ทุกครั้ง หลังเพลิงเร่าร้อนท่ามกลางพายุอารมณ์สงบลง บุรุษร่างเปลือยเปล่าเจ้าของกายแกร่งทุกสัดส่วนมักจะนอนมองขื่อคานอย่างเงียบงัน
บนดวงหน้าหล่อเหลาคมคายแต่เผยความเยือกเย็นมีดวงตาลุ่มลึกที่ยังคงเย็นชาและเคร่งขรึมมิคลาย
ข้างกายกันยังคงเป็นเจ้าของกลิ่นหอมหวนเย้ายวนชวนปรารถนา เรือนร่างอันงดงามเช่นนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็อรชรอ้อนแอ้นบอบบางน่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง
ทว่าเฟิงอี้กลับไม่เคยคิดถนอมนาง
เขาไม่จำเป็นต้องถนอมบุปผาเคลือบพิษ นั่นคือเหตุผลของการเอาแต่ใจกับภรรยาของตน
ลู่เหมยเป็นสตรีที่ไม่ควรอ่อนโยนออมมือแม้แต่น้อย เดิมทีเขาควรได้แต่งงานกับพี่สาวนางที่น่ารักอ่อนหวาน เรียบร้อยเชื่อฟัง ไม่ใช่น้องสาวเช่นนางที่มีนิสัยแข็งกร้าวดื้อรั้น ชอบคุกคามตามตื้อให้บุรุษยอมจำนน
สตรีที่ยุยงผลักดันให้ว่าที่เจ้าสาวตัวจริงของเขา หนีตามบุรุษอื่นไปก่อนถึงกำหนดวันแต่งงานเพียงไม่กี่วัน เพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าพิธีมงคลแทนที่อย่างรวบรัดเร่งด่วน ย่อมไม่มีความดีให้ตระหนักถึงการกระทำอันอ่อนโยนนำพา
เฟิงอี้ถอนหายใจเอือมระอา
ความรู้สึกพ่ายแพ้และถูกหยามเกียรติบุรุษตีตื้นขึ้นมาจนฉายฉานความดุดันทางแววตา
สตรีผู้นี้ นางเจ้าเล่ห์กับพี่สาวไม่พอ ยังมารยาสาไถย เข้าหามารดาของเขาจนได้ครองอำนาจหลังเรือน!
ขณะคิดอย่างโมโห ลมเย็นแทบกรีดผิวเนื้อก็พัดวูบผ่านช่องลมเหนือบานหน้าต่างเข้ามา
ดวงตาคมปรายมองอย่างเย็นชาแกมเหนื่อยหน่าย มือเรียวยาวสะบัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเนียนนุ่มอิ่มน้ำที่มีร่องรอยฝากรักไว้จนมิด
เขาไม่คิดมองอีกจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินไปใส่เสื้อผ้าลวกๆ เดินกลับมายืนมองหน้าภรรยาอย่างหงุดหงิด จับมุมผ้าห่มอีกนิด หากปล่อยให้นางนอนหนาวคงป่วยหนัก เขาไม่อยากนอนร่วมเตียงกับสตรีหน้าซีดเซียวแต่ตัวร้อน สภาพเหมือนศพถูกแช่แข็งก่อนนำมาเผาไฟ
เฟิงอี้พาร่างสูงใหญ่แฝงความน่าเกรงขามตามธรรมชาติโดยมิได้ปั้นแต่งออกจากเรือนไปอย่างไม่เหลียวหลังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ความรู้สึกติดค้างว่าพ่ายแพ้ราบคาบให้แก่สตรีบนเตียงยังตามติดหลอกหลอนไม่สร่าง ส่งผลให้ทุกฝีเท้าที่ก้าวหนักๆ ไปตามทางค่อนข้างเร่งรีบเฉกทุกครา
ทุกวัน ภรรยาไม่เคยได้เห็นหน้าสามียามตื่นลืมตา
ลู่เหมยนอนมองขื่อคานอย่างเหม่อลอย สัมผัสริ้วรอยฝากรักบนหน้าอกอวบอิ่มที่ถูกสามีดูดเม้มฟอนเฟ้นจนทั่วอย่างบ้าคลั่งทุกครั้ง
นางลูบมันอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้าเมื่อนึกถึงเขา ยามกลางวันสามีของนางผู้นั้นปั้นปึ่งเย็นชามิชายตามองนาง ทว่ายามกลางคืนกลับไม่ละสายตาไปที่ใด ทั้งยังร้อนแรงดุจเปลวไฟ แข็งกร้าวดุดันจนนางแทบขาดใจ
ลู่เหมยรู้สึกน้อยใจสิ้นดีที่สามีอย่างเฟิงอี้ไม่เคยรักถนอม เขายังคงโกรธและระบายโทสะใส่นางทุกค่ำคืน
การเฝ้ารักบุรุษผู้หนึ่งตั้งแต่เด็กผิดนักหรือไร พี่สาวนางหนีตามชายอื่นไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ผิดตรงไหน
สกุลลู่สกุลเฟิงมีสัญญาหมั้นหมายไม่ระบุตัวตน นางที่ชอบเขาอยู่แล้วจึงเข้ายึดครองตำแหน่งภรรยา
มีใครทำผิดพลาดเพราะพลั้งเผลอที่ใดกัน?
ลู่เหมยนอนครุ่นคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจจนเริ่มโมโห
ลู่เมิ่ง พี่สาวของนางบังเอิญพบบุรุษบาดเจ็บที่ริมธารและได้ช่วยเหลือเจือจุนจนผูกพันนานนับเดือน
จากนั้น พวกเขาก็หลงรักกันและกัน
แน่นอนนางย่อมสนับสนุนส่งเสริม เพราะรู้ดีว่าเฟิงอี้หมายตาลู่เมิ่งเอาไว้ ซึ่งนั่นคือเรื่องผิด
นางต่างหากที่ชอบเขา ไม่ใช่ลู่เมิ่ง!
พอฐานะที่แท้จริงของบุรุษผู้นั้นเปิดเผยว่าเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่จากต่างเมือง และเขาต้องกลับไป ยังออกปากสัญญาว่าจะส่งคนมาเจรจาสู่ขอพี่สาวทันที่ไปถึง
ทว่าด้วยฤกษ์มงคลที่ถูกกำหนดกับสกุลเฟิงไว้แล้ว การเดินทางไปกลับของเขาย่อมไม่ทันกาล ลู่เมิ่งจึงตัดสินใจติดตามไปตามคำชักชวนของเขา
เมื่อถูกท่านพ่อท่านแม่คัดค้าน นางจึงช่วยเหลือให้พวกเขาหนีไปด้วยกันจนสำเร็จ แลกกับคำมั่นว่าลู่เมิ่งจะได้เป็นภรรยาเอกเท่านั้น
ส่วนตัวเองก็ได้แต่งงานเข้าสกุลเฟิงตามประสงค์ในสัญญาหมั้นหมาย
ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ตามสมควร
ลู่เมิ่งได้อยู่กับบุรุษอันเป็นที่รัก
เฟิงอี้ไม่ต้องทนหมายมาดในตัวสตรีที่ไม่เห็นค่า
นางรักเฟิงอี้อย่างปักใจแน่วแน่และมั่นคงถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีสักวันที่นางจะทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งตรึงใจแน่นอน
แล้วนางผิดหรือไรที่วาดหวังและตั้งมั่นทำมันลงไป
สามเวลาอาหารหลักของทุกวัน ลู่เหมยต้องคอยปรนนิบัติพัดวีแม่สามี วันนี้ก็เช่นกัน
ขณะยืนจัดสำรับอาหารเย็น ตระเตรียมถ้วยตะเกียบ ฮูหยินเฟิงจางซื่อเอ่ยถามเสียงเรียบ “อี้เอ๋อร์หายไปที่ใด?”
ฝ่ามือเรียวขาวชะงักเล็กน้อย ลู่เหมยตอบอ้อมแอ้ม “คงออกไปพบปะเหล่าสหายเฉกเดิมเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล!” จางซื่อตบโต๊ะดังปังจนตะเกียบเคลื่อนจากแท่นวาง “เจ้าเป็นภรรยาแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างสามีทุกเรื่องกระมัง”
ลู่เหมยรีบจัดตะเกียบ เข้ามาพะเน้าพะนอเหมือนที่ชอบทำทุกครั้งให้แม่สามีพึงใจ “ท่านแม่ใจเย็นเถิดเจ้าค่ะ ท่านพี่เคร่งเครียดจากตำราจึงต้องการไปผ่อนคลายเท่านั้น”
เสียงตบโต๊ะดังปังอีกครั้ง “เหมยเอ๋อร์ เจ้านะเจ้า” จางซื่อชี้นิ้วสั่นเทา “เจ้าช่างเขลานัก อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เชียว อี้เอ๋อร์หนีเที่ยวทุกวัน ฝึกเขียนอักษรที่ใดกัน”
ลู่เหมยเงียบกริบ เถียงแทนเฟิงอี้ไม่ได้อีกแม้ครึ่งคำ
แววตาที่เริ่มมีร่องรอยแห่งวัยชราเหลือบมองลูกสะใภ้อย่างโกรธเคือง “ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้นะเหมยเอ๋อร์ สตรีเราจะรักใคร่สามีเพียงใดแต่จะตามใจเขาทุกเรื่องไม่ได้ ข้าเลือกเจ้าเป็นภรรยาให้ลูกชายก็หวังจะให้ช่วยขัดเกลา เจ้าก็รู้ว่าอี้เอ๋อร์หัวรั้นปานใด ชอบเที่ยวเตร่แค่ไหน อายุยี่สิบยังไม่รู้หนังสือ ทำตัวเหมือนบุรุษยากจนค้นแค้นกระนั้น”
ขนาดมารดายังเอ่ยเพียงนี้ ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าเฟิงอี้อันธพาลเกเรแค่ไหน
พอคิดมาถึงตรงนี้ลู่เหมยก็มักไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก เหตุใดถึงชมชอบบุรุษผู้นั้นปานนี้เล่า!
“ท่านแม่ ข้าจะส่งคนไปตามท่านพี่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ลู่เหมยพูดจาหนักแน่น ทำท่าจะหันไปสั่งการสาวใช้ ทว่าจางซื่อแค่นเสียงเฮอะ “เจ้าจะส่งคนไปตามอี้เอ๋อร์ที่ใด”
“เรือนเร้นจันทร์เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าที่นั่นเป็นจุดนัดพบเหล่าสหายของเขา” ช่วยไม่ได้ที่นางหลงรักเขาตั้งแต่เด็ก ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขาจึงสืบรู้จนหมดมาโดยตลอด
ทว่าครั้งนี้เหมือนลู่เหมยจะคาดเดาผิดพลาดไปหมด เพราะจางซื่อตบโต๊ะอีกแล้ว
“โง่เง่า!”
ลู่เหมยแสบแก้วหูนัก ทั้งนึกห่วงใยฝ่ามือแม่สามียิ่ง
“ท่านแม่ใจเย็นเจ้าค่ะ”
“จะเย็นได้อย่างไร เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้อะไรจริงรึ” จางซื่อเอ่ยเสียงเครียดแต่แววตาเผยถึงความอ่อนอกอ่อนใจ
“ทุกวันนี้ ลูกชายตัวดีของข้ามิได้ไปเรือนเร้นจันทร์ แต่คลุกอยู่หอนางโลมหนี่ฮวา เขาเลี้ยงดูฟูมฟักรักถนอมยอดพธูผู้หนึ่ง”
“หา!” ลู่เหมยที่เพิ่งรู้เรื่องสามีถึงขั้นเบิกตากว้าง
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแน่นอน นางรู้ดีว่าเฟิงอี้เป็นบุรุษถือตัวและรักสะอาดเพียงใด แต่เพื่อประชดประชัน หมายเอาชนะนางที่ได้กลายเป็นภรรยาของเขาสำเร็จ
เขาถึงขั้น....
“นางผู้นั้นนอกจากงดงามยังเรียบร้อยอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง ข้าได้ข่าวว่าอี้เอ๋อร์หลงนางหัวปักหัวปำ”
เสียงหงุดหงิดของจางซื่อยังคงดังเล็ดลอดกระแทกเข้าโสตประสาทของลู่เหมยซึ่งเริ่มตึงเครียดถึงขีดสุด
ภาพสามีกำลังกกกอดคลอเคลียหญิงอื่นและกระทำการอันวาบหวามเสียวสะท้านอย่างที่ทำกับนางอย่างสุขสมทุกค่ำคืนผุดขึ้นเต็มหัว
ลู่เหมยมือสั่น นางกัดฟันกลั้นน้ำตาเอ่ยเสียงหนัก “ท่านแม่ วันนี้ข้าจะออกไปตามเฟิงอี้กลับมาเอง แล้วจะเฝ้าให้เขาฝึกอักษรด้วยตัวเองเจ้าค่ะ หากไม่สำเร็จอย่าเรียกข้าว่าลูกสะใภ้”
พอที การปรับปรุงตัวเป็นภรรยาแสนดีคอยโอนอ่อนผ่อนปรนสามี เฟิงอี้ ท่านตัดเส้นความอดทนของข้าเองนะ!