CHAPTER 4
ความบังเอิญหรือโชคชะตากันแน่?
รถของฉันเกิดเกเรขึ้นมาในตอนที่กำลังขับกลับคอนโด ร้อยวันพันปีก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไรแต่วันนี้ดันงอแงขึ้นมาเสียงั้น แล้วฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเสียด้วย
ฉันรู้สึกว่ารถควบคุมได้ยาก คาดว่ายางน่าจะรั่วเพราะรู้สึกว่ามันส่าย ๆ ฉันพยายามประคองรถจนมาจอดเทียบฟุตบาทได้ อีกไม่กี่เมตรก็ถึงปั๊มแล้ว แต่มันไปต่อไม่ไหวจริง ๆ
คนแรกที่ฉันนึกถึงคือพี่ชาย จึงเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเขา
“โอ๊ย ไอ้พี่ป้องนี่เคยอาศัยอะไรได้บ้างวะเนี่ย” ฉันโวยวายใส่โทรศัพท์ ฉันเบื่อพี่ชายคนนี้มากเพราะวัน ๆ แทบไม่ได้เห็นหน้ากันทั้งที่ห้องเราก็อยู่ตรงข้ามกัน อีกทั้งยังติดต่อยาก โทรหาไปเถอะถ้าเขาไม่สะดวกรับก็คือไม่รับ
ฉันโยนโทรศัพท์ไปที่เบาะข้าง ๆ แล้วเปิดประตูลงจากรถมาดูยางหน้าด้านขวาที่ไม่มีลมเลย ยางแบนติดกับพื้น ไม่รู้ว่าไปเหยียบอะไรจากตรงไหนมา
“รถยางรั่วเหรอครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นมา
“ค่ะ” ตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังกดโทรศัพท์ค้นหาอู่ที่อยู่ใกล้ เพื่อให้ช่างช่วยมาดูรถให้
“พี่มีช่างที่รู้จัก เดี๋ยวเรียกมาดูให้ครับ”
ฉันหันไปมองหน้าเขา ดวงตาพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ แม้จะได้เจอหน้ากันแค่เพียงครั้งเดียวที่ห้างสรรพสินค้า ฉันก็จำหน้าเขาได้
“พี่…” ฉันเผลอแสดงความดีใจผ่านทางสีหน้า ไม่รู้ว่าดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งหรือกำลังดีใจที่มีคนเข้ามาช่วยก็ไม่รู้
“เดี๋ยวพี่เรียกช่างมาให้นะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พี่เขาเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาช่างให้ทันที
“เดี๋ยวช่างมา ตอนนี้เราไปหาที่นั่งรอกันก่อนไหม”
“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนปรางเหรอคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย เพราะฟังจากที่เขาพูดเหมือนว่าเขาจะอยู่ด้วย
“ปราง?” อีกฝ่ายทวนชื่อฉัน ฉันยิ้มและพยักหน้าให้
“เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนครับ”
ฉันก็เกรงใจเขาอยู่หรอกนะ แต่ฉันก็อยากให้เขาอยู่ด้วยไง ก็เลยไม่คิดที่จะปฏิเสธ ส่วนหนึ่งก็อยากอยู่ใกล้เขา และอีกอย่างก็คือฉันไม่มีความรู้เรื่องรถเลย ถ้ามีเขาอยู่ด้วยก็คงดี
“นั่งในร้านนั้นดีกว่า กินติมเย็น ๆ” คนตัวสูงชี้ไปที่ร้านไอศกรีมที่อยู่ถัดไป
ฉันพยักหน้าให้ด้วยความตื่นเต้น ตื่นเต้นจนแสดงความประหม่าออกมาชัดเจนเลยล่ะ
“ปรางอยากกินแบบไหน” เขาหันมาถามเมื่อเดินเข้ามาในร้านไอศกรีมแล้ว
“บ…แบบไหนก็ได้ค่ะ” เส้นเสียงของฉันสั่นขึ้นมาเสียงั้น เขาจะสังเกตเห็นไหมนะว่าตอนนี้ฉันกำลังเสียอาการอยู่
“โอเคครับ เดี๋ยวพี่สั่งให้ ปรางไปนั่งรอเลยครับ”
ฉันว่าฉันเองก็คงยืนต่อไม่ได้แล้วล่ะ อยู่ใกล้เขามากจนไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง หากแยกตัวออกมานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนก็น่าจะดี ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พยายามที่จะปรับอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้แรงเกินไป
“พี่สั่งให้แล้วนะ น้ำครับ” คนตรงหน้าวางแก้วน้ำลงให้ฉัน
“เท่าไหร่คะ” ฉันเห็นว่าเมื่อกี้เขาเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วจ่ายเลย
“ฟรีครับ พี่เลี้ยง”
“ปรางควรต้องเป็นคนเลี้ยงพี่สิคะ”
“พี่ต่างหากที่ควรต้องเลี้ยง เพราะพี่เป็นคนชวนมา”
“แต่”
“ไม่มีแต่แล้ว” พี่เขาแกล้งทำตาดุใส่ ฉันก็เลยต้องเงียบเสียงลงและยู่หน้าให้ที่เขาขัดไม่ยอมให้ฉันเป็นคนเลี้ยง
“ปรางร้อนเหรอ เหงื่อเต็มหน้าเลย” เขามองใบหน้าของฉันแล้วเห็นว่ามีเม็ดเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้า ฉันรีบเอามือปาดแบบลวก ๆ แล้วยิ้มเขินให้เขา
“ร้อนค่ะ”
“พี่ถึงได้ชวนกินไอติมนี่แหละ อากาศข้างนอกร้อนเกิน” เขาพูดพลางล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเสื้อสูทส่งให้ฉัน
ฉันมองแต่ไม่กล้ารับมาไว้ทั้งที่ในใจดี๊ด๊าอยากจะคว้ามามาก ๆ แต่ความตื่นเต้นทำให้ฉันเสียอาการ มือไม้แข็งจนไม่กล้ายื่นออกไปรับมาซับเหงื่อ
คนตรงหน้าระบายยิ้มคล้ายกับเอ็นดู เขาค่อย ๆ ซับตามกรอบหน้าให้ด้วยน้ำหนักมือที่นุ่มนวล หัวใจของฉันเต้นตึกตักแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าแทบจะควบคุมไม่ได้
ยิ่งมองหน้าเขาหัวใจของฉันก็ยิ่งเต้นแรง คนอะไรทั้งหล่อทั้งดูดีแถมยังอ่อนโยน ฉันรู้สึกว่าอยู่ใกล้เขาแล้วยิ่งร้อนบนผิวหน้ามากกว่าเดิม
“ปรางขี้ร้อนมากเลยเหรอเนี่ย ขนาดอยู่ในห้องแอร์หน้ายังแดง ๆ อยู่เลย”
หน้าแดงเพราะเขาต่างหากล่ะ ฉันยอมรับเลยว่าเขาทำให้ฉันเสียอาการตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากันแล้ว แต่ก็พยายามหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ สะกดจิตตัวเองว่าเขาต้องมีแฟนแล้วแน่ ๆ แต่พอได้เจอกันอีกก็เริ่มคิดเข้าข้างตัวเอง…โชคชะตาอาจเหวี่ยงมาให้เจอกันก็ได้
ฉันกรีดร้องดี๊ด๊าอยู่ในใจ และระบายยิ้มบางให้เขาราวกับยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้ร้อน
“ไอศกรีมที่สั่งได้แล้วค่ะ” พนักงานเอาไอศกรีมมาเสิร์ฟ ของฉันมีสามลูกและบีบวิปครีมมาให้แบบน่ากินสุด ๆ เขาสั่งมาให้ฉันได้ถูกใจมาก แต่ของพี่เขากลับเป็นไอศกรีมรสกาแฟเพียงแค่ลูกเดียว
“ทำไมของพี่…”
“พี่ไม่ค่อยชอบกินไอติมครับ”
งั้นที่พาเข้ามาที่นี่ก็เพื่อให้ฉันกินสินะ น่ารักจัง…ฉันชื่นชมเขาอยู่ในใจ เวลาตกหลุมรักใครสักคนนี่เรื่องแค่นี้ก็มองว่าน่ารักจนเหลือล้น ฉันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
“ช่างมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปคุยกับช่างก่อนนะ”
“เดี๋ยวปรางไปเองค่ะ” ฉันพูดด้วยความเกรงใจ รถฉันเองแท้ ๆ แต่กลับนั่งตากแอร์สบายแล้วให้คนที่ค่อนข้างแปลกหน้าเป็นคนไปคุยให้
“นั่งเถอะ พี่ไปดูให้” เขาหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
แค่เห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็รู้สึกเหมือนถูกสาปเอาไว้แล้วยอมนั่งนิ่งอยู่กับที่ ยังจดจำรอยยิ้มเอาไว้และพอเขาเดินออกไปก็ยกมือขึ้นกุมพวงแก้มของตัวเอง
สักพักหนึ่งคนตัวสูงก็เดินกลับเข้ามา
“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ พี่จ่ายให้แล้ว” ฉันเบิกตาโต ทำไมเขาไม่เดินเข้ามาบอกก่อน
“เท่าไหร่คะ” ฉันจะคืนค่าช่างให้เขา
“ไม่เป็นไรครับ พี่ตอบแทนที่ปรางเคยช่วยแม่พี่ไว้”
“ปรางแค่ประคองเองค่ะ พี่รับค่าช่างคืนไปเถอะนะคะ”
“ไม่ครับ” เขายืนยันเสียงหนักแน่น ซึ่งฉันฟังแล้วก็มั่นใจว่าเขาไม่ยอมรับคืนไปแน่ ๆ
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณ คนที่อายุเยอะกว่ารีบจับมือฉันไว้ด้วยความตกใจที่ฉันยกมือไหว้ แต่ในตอนนี้ฉันก็กำลังตกใจที่เขาจับมือฉันอยู่เหมือนกัน
“ขอโทษครับ” เขาเห็นว่าฉันมองมือของเขาด้วยความตะลึงงัน เขาเลยรีบปล่อยมือออกแล้วเอ่ยออกมาด้วยความสุภาพ
เสียดายอ่า ฉันไม่น่ามองด้วยความตื่นตะลึงแบบนั้นเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงจับมือไว้นานกว่านี้
คนตัวโตเดินมาส่งที่รถ ฉันหันไปขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเข้ามานั่งประจำที่คนขับ
ดวงตาพลันเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ครั้นจะตะโกนเรียกไว้ก็ไม่ทันเพราะพี่คนนั้นเดินไปที่รถของตัวเองแล้ว
“ปรางเอ๊ยปราง ทำไมไม่ถามชื่อเขาเนี่ย” ฉันเบะปากราวกับจะร้องไห้ น่าเสียดายที่ไม่ทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้เลย…