หอบุปผาหนี่ฮวา
บุรุษผู้ถูกกล่าวถึงว่าเลี้ยงดูฟูกฟักรักถนอมยอดพธูกำลังไล่ตะเพิดสาวงามออกไปจากห้องอย่างหงุดหงิด
“ใครสั่งให้พวกเจ้าเข้ามา!”
เฟิงอี้คำรามเสียงขรึม ไม่เบาไม่ดังแต่กลับทรงพลังและน่าเกรงขาม “ไสหัวออกไป!”
หว่างคิ้วชายหนุ่มขมวดเป็นปม แววตาดุดันคุกคามไม่ไว้หน้าผู้คน และด้วยรูปร่างสง่างามแต่กำยำน่าเกรงขามยิ่งทำให้เขาแลดูทรงอำนาจ รอบตัวยังมีไอสังหารลอยวนอย่างเข้มข้นเสียจนคนไม่อาจมองข้าม
ยังไม่นับรวมที่เขาเป็นคหบดีเจ้าถิ่นที่ร่ำรวยมาก บารมีที่มาจากก้อนทองในถุงเงินตรงแถบผ้าช่วงเอวสอบนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าขัดใจ สั่งการอันใดย่อมตามประสงค์ทุกสิ่งที่ต้องการ
“เจ้าค่ะๆ พวกข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เหล่าสาวงามรีบยกกระโปรงวิ่งหนีเตลิดเสียขวัญ
รวมถึงสาวงามอันดับหนึ่งจัดเป็นยอดพธูคนสำคัญของหอหนี่ฮวา ซึ่งแน่นอนว่านางเป็นที่กล่าวขานและเพิ่งถูกเฟิงฮูหยินพูดถึงเมื่อครู่ต่อหน้าลู่เหมย
“น่ากลัวมาก” สาวงามคนแรกพรูลมหายใจยาว “แล้วเขาจะมาขลุกอยู่หอบุปผาด้วยเหตุใด ในเมื่อไม่เรียกสาวงามปรนนิบัติสักวัน”
สาวงามคนที่สองส่ายหน้าน้ำตาคลอ นางไม่ยินยอม “เสียดายยิ่ง เขารูปงามนัก เรือนร่างกร้าวแกร่งเปี่ยมพลัง มองมุมใดก็ทรงเสน่ห์สมบูรณ์แบบ น่าหลงใหลปานนั้น ท่าทางร่ำรวยด้วย”
สาวงามอีกคนกรีดนิ้วตบไหล่สหายไม่หนักไม่เบา “หมายปองไปเถอะ สักวันคงถูกตีตาย” นางปรามเสียงดุ “คนผู้นี้คือเฟิงอี้ นิสัยนักเลงอันธพาล ชอบระรานผู้คน เป็นจอมเกเรเสเพลอันดับหนึ่งของเมืองเชียวนะ”
สาวงามคนที่สองซึ่งเพิ่งถูกซื้อตัวเข้ามาจากอีกเมืองได้รู้เช่นนี้ก็เบิกตาฉ่ำน้ำออกกว้าง “ปานนั้นเชียวหรือ?”
สาวงามคนที่สามพยักหน้าหนักแน่น เล่าให้ฟังอีก “บุรุษผู้นี้ถือตนมั่งมีจึงใช้จ่ายมือเติบ นิยมหว่านเงินใฝ่หาความสำราญด้านความรุนแรง เป็นบุคคลอันตรายต่อบุรุษ เด็กและสตรี รวมถึงผู้เฒ่าคนชราอย่างยิ่ง มีดีเพียงใบหน้าหล่อเหลาและฐานะมั่นคงมั่งคั่ง แต่นิสัยโหดร้ายอำมหิตนัก”
“โอ้!” คนฟังตกใจตาโตมากกว่าเดิม นึกกลัวยิ่ง “แต่ข้าก็ยังชอบอยู่ดี”
“...”
เสียงกระซิบกระซาบนั้นเบาแสนเบา
เหล่าบุรุษภายในห้องที่นั่งร่ำสุราเดินหมากกันอยู่ย่อมไม่ได้ยิน เพราะหากได้ยินคงรีบออกมาช่วยกันยืนยันอีกหลายเสียงว่าคือความจริงแน่นอน
เฟิงอี้เป็นบุรุษเช่นนั้นแล
เขาถนัดต่อยตี มีดีแค่รูปร่างหน้าตาและฐานะเท่านั้น ที่สำคัญยังหยิ่งยโสโอหังไม่ยอมลงให้ใครหน้าไหนทั้งสิ้น
และเพราะศักดิ์ศรีบุรุษที่งอกงามเบ่งบานตามอายุจนยามนี้ท่วมท้นล้นฟ้าในวัยยี่สิบปีเต็ม จึงทำให้เฟิงอี้มีอคติกับภรรยาตัวน้อยวัยสิบหกที่เพิ่งแต่งงาน
นางคือเด็กสาวแรกแย้มที่สร้างความอัปยศให้เขา
ความรู้สึกเหมือนถูกหยามจนต่ำต้อยด้อยค่าเช่นนี้ทบทวีขึ้นทุกวันจนมากโข
“ตั้งแต่เด็กจนโต สตรีที่เฟิงอี้คิดหลีกหนีมากที่สุด กลับกลายเป็นภรรยา เห็นได้ชัดว่าเจ้าพ่ายแพ้ราบคาบ ต้องตกเป็นสามีของสตรีเช่นนี้ กลายเป็นทาสรักของนาง” เหวินป๋อจิบสุราอึกใหญ่แล้วว่าต่อด้วยสีหน้าคล้ายสำราญใจ “เฟิงอี้หนอเฟิงอี้ เจ้าต่อยตีชนะอันธพาลสิบทิศรอบเมือง แต่กลับมิอาจเอาชนะสตรีนามลู่เหมยได้ วะฮ่าๆ”
เหวินป๋อเหยียดหยามเย้ยหยันเฟิงอี้ตามประสาบุรุษผู้แอบรักแต่กลับช้ำหนักเพราะนางเอาแต่วิ่งตามสหายเสียนี่ หัวเราะเสร็จก็ทุบอกชกหัวตัวเองแล้วร่ำไห้ต่อ “โธ่เอ๋ย! แม่นางลู่ของข้า แม่นางลู่ผู้น่าสงสาร เหตุใดต้องแต่งงานกับบุรุษอย่างเฟิงอี้ด้วยเล่า เขาไม่เก่งกาจสักนิด เป็นพวกขี้แพ้”
ว่าพลางดึงไหเหล้ามากอดแนบอกร่ำไห้กระซิกๆ
ช่างเป็นภาพที่อเนจอนาถในสายตาพวกพ้องยิ่งนัก
เฟิงอี้มองอย่างเย็นชา สายตาคล้ายต้องการฆ่าคนถูกส่งไปทางสหายอีกฝั่งพลางตบโต๊ะดังปัง มิรู้ว่านิสัยเหมือนผู้ใด “เจ้า! ตบปากเหวินป๋อสามที”
โม่โฉวพยักหน้ารับคำสั่ง หันไปตบปากเหวินป่อสี่ที อ่า! เกินไปหนึ่ง ขออภัยขอรับ
เหวินป๋อที่บัดนี้ปากบวมเจ๋อสะอึกสะอื้นฮึกๆ ไม่คิดเยาะเย้ยอีก เพียงนั่งทำใจที่สูญเสียสตรีในดวงใจไปเงียบๆ
เฟิงอี้ไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินหมากกับตงหมิงต่อ กระนั้นเขากลับไม่มีสมาธินัก
ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเฉยชานิ่งขรึมของเขา เรือนกายกำยำในร่มผ้ากำลังสั่นระริกด้วยความโกรธ โทสะมากมายกำลังทะลักทลายกลายเป็นกระไอสังหาร
ศักดิ์ศรีชายชาญที่สั่งสมมายี่สิบปีถึงคราวย่อยยับเพราะลู่เหมยโดยแท้ แต่ไฉนภรรยาของเขาโปรยเสน่ห์ไปทั่วก่อนแต่งงานเล่า เจ้าเหวินป๋อน่าตาย...
ตงหมิงวางหมากตัวหนึ่งลงไปบนกระดาน ถามยิ้มๆ “ลู่เหมยหลงรักเฟิงอี้ของเรามาหลายปีมิใช่หรือ?”
โม่โฉวพยักหน้าร้องอืม หันมาเอ่ยกับเฟิงอี้ “ลู่เหมยได้แต่งงานกับเจ้าก็สมควรแล้วนี่อาอี้”
เฟิงอี้ได้ยินเช่นนี้ก็ข่มใจไม่ไหว ยกเท้าเตะเก้าอี้ใกล้ๆ จนล้มกระแทกพื้นดังโครม ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยไฟโทสะลุกโชน “เช่นนั้น ข้าไยมิต้องแต่งงานกับสตรีทั้งเมืองหรือไร พวกนางพึงใจในตัวข้าทั้งนั้น”
อืม...ก็จริง
ตงหมิง เหวินป๋อและโม่โฉวต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เฟิงอี้พูดจบก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า นึกถึงเมื่อครู่ตอนที่ยอดพธูอันดับหนึ่งของหนี่ฮวานางนั้นอาศัยจังหวะยกน้ำชาบังอาจมาแตะต้องข้อมือ ครั้นนึกขึ้นได้ชายหนุ่มก็ล้วงผ้าออกมาเช็ดที่มือตนอย่างรังเกียจแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี
เหล่าสหายเห็นเช่นนี้ต่างก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ รู้สึกสงสารสาวงามเจ้าของผิวนุ่มเนียนหอมหวานเหลือเกิน
ที่เมืองเยี่ยโจวแห่งนี้ หากเอ่ยถึงบุรุษรูปงามก็ต้องเฟิงอี้ หากเอ่ยถึงเศรษฐีหนุ่มผู้มั่งมีก็ต้องเอ่ยถึงเฟิงอี้เช่นกัน สตรีที่ไม่รู้นิสัยของเฟิงอี้ต่างตกหลุมรักแรกพบกันทั้งนั้น แต่พอรู้ว่าเขาชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ทั้งลำพองเย่อหยิ่งไม่ไว้หน้าใครก็พากันกริ่งเกรงถอยห่างทั้งสิ้น
กระนั้นความนิยมชมชอบแอบรักกลับไม่ลดทอนหรือเหือดหายแต่อย่างใด
พวกนางต่างแอบพึงใจอยู่ไกลๆ เพราะหากเข้าใกล้ย่อมถูกบุรุษหยาบกระด้างอย่างเฟิงอี้ไล่ตะเพิดออกไปทั้งสิ้น ไม่มีคำว่ารักหยกถนอมบุปผาสำหรับบุรุษเช่นเขา
มีเพียงลู่เหมยเท่านั้นที่ใจกล้าบ้าบิ่นเข้าใกล้เฟิงอี้ นางคุกคามติดตามและทำทุกวิธีจนได้แต่งงานกับเขา
“เหตุใดเจ้าถึงคิดแต่งงานกับลู่เมิ่งล่ะ” โม่โฉวสงสัย
ลู่เหมยผู้น้องนับเป็นโฉมงามที่สะสวยบาดตามากกว่าพี่สาวอย่างลู่เมิ่งนี่นา
หากเป็นเขาคงตั้งเป้าแต่งกับลู่เหมยมากกว่าลู่เมิ่ง
เฟิงอี้วางหมากหนึ่งตัวแต่กินเรียบทั้งกระดาน สีหน้าแววตายังคงอึมครึมมิเจือจาง “เพราะนางไม่ชอบข้าเหมือนสตรีเจ้ามารยาเหล่านั้นปะไร”
“อ้อ...” โม่โฉวผงกหัวหงึกหงัก ชอบของแปลกนี่เอง
อู๋หยุน สหายอีกคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนทอดกายยาวเหยียดราบกับตั่งร่ำสุราเปิดปากถามอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าจะปิดห้องบนหอนางโลมเพื่อหลบหน้าภรรยาไปถึงเมื่อใด ไฉนไม่ไปบ่อนพนัน ที่นั่นข้ายังต้องตามแก้มือหลายโต๊ะ เจ้าต้าไห่ยังท้าแลกหมัดกับข้าด้วยเงินเดิมพันห้าร้อยตำลึงเชียวนะ ข้าอยากพาเจ้าไปถล่มลานไก่ดำของมันให้ราบ”
“แค่บ่อนพนันลานตีไก่ชนกระต่ายยังจะทำให้สตรีใดร้อนรนในใจจนฝันร้ายนอนไม่หลับได้กระนั้นหรืออาหยุน” เฟิงอี้เหลือบตามองสหายนิ่งๆ ใบหน้าหล่อเหลาเกินบรรยายฉายแววอำมหิตเลือดเย็น
“ข้าขบคิดสรรหาสารพัดวิธี มีแค่ที่นี่เท่านั้นที่ข้าจะสามารถทำให้ลู่เหมยร้องไห้ ทุรนทุรายจะเป็นจะตายได้”
อู๋หยุนกลอกตา สรรหาวิธีรึ? สุดท้ายก็แพ้นางอยู่ดี!
ฉับพลันภาพต่างๆ สมัยตอนเป็นเด็กหญิงเด็กชายก็ผุดวาบในภวังค์ อู๋หยุนเห็นเฟิงอี้ที่เดินหนีลู่เหมยตลอดเวลา
‘มาเล่นกับข้าเดี๋ยวนี้นะ อาอี้’
‘ข้าไม่เล่นกับเด็กปีศาจเช่นเจ้า’
“เรียกข้าเช่นนี้ เพราะข้าสะสวยราวปีศาจกระมัง”
“ไสหัวไป อย่ามาเข้าใกล้ข้า”
แต่สุดท้าย เฟิงอี้ก็ถูกลู่เหมยลากคอแล้วรัดรึงเล่นด้วยทั้งวันจนเย็นย่ำอยู่ดี
‘อาอี้ สัญญาหมั้นหมายระหว่างเฟิงลู่มิอาจเพิกเฉย แต่พี่เมิ่งไม่ชอบท่าน เลิกหมายตานางแล้วมาแต่งกับข้าเถอะ’
‘ข้าไม่แต่งกับสตรีที่อยากแต่งกับข้าจนตัวสั่นเช่นเจ้า’
‘ท่านปฏิเสธข้าไม่ได้’
‘เหตุใดไม่ได้ เจ้าไม่มีวันชนะข้า’
แต่สุดท้าย เฟิงอี้ก็ถูกลู่เหมยรวบรัดแต่งงานได้อยู่ดี
สตรีเช่นนี้ บุรุษอย่างเฟิงอี้จะเอาอันใดไปสู้
บุรุษที่ว่าร้าย อย่างไรก็แพ้สตรีที่เอาชนะใจแม่สามี!
อู๋หยุนกุมขมับอย่างกลัดกลุ้มแกมหนักใจแทนสหายผู้ที่แพ้พ่ายมาตลอดโดยไม่รู้ตัวให้แก่สตรีผู้นั้นตั้งแต่เด็ก
เขาว่าอีก “เจ้าคิดว่าตอนนี้ลู่เหมยกำลังร้องไห้อยู่รึ”
เฟิงอี้ยิ้มหยัน เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ย่อมใช่”
โม่โฉวถามย้ำ “นางกำลังฟูมฟายจะเป็นจะตายเพราะข่าวที่เจ้าปล่อยไปว่ากำลังขลุกอยู่กับสาวงาม?”
เฟิงอี้หัวเราะเสียงทุ้มในลำคออย่างสาแก่ใจ “ใช่”
ตงหมิงกวาดหมากจากกระดานลงเก็บในโถถามว่า “นางอาจกำลังมาตามเจ้ากลับไปก็เป็นได้”
“แน่นอน นางย่อมอ้อนวอนให้ข้ากลับบ้านทั้งน้ำตา” เฟิงอี้ยกยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาเย็นเยียบ