
“เวลาที่ให้ไปไม่พอจะหาคำตอบหรือไง” เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง พลางตวัดสายตากร้าวแข็งมองไล่ไปยังหัวหน้าแผนกแต่ละคนอย่างคาดคั้นเอาคำตอบที่ต้องการ
“ขอโทษครับเจ้านาย พวกผมทำงานสะเพร่า ทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทรั่วไหล”
“อย่างนี้ควรพิจารณาตัวเอง”
คำพูดผู้เป็นเจ้านายทำเอาทุกคนในที่ประชุมสะดุ้งกันเป็นทิวแถว ถึงแม้งานจะหนัก เจ้านายก็ดุและเข้มงวด ด้วยต้องการให้ผลงานออกมาดี ทว่าผลตอบแทนก็ดีถึงขั้นที่เรียกว่าดีมาก ไม่เพียงแค่เงินเดือนประจำที่สูงลิ่วอยู่แล้ว ยังจะมีสวัสดิการด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักฟรี ยังจะมีอาหารและบริการรถรับส่ง การได้ท่องเที่ยวต่างประเทศฟรีทั้งครอบครัว หากแม้ใครมีบุตรหลานอยู่ในวัยเรียน ก็ยังมีทุนการศึกษาให้ด้วย อย่างนี้แล้วยังมีใครกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองอีกเล่า
“ให้เวลาพวกคุณอีกสามชั่วโมงดีไหม ถ้ายังหาคำตอบในเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ คงไม่ต้องให้บอกซ้ำนะ ควรทำยังไง”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องประชุมด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็จริง ทว่าในอกนั้นร้อนราวกับมีไฟสุมอยู่ งานนี้ถ้าหวังพึ่งแต่พวกไร้สมรรถภาพเหล่านี้ บริษัทเขาจะต้องเสียหายทั้งด้านชื่อเสียง และความเชื่อมั่นจากกลุ่มบริษัทที่ใช้บริการอยู่ รวมไปถึงเม็ดเงินอันมากมายมหาศาลที่จะต้องสูญเสียไปด้วย แล้วครอบครัวเขาเล่า
งานนี้...เห็นทีเขาต้องลงมือด้วยตัวเองเสียแล้ว!
เสียงเคาะประตูเบาๆ เหมือนไม่กล้า แต่ขัดไม่ได้ดังขึ้น ก่อนมีเสียงคนเปิดเข้ามา เรียกความสนใจจากชายซึ่งยืนเอนกายแอบอิงขอบหน้าต่างหันมองเพียงแค่เล็กน้อย แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าแกร่งกระด้างบึกบึนก็หันกลับไปทอดสายตามองลงไปเบื้องล่าง ซึ่งขณะนี้มีสาวน้อยร่างสูงโปร่งกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่
เธอคนนั้นคงรู้ว่ากำลังถูกมองก็เลยหยุดและเงยหน้าขึ้นมา ก่อนกลีบปากสีชมพูอิ่มนุ่มจะฉีกยิ้ม แก้มขาวนวลอมชมพูระเรื่อป่องออก มือเรียวยกขึ้นโบกไม้โบกมือให้ ก่อนหันไปทำกิจกรรมส่วนตัวต่อไป
“นายครับ” ผู้มาใหม่ยืนรออยู่เป็นครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเรียกเป็นนายน้ำเสียงอ่อนเบา สีหน้ายุ่งยาก
“มันเป็นใคร” เอ่ยถามเสียงแข็งดุกร้าว นัยน์ตาเข้มดุไม่ผิดแผกกับแววตาสัตว์ร้ายยามค่ำคืน ที่พร้อมกระโจนใส่ศัตรูผู้หมายล่าเอาชีวิต อยากรู้นักใครกล้าเอาของเขาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
คนถูกถามมองผู้เป็นนายอย่างรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งยวด ในทรวงอัดแน่นไปด้วยความอึดอัด ด้วยข้อมูลที่ได้มามีสิ่งที่นายต้องการเพียงนิดเดียว
“เอ่อ...เรายังควานหาตัวไม่พบเลยครับ คิดว่าการจารกรรมข้อมูลไปขายให้คู่แข่งน่าจะทำมาหลายครั้งแล้ว” สิ้นเสียงคนที่รายงานถึงกับหยุดกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองที่สุด หยุดรายงานไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอด เพื่อเรียกเรี่ยวและและพละกำลังที่มีน้อยนิดขึ้นมาบอกกล่าวในสิ่งที่ตนได้ล่วงรู้มา แต่ไร้ซึ่งหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เชื่อว่าข่าวที่ได้รับมามีความจริงเกินครึ่ง
“ตอนนี้...” แม้ตัดสินใจแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขากลับพูดไม่ออกเสียดื้อๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบคอและผ้าอุดปากซ้ำ
รอฟังอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาจากปากลูกน้อง ชายหนุ่มถึงต้องหันไปมอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “อะไร”
“คิดว่าว่าซอฟแวร์เกี่ยวกับการป้องกันและดักจับผู้บุกรุกอันไม่พึงประสงค์ที่อยู่ในช่วงของการทดลองก็อาจถูกจากกรรมไปแล้วด้วยครับ” กว่าจะพูดจบเขาคิดว่าใช้เวลานานเป็นโยชน์ ยิ่งผู้เป็นนายยังคงเงียบกริบอยู่ ทั้งห้องตกอยู่ในภวังค์อันเงียบงัน จนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ ที่อึดอัดเหมือนกับมีกระแสลมร้อนผ่าวไหลวนเวียนมาจากทุกสารทิศอัดเข้าตรงที่กล้ามเนื้ออก
แค่ลักษณะภายนอกของผู้เป็นนาย เรือนร่างสูงใหญ่ราวกับหุ่นทองแดงสำฤทธิ์ ผิวเนื้อสีน้ำตาลคล้ามแดด เครื่องหน้าเข้มจัดยิ่งมีหนวดเคราที่แลเห็นเป็นปื้นเขียวยาวจากข้างแก้มและเหนือริมฝีปาก ดวงตาสีเทาอมเขียวขี้ม้า คมดุใต้กรอบตากว้างลึก มองมาแต่ละครั้งทำให้เขานึกถึงนกอินทรีที่เหินอยู่บนเวหา ใช้สายตาอันแหลมคมและฉับไว มองเห็นเป้าหมายได้จากระยะไกล โจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ ทำเขากลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
ต้องมาเจอกับมาดนิ่งๆ แต่ประกายในดวงตาเจิดจรัสวาวจ้าราวสิงโตตัวเขื่องหมายขย้ำเหยื่อ บวกกับพระอาทิตย์จากด้านนอกสาดแสงส่องมาขับเน้นพายุเพลิงโทสะเป็นราวน้ำแข็งห่อลาวาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอีก อากาศในห้องที่เย็นจัดกลับร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับอยู่ในเตาอบก็มิปาน