ดวงตาคู่หวานไม่มีหยาดน้ำตาให้เห็นสักหยด ปรากฏเพียงความชิงชังที่มีต่อคนที่เจ้าหล่อนกำลังจ้องมอง
“เรื่องของเรา พี่ยอมรับว่าพี่ผิด แต่พี่ขอโอกาสได้ไหมพราว ให้พี่ได้ทำหน้าที่พ่อเถอะนะ อย่างน้อยก็ขอแค่ได้ช่วยบ้างก็ยังดี ถึงยังไงลูกก็เป็นลูกของพี่ จะให้พี่ไม่ดูดำดูดีได้ยังไง”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ พี่ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าหนูต้องการ หนูคงบอกเรื่องลูกกับพี่ตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว”
กว่าจะผ่านแต่ละคืนวันไปได้ พราวจันทร์เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ไม่เคยมีสักเสี้ยววินาทีที่เจ้าหล่อนคิดอยากให้พ่อของลูกยื่นมือเข้ามาช่วย หากว่าวันนี้ภวินท์ไม่มาที่นี่ เธอคงลืมไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือพ่อของลูก
“ครั้งหนึ่งหนูเคยมอบหัวใจให้พี่ แต่สุดท้ายพี่ก็ทำลายมันจนไม่เหลือชิ้นดี แต่จะโทษพี่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้หรอก เพราะหนูมันโง่ หนูโง่เองที่คิดว่าผู้ชายอย่างพี่จะมาจริงจังกับคนอย่างหนู”
“พราวจะให้พี่ชดใช้ยังไง พราวบอกมาได้เลย พี่ยินดีทำทุกอย่าง” เขาไม่เคยคิดปฏิเสธความผิดของตัวเอง และยินดีทำทุกอย่างที่พราวจันทร์ต้องการ กระนั้นทุกอย่างที่ทำไป เขาก็ต้องได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการกลับมาเช่นเดียวกัน เพราะที่เขาหวนกลับมาหาผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งก็มีประเด็นสำคัญคือเรื่องลูก
คำขอโทษที่ไร้ซึ่งความจริงใจ สำหรับพราวจันทร์แล้วไม่ต่างจากลมปากเน่าๆ ที่พ้นออกมาทำให้เธอระคายจมูกสักนิด
“กลับไปซะ หนูไม่ต้องการให้พี่มาทำอะไรให้ หนูขอแค่ให้พี่ไสหัวออกไปจากชีวิตหนูก็พอ และอย่ากลับมาให้หนูเห็นหน้าอีก”
ภวินท์ขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวร่างเล็กแล้วมองสบตากับเจ้าหล่อน “ความต้องการของพราวคือไม่ให้พี่มายุ่งกับลูก แต่พี่ให้ไม่ได้ เพราะลูกเป็นลูกของพี่ อย่าบังคับให้พี่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเลยนะพราว” ในเมื่อคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง เขาก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งกับพราวจันทร์ ลำพังตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าจะเลี้ยงรอดหรือเปล่า แล้วยังคิดจะพาลูกไปลำบากด้วยอีก ไม่มีทางที่เขาจะยอม
ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พี่จะทำอะไร!” เธอโกรธจนตัวสั่น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
“ทำในสิ่งที่ต้องทำ เรื่องพราวพี่ยอมรับว่าพี่ผิด แต่เรื่องลูก ถ้าตอนนั้นพี่รู้ แน่นอนว่าพี่ไม่มีทางปัดความรับผิดชอบ ถ้าพราวเลี้ยงลูกคนเดียวได้โดยที่ลูกไม่ลำบาก พี่จะไม่ว่าอะไรสักคำ แต่นี่..” เขาใช้มือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ “บ้านจะพังทับหัวตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วดูสภาพพราวสิ ที่พูดนี่ไม่ใช่เพราะดูถูกนะ แต่พูดเรื่องจริง การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตไปอย่างมีคุณภาพมันต้องใช้เงิน หรือพราวอยากให้ลูกโตขึ้นมาแบบอดๆ อยากๆ โตตามมีตามเกิดงั้นเหรอ”
หญิงสาวโกรธจนแทบอยากจะวิ่งไปเอาปังตอในครัวมาสับหัวพ่อของลูก “ถึงหนูจะไม่ได้แต่งตัวดูดี ถึงบ้านหลังนี้จะเก่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหนูไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก ถึงยังไงหนูก็ไม่ยอมให้พี่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตลูกเด็ดขาด จริงอยู่ที่พี่มีเงิน แต่พี่ขาดอีคิว หนูไม่อยากให้ลูกโตไปแล้วเป็นแบบพี่ที่อะไรก็เงินๆๆๆ อีโก้สูง แต่จิตใจต่ำ ไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี!”
“พราว!” ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาเช่นนี้มาก่อน แล้วพราวจันทร์เป็นใครกัน ถึงได้มายืนด่าเขาฉอดๆ
“พี่เป็นหมอ พี่รวย พี่เก่ง แต่เรื่องสามัญสำนึก หมาจรจัดหน้าบ้านหนูยังมีเยอะกว่า พี่มาทางไหน พี่เชิญกลับไปทางนั้นเลย ไป!” เธอไล่ตะเพิดเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
มีหรือที่ภวินท์จะยอม เขามาถึงที่นี่แล้ว อย่างไรเสียวันนี้เขาต้องได้พบหน้าลูก “ไม่!ลูกอยู่ไหน พี่จะไปหาลูก”
“หยุดนะ พี่จะไปไหน” เธอรีบวิ่งตามชายหนุ่มที่เดินตรงไปยังประตูบ้านทันที เมื่อถึงตัวเขาเจ้าหล่อนก็รีบฉุดรั้งคนตัวโตเอาไว้ ทว่าเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดมีหรือจะสู้ได้ ทางออกเดียวที่มีในตอนนี้คือน้ำถูพื้นในถึงที่วางอยู่ไม่ไกล
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!”
ได้ผลชะงัดนัก
พราวจันทร์ยิ้มสะใจเมื่อเห็นภวินท์ดิ้นพล่านเพราะถูกเธอสาดน้ำที่เอาไว้ล้างผ้าถูพื้นใส่ “ก็สาดน้ำใส่คนบ้าไง ออกไปจากบ้านหนูเดียวนี้ ไม่อย่างนั้นคราวนี้จะไม่ใช่น้ำที่พี่โดน” เธอหยิบเครื่องช็อตยุงที่วางอยู่บนโต๊ะหน้ามาถือไว้ในมือ “จะเดินออกไปดีๆ หรือจะนอนออกไป เลือกเอา!”
“อย่านะพราว ทำร้ายคนอื่นมีความผิดนะ”
“ถ้าพี่ไปแจ้งความ หนูจะบอกตำรวจว่าหนูทำเพื่อป้องกันตัวเพราะพี่บุกรุกเข้ามาในบ้านแล้วจะปล้ำหนู”
สองขายาวก้าวล่าถอยไปที่ประตูทางออกเมื่อแม่ของลูกขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ภวินท์ทำได้เพียงกัดฟันกรอดๆ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หญิงสาวขัดขวางไม่ให้เจอลูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะในมือของพราวจันทร์มีไม้ช็อตยุงอยู่ และสายตาเจ้าหล่อนบอกว่าเธอเอาจริง
“อย่ากลับมาที่นี่อีก ลืมเรื่องทุกอย่างซะ หนูไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก หนูสัญญาว่าจะดูแลลูกอย่างดี ลูกจะไม่ลำบาก ไม่ต้องห่วง” สำหรับเธอแล้ว แม้แต่สถานะพ่อของลูก ก็ไม่อาจให้ภวินท์ได้ เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าผู้ชายอย่างเขาไม่มีทางเป็นพ่อที่ดีได้ “พี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพ่อคน ขนาดตัวพี่เอง พี่ยังทำให้ดีไม่ได้ จะเอาอะไรมาสั่งสอนลูก กลับไปซะ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
คำพูดที่ออกจากปากพราวจันทร์ มีเพียงคำว่าตะวันที่เข้าหัวภวินท์ นอกนั้นไม่ต่างกับอากาศที่ลอยละล่องหายไป ไม่แม้กระทั่งกระทบใบหูของนายแพทย์หนุ่ม
ภวินท์มองหน้าหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าตนนับสิบปีอีกครั้งโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาแล้วหันหลังเดินตรงไปที่รถซูเปอร์คาร์ป้ายแดงของตนก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ
“โว้ยยย! ยัยผู้หญิงบ้า” ภวินท์ทุบพวงมาลัยรถยนต์เพื่อระบายอารมณ์ที่สุมอยู่ข้างใน หัวใจชายหนุ่มยามนี้ราวกับถูกเปลวไฟโหมลุกไหม้ เขามองบ้านเช่าพราวจันทร์อีกครั้งก่อนที่เท้าจะแตะคันเร่งเพื่อพาซูเปอร์คาร์เคลื่อนตัวออกสู่ถนน ทว่ายังไม่ทันพ้นซอยบ้านหญิงสาว ดวงตาคู่คมก็บังเอิญเหลือบเห็นแว็บๆ ว่ามีรถกระบะคันหนึ่งขับเข้าไปในบ้านเธอ
“รถใคร”
ความสงสัยทำให้ภวินท์ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในสนามเด็กเล่นแล้วดับเครื่องยนต์ ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับไปที่บ้านเช่าพราวจันทร์เพื่อกลับไปดูว่ารถกระบะของใครกันที่เข้าไปจอดในบ้านเจ้าหล่อน
ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาทำให้นายแพทย์ภวินท์แทบหยุดหายใจ เด็กผู้ชายตัวอวบผิวขาว ใบหน้าละม้ายคล้ายเขาราวกับถอดมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ขนาดมองจากระยะที่ไม่ใกล้นัก ยังรู้ได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของใคร
ความรู้สึกบางอย่างแล่นพล่านไปทั้งหัวใจ ทั้งๆ ที่เกลียดเด็กเข้าไส้และไม่เคยคิดที่จะมีลูก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้นึกเอ็นดูเจ้าเด็กอ้วนนั่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า เพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขางั้นหรือ
“ไอ้อ้วนเอ๊ย! กินจุแค่ไหนถึงไหนจ้ำม่ำขนาดนี้เนี่ย” เขาพึมพำกับตัวเอง
ใบหน้าหล่อร้ายเผยรอยยิ้มกว้างจนส่งให้ดวงตาคู่คมปนหวานทอประกายเจิดจ้า ภวินท์มองลูกชายจนพอใจก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปที่แม่ของลูก แม้เสื้อผ้าที่เจ้าหล่อนสวมใส่จะไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วที่บ้านเขา กระนั้นรูปร่างเธอก็ไม่ได้ผอมกะร่องกะแร่ง ติดจะมีน้ำมีนวลเสียด้วยซ้ำ เมื่อพิจารณาหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า คนสุดท้ายที่ไม่อาจไม่มองได้เลยก็คือผู้ชายหน้าตาดีที่กำลังยืนคุยอยู่กับพราวจันทร์ พลันคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างอดีตผู้หญิงของตนกับเจ้าของรถกระบะที่ขับเข้าไปจอดในบ้านของเธอ
“อย่าบอกนะว่ายัยพราวคิดจะให้ไอ้บ้านี่มาเป็นพ่อใหม่ของลูก!” คิดได้ดังนั้นภวินท์ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “กีดกันลูกจากพ่อแท้ๆ แต่กับผู้ชายคนอื่นกลับประเคนให้”
นายแพทย์หนุ่มยิ่งหงุดหงิดเมื่อมองคนทั้งสามที่กำลังพูดคุยกันด้วยใบหน้าแช่มชื่น หากเป็นคนนอกมอง คงคิดไปว่าพราวจันทร์กับไอ้บ้านั่นเป็นพ่อ ส่วนลูกของเขาก็เป็นลูกของสองคนนั้น ซึ่งความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้พี่ซื้อแต่ของที่พราวกับตะวันชอบมาทั้งนั้นเลย” กันต์พูดพลางชูถุงอาหารในมือตนขึ้นให้พราวจันทร์ดู
พราวจันทร์ยิ้มให้กันต์ก่อนจะก้มลงพูดลูกชาย “ตะวันครับ เดี๋ยวตะวันไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าวเย็นกันนะครับ” แววตาเจ้าหล่อนทอประกายสดใส แตกต่างจากเมื่อสิบนาทีก่อนตอนที่อยู่กับภวินท์ลิบลับ
เห็นท่าทางแม่ของลูกกับชายแปลกหน้าแล้วทำให้ภวินท์อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือคนรักของพราวจันทร์หรือไม่ หากใช่.. ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะเรื่องของเขากับเธอก็จบลงไปตั้งหกปีแล้ว จะมีใหม่นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ต้องคิดคือเรื่องลูกต่างหาก เขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่มาดูแลลูกเด็ดขาด แม้ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอผู้ชายคนนั้นว่าดีหรือร้ายอย่างไร แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือไม่มีใครหน้าไหนรักลูกมากไปกว่าพ่อแม่อีกแล้ว
“ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าไอ้บ้านี่จังเลยวะ” ภวินท์มองตามคนทั้งสามที่เดินเข้าบ้านไป พลางพยายามคิดว่าเขาเคยเจอผู้ชายที่อยู่กับพราวจันทร์ที่ไหนหรือไม่ ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าอย่างไรไม่รู้ “หรือว่าจะเป็น..”