ตอนที่ 3 หน้าที่สั่งสอนภรรยาเป็นของสามี

1858 คำ
“เจ้ากำลังรอให้นางมาตามหรือ?” อู๋หยุนเลิกคิ้วมองสหาย ดวงตาฉายแววฉงน ไม่มีบุรุษใดชอบใจหรอกที่ถูกสตรีมาตามหาถึงหอนางโลม แต่ถ้ายอม... ต้องรักถนอมปานใดถึงเรียกร้องความสนใจเยี่ยงนี้ อู๋หยุนปรายตามองสหายที่ไม่เคยรู้ตัวอันใดสักที จังหวะนั้นบ่าวชายก็ร้องบอกจากนอกห้อง “นายน้อย ฮูหยินน้อยร่ำไห้ขึ้นมาบนนี้แล้วขอรับ” เฟิงอี้ยังคงยกยิ้มเย็นเยียบเฉกเดียวกับแววตาดำจัดที่เผยชัดถึงความอำมหิตเลือดเย็น ภาพสมหวังถึงการร่ำไห้อ้อนวอนของลู่เหมยฉายชัดเต็มภวังค์ “แน่นอน นางต้องมาตามข้ากลับบ้านทั้งน้ำตา...” ทว่าสุดท้าย คนที่อยากหลั่งน้ำตาแทบตายกลับกลายเป็นเฟิงอี้เสียเอง ในรถม้าสกุลเฟิง บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งนิ่งสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม เขาในยามนี้กำลังกัดฟันกรอด กลิ่นอายพญามารแผ่ซ่านท่ามกลางความเงียบก่อนพายุโหม เฟิงอี้มองสภาพตนเองอย่างเย็นชาเพราะถูกเชือกเส้นเขื่องมัดมือไพล่หลังและถูกบังคับให้นั่งรถม้ากลับบ้านท่ามกลางสายตาสาวงามทุกคนในหอนางโลม กลุ่มสหายก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยสักคน พวกเขาล้วนทำตัวเหมือนสมัยเป็นเด็กชาย ไม่เคยเอ่ยห้าม มีแต่ส่งเสียงหัวเราะงอหาย หงายหน้าหงายหลังอยู่ได้ ความอับอายยิ่งอับอาย ความอัปยศยิ่งท่วมท้นล้นใจ เฟิงอี้ผู้แข็งกร้าวดุดันไม่เคยยอมศิโรราบให้ใคร กลับถูกภรรยาลากตัวออกจากหอโคมเขียวกะทันหัน “เหตุใดเจ้าถึงอุกอาจปานนั้น แล้วข้าจะเอาใบหน้าอันหล่อเหลาไปไว้ที่ใด” บุรุษร่างสูงเอ่ยปากตัดพ้อต่อว่าภรรยาไม่ขาดสาย ขณะนั่งอยู่ภายในรถม้าสกุลเฟิงอย่างหมดสภาพความสง่า “เอาไว้บนบ่าดังเดิมนั่นล่ะจึงจะดี ท่านพี่จะได้มีสติเอาไว้ไตร่ตรองเสียบ้างว่าสิ่งใดควรทำสิ่งไม่ควรทำ ร่ำสุรากับสหายข้าไม่ว่า แต่จะนำพาโรคร้ายมาสู่ครอบครัวไม่ได้” ลู่เหมยเป็นบุตรีหมอเทวดาลู่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ เรื่องโรคติดต่อจากสถานที่คาวโลกีย์แบบนั้นจึงพอรู้ไม่น้อย วันนี้นางจึงเข้าไปในหอนางโลม เรียกสาวงามทุกคนมารับฟังในห้องลับ เพื่อแจ้งถึงปัญหาที่อาจจะต้องพบเจอ หากยังต้อนรับและคิดปรนนิบัติเฟิงอี้ สามีของนางที่อาจมีโรคร้ายซุกซ่อนอยู่ในกาย คำพูดคำจาแม้สั่นเครือทว่ากลับทำทุกคนอึ้งงัน น้ำตาที่รินไหลของนางในวันนี้นั้น น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง ฐานะหรือยังเป็นถึงภรรยาที่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมทุกค่ำคืน ใบหน้านางยังมีหลักฐานแห่งโรคร้ายที่กล่าวอ้างอย่างชัดเจนพร้อมพรั่ง ผื่นแดงเต็มแก้มจนเสียโฉมหมดความงามนี่ปะไร ทันทีที่ลู่เหมยเปิดผ้าคลุมหน้าออก นางโลมที่ต้องใช้รูปโฉมหากินมีหรือจะไม่หวาดกลัว หลังจากนั้น คนงานในหอหนี่ฮวาก็เข้ามาช่วยลู่เหมยจับเฟิงอี้มัดมือไพล่หลัง แล้วส่งตัวคนคืนถึงรถม้าสกุลเฟิงที่จอดรออยู่ตรงปากตรอกเริงรมย์ เมื่อมาถึงเรือนสกุลเฟิง บ่าวรับใช้ต่างหลบทาง เร้นกายหนีหาย ไม่มีใครกล้ามองผู้เป็นนาย มีเพียงจางซื่อที่ยืนแอบมองอย่างพึงใจ นางกำลังนึกถึงเมื่อครั้งอดีต ตอนนั้นสามีนางได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม ได้ท่านหมอลู่ช่วยเหลือจึงยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าด้วยร่างกายที่เสียหายจึงทำให้เขาพิการ ต้องนอนติดเตียง ท่านหมอลู่จึงเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยเดินทางมารักษาเยียวยา จนสองบ้านสนิทสนมกลมเกลียว ปรองดองดั่งพี่น้อง น้ำใจนี้เพิ่มพูนมิตรไมตรี ถึงขั้นมีความคิดเกี่ยวดองด้วยสัญญาหมั้นหมาย จางซื่อยังจดจำได้ดีถึงภาพของเด็กสาวผู้นี้ที่ออกปากประกาศก้องต่อหน้าสามีตอนป่วยหนักนึกอยากลาพักผ่อนตลอดกาลในวันนั้น ‘ข้ารักอาอี้ไม่น้อยกว่าท่าน ข้าจะดูแลอาอี้เองเจ้าค่ะ ท่านลุงไม่ต้องห่วง’ แล้วลู่เหมยก็ทำได้ดีในระดับที่แม่สามีเช่นนางรู้สึกพึงพอใจ ทว่าน่าเสียดายที่อี้เอ๋อร์ชอบลู่เมิ่งไม่ชอบลู่เหมย... จางซื่อถอนหายใจแผ่วเบา สำหรับภรรยาไร้สามีให้พึ่งพาเช่นนาง การแต่งคุณหนูบอบบางเข้าสกุล ย่อมทำให้เหนื่อยยากไม่มากก็น้อย ที่สำคัญ ในฐานะมารดา การแต่งภรรยาให้บุตรชาย นางไม่มีทางเลือกสตรีที่มีใจให้ชายอื่นแน่นอน ต่อให้ไม่มีสัญญาหมั้นหมาย เกรงว่าสตรีที่นางเลือกก็ยังคงเป็นลู่เหมยอยู่ดี ทางฝั่งเฟิงอี้ เขาเหลือบมองมารดาที่ยืนยิ้มยินดียามเห็นเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ยิ่งกล่าวโทษลู่เหมยในใจสารพันวาจา นางคือปีศาจบุปผาวารี! ยั่วยวนบุรุษไม่พอ ยังล่อลวงสตรีด้วยกัน! ครั้นเข้าเรือนส่วนตัวมา เฟิงอี้ก็ถูกสตรีป่าเถื่อนพาไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วสั่ง “ท่านฝึกคัดอักษรก่อน ข้าจะไปเตรียมสำรับมื้อเย็น ทำอาหารที่ท่านชอบให้” ว่าแล้วก็พาใบหน้าที่มีผื่นแดงคล้ายเป็นโรคร้ายพร้อมห่อยาแก้พิษผลุนผลันเดินออกจากห้องไป เฟิงอี้ขบกราม โกรธจนกล้ามเนื้อสั่นเทา เหตุใดไม่แก้เชือกให้ข้าก่อนเล่า! สตรีฉลาดน่ารักมักเป็นที่ต้องตาพึงใจ หากแต่เฟิงอี้ไม่ชอบลู่เหมยที่อาละวาดเกรี้ยวกราด ทำตัวฉลาดเกินบุรุษมาแต่ไหนแต่ไร และวันนี้ เขาเกลียดที่สุดคือน้ำตาและมารยานาง ฝ่ายลู่เหมยยังคงไม่รู้ตัวว่าหากตนร่ำไห้อ้อนวอนสามี หลั่งน้ำตาอย่างอ่อนหวาน อาจได้ใจและได้รับการปฏิบัติที่ดีตอบกลับมา ซึ่งโอกาสอันดีนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว นางรู้แค่ว่าการอาละวาดเกี้ยวกราดไม่ได้ผลกับคนเช่นเฟิงอี้ ดังนั้นนางจึงใช้น้ำตาและมารยาให้เป็นประโยชน์ขั้นสูงสุด ร่ำไห้พร้อมผื่นพิษเต็มหน้าปะไรเล่า หญิงสาวที่ใบหน้ากลับมานวลเนียนดุจเดิมกำลังนั่งขีดเขียนอักษรใต้แสงเทียน ภาพสะคราญโฉมผุดผาดผ่องอำไพของสตรีผู้หนึ่งช่างละมุนละไมจนยากละสายตา ภายใต้แสงเทียนสีอ่อนจางนั้น ทำเอาบุรุษผู้หนึ่งต้องขยี้ตาตนเองหลายครั้งหลายครา คิดในใจว่าคงกินอิ่มเกินไป ดวงตาอันคมกล้าจึงเลื่อนลอยลางเลือนมองทุกสิ่งผิดเพี้ยนเป็นแน่ ลู่เหมยคงใส่ยาบางอย่างในอาหารนั่นแล “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องการฝึกเขียนอักษรอันใด” เรือนกายสูงใหญ่คร้ามแกร่งลุกขึ้นยืนเพื่อใช้ร่างหนาของตนบดบังแสงเทียน ความทะมึนฉับพลันนี้เบียดรัศมีเปล่งปลั่งของอิสตรีจนเสียหายทันใด ทำให้ไม่น่ามองอีกต่อไป เฟิงอี้รู้สึกพึงพอใจ หยัดยืนสูงสง่า กล่าวเสียงเย็นชา “ไปนอนกันเถอะ ดึกดื่นปานนี้เจ้าจะนั่งอยู่ไย” ว่าพลางเดินเข้าไปแย่งพู่กันจากมือภรรยา ลู่เหมยที่เผลอเหลือบตามองเงาทะมึนใต้แสงเทียนจึงเห็นบุรุษหนุ่มเจ้าของเรือยกายทรงเสน่ห์เหลือร้ายผู้หนึ่ง สาบเสื้อของเขาเปิดกว้าง เผยแผงอกหนั่นแน่นกว่าครึ่ง สง่างามปานนั้น กล้ามเนื้อแข็งแกร่งครัดเคร่งอันน่าหลงใหลพลันซ้อนทับภาพไหล่กว้างยามขยับขึ้นลงพร้อมวงแขนอบอุ่นกรุ่นร้อนตอนอยู่เหนือร่างปรากฏเต็มสมองทันใด นางหันขวับ เบือนหน้าหนีทันที “ท่านยังเขียนอักษรตามที่ข้าสอนไม่ได้สักตัวเลย” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา “ข้าไม่รู้หนังสือนั่นคือปัญหาของข้า เจ้าอ่านออกเขียนได้แล้วอย่างไร ใครขอร้องให้เจ้ามาสอนข้ากัน” ให้ตายเถิด เป็นสตรีแต่รู้หนังสือ ช่างน่าชังยิ่ง! ช่วยมิได้ที่ลู่เหมยเป็นบุตรสาวของหมอลู่ ความรู้เรื่องการเขียนอ่านจึงสั่งสมมาตั้งแต่เด็กโดยไม่ได้ตั้งใจศึกษาด้วยซ้ำ หญิงสาววางพู่กันลงลุกขึ้นเท้าสะเอวประจันหน้าสามีผู้มีศักดิ์ศรีค้ำฟ้า “เช่นนั้นท่านก็เข้าสำนักศึกษาดีหรือไม่ ที่นั่นมีอาจารย์เป็นบุรุษ” “ข้าไม่อยากเข้าสำนักศึกษา ที่นั่นมีพวกตาแก่คร่ำครึ พูดจาภาษาเทพเซียนเต็มไปหมด แค่คิด ใบหูมนุษย์ธรรมดาของข้าก็เริ่มหนักอึ้ง ทรวงอกรู้สึกอึดอัด น่าสะอิดสะเอียนนัก” “ถ้าไม่เข้าสำนักศึกษาก็ต้องให้ข้าสอน” เฟิงอี้แม้สีหน้าเยือกเย็นทว่าในใจให้รู้สึกหงุดหงิด ชายหนุ่มไม่เคยชมชอบความคิดนี้ของลู่เหมยเลยสักนิด “ข้าเป็นสามี เจ้าเป็นภรรยา ห้ามทำเกินหน้าที่” ลู่เหมยขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เกินหน้าที่ภรรยารึ? เห็นนางงุนงงฉายแววโง่งมเช่นนี้ เฟิงอี้พลันเห็นแสงแห่งชัยชนะ เขายิ้มบาง “มาเถิด สามีจะสอนให้” เสียงทะเลาะเบาะแว้งพลันจบลงที่เตียงนอน แปรเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจหอบหนักของสามีภรรยา มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เฟิงอี้รู้สึกได้ถึงการกระทำที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘เหนือกว่า’ ภายใต้แสงเทียนแท่งเดิม หลังม่านมุ้งพลิ้วไหว ร่างใหญ่หนารัดรึงร่างเล็กบางแนบแน่นไร้วี่แววผ่อนคลาย กล้ามเนื้อตึงยิ่งนานยิ่งครัดเคร่ง ฝ่ามือหยาบกระด้างยิ่งนานยิ่งกระชับเอวคอด ยิ่งดึกสะโพกสอบยิ่งกระแทกกระทั้น ตอกตรึงส่วนขยายแข็งขึงใส่บั้นท้ายกลมกลึงรัวเร็ว ครั้นได้ยินเสียงครางเครือแทบขาดใจของนางใต้ร่าง เฟิงอี้ก็ยิ่งฮึกเหิม เขาก้มมองบั้นท้ายงามงอนที่กำลังสั่นไหวไปมาอย่างพึงพอใจ นิ้วเรียวยาวบีบคลึงลูบไล้สะโพกผายไม่มีออมแรง ก้มลงจูบไหล่บางที่สั่นระริกอย่างเข่นเขี้ยว กระซิบเสียงดุดันแหบพร่าริมหูนางว่า “รู้แล้วหรือไม่ หน้าที่ภรรยาคืออันใด เกินกว่านี้คือไม่ใช่ทั้งสิ้น” ชายหนุ่มถอนตัวตนออกจากร่องงามที่ชุ่มฉ่ำคับแน่น จับนางพลิกตัวนอนหงาย ก้มจูบหนักๆ ที่กลีบปากแดงช้ำ ลากไล้ปลายลิ้นร้อนร้ายไปตามพวงแก้มแดงปลั่งสุกงอม ซุกจมูกโด่งสันลงซอกคอหอมกรุ่น ขบเม้มเบาสลับหนัก ดึงหมอนตรงปลายเท้ามาสอดใต้เอวบาง จับนางแยกขา สอดตัวตนร้อนผ่าวราวแท่งไฟเข้าหา บนที่นอนยับย่น ตำแหน่งหมอนผ้าห่มเละเทะ เสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มฟูก ลู่เหมยส่ายหน้าน้ำตาคลอ เรือนผมนุ่มสลวยแผ่สยาย นางเสียวสะท้านจนสติพร่าเลือน เห็นเพียงไหล่กว้างกับกล้ามเนื้อแผงอกกำยำขยับขึ้นขยับลง “ไม่รู้ อาอี้ ข้าไม่รู้ทั้งสิ้น” ใบหน้าคมคายซุกไซ้ไปทั่วลำคองามระหง ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่ข้างหู เฟิงอี้หัวเราะเสียงทุ้มทรงเสน่ห์ “ข้าจะสอนเจ้าเอง” “อ๊ะ! อื้อ...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม