เช้าวันนี้เยว่ชิงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ โดยมีแม่นมลี่จัดการเช็ดหน้าเช็ดตาและแต่งกายให้ เด็กน้อยนั่งอยู่หน้ากระจกแกว่งขาไปมาให้แม่นมลี่สางผมอย่างอารมณ์ดี ปากเล็กๆ ยกยิ้มไม่หุบ มืออ้วนป้อมก็ลูบหัวเจ้าเสือตัวน้อยไปพลาง
“อื่อ อือ อื้อ ล้า ลา~”
“อารมณ์ดีอันใดเจ้าคะคุณหนู บ่าวเห็นคุณหนูยิ้มไม่หุบตั้งแต่ตื่นนอน”
“วันนี้พี่ๆ จะมาเย่นด้วย”
“หึๆ ทุกวันก็เล่นด้วยกันมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ไม่เหมือน วันนี้มีความยับ ยังบอกไม่ได้” แม่นมลี่ถึงกับหัวเราะร่ากับคำพูดของเด็กน้อย คุณหนูของนางถึงกับรู้จักเก็บความลับช่างรู้ความเกินไปแล้ว
“เจ้าค่ะๆ เช่นนั้นเรารีบไปที่ห้องโถงดีหรือไม่เจ้าคะ ทุกคนคงรอทานมื้อเช้าอยู่แล้ว” แม่นมลี่จูงมือเด็กน้อยไปที่ห้องโถงเพื่อทานมื้อเช้า มือเล็กก็จับจูงสายคล้องคอมูมู่ให้เดินตามมาด้วย เดิมทีเยว่ชิงจะไม่ใส่สายคล้องคอให้กับมูมู่ แต่ท่านพ่อกลัวว่ามูมู่จะไม่คุ้นเคยกับสถานที่แล้วหนีไป จึงต้องคล้องสายให้มูมู่ก่อนสักระยะ
“เป็นอย่างไรบ้างพี่ใหญ่” หมิงยู่เอ่ยถามพี่ชายที่กำลังเหลาไม้ให้มีปลายแหลมเพื่อใช้เป็นลูกดอก หลังจากที่พวกเขารอส่งท่านพ่อไปทำงานเรียบร้อยแล้ว สี่พี่น้องสกุลลู่ก็รีบมารวมตัวกัน เพื่อทดลองทำเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการละเล่นปาลูกดอก แต่ดูเหมือนว่า การครานี้จะไม่ง่ายเหมือนที่เยว่ชิงคิดเอาไว้ หากเป็นในชีวิตก่อนนางคงหาลูกดอกและเป้าได้โดยง่าย แต่ทว่าในยุคนี้มิได้มีวัสดุที่เหมาะสมที่จะใช้ทำเป้าและลูกดอกเลย วัสดุที่มีอยู่ในเรือนตอนนี้มีเพียงแผ่นไม้ เหล็กแท่งเล็กๆ และกระเบื้องเก่าเท่านั้น หากใช้เป้าเป็นไม้ ลูกดอกย่อมต้องเป็นไม้หรือไม่ก็ต้องเป็นเหล็ก และคงต้องใช้แรงมหาศาลกว่าจะปาลูกดอกให้ปักลงบนเป้าได้
“มิไหว ทำยากเกินไป อีกอย่างพี่คิดว่าเด็กเช่นพวกเราคงมิมีผู้ใดปาลูกดอกให้ปักลงบนเป้าไม้ได้เป็นแน่”
“น้องก็คิกเช่นนั้น” เยว่ชิงยกมือขึ้นกอดอก คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียดจนมูมู่ต้องรีบเข้ามาคลอเคลียออดอ้อนให้นายของมันคลายความตึงเครียดลง
“เช่นนั้น เราลองเปลี่ยนเป็นการละเล่นโยนห่วงดีหรือไม่” ลี่อินที่ยืนมองอยู่นานก็ออกความเห็นขึ้นมา เดิมทีเขาอยากเล่นการโยนห่วงอยู่แล้ว ทั้งจากที่น้องสาวของเขาอธิบาย การละเล่นโยนห่วงใช้เครื่องมือไม่มากนัก พวกเราคงจะหาของมาทำได้
“อืม แล้วเราจะใช้สิ่งใดวางบนพื้นดีเล่า” การละเล่นโยนห่วงที่เยว่ชิงว่านั้น จะต้องมีขวดกระเบื้องตั้งอยู่บนพื้นหลายอัน แล้วให้ผู้ที่ละเล่น โยนห่วงวงกลมให้ครอบขวดเหล่านั้น หากว่าโยนห่วงให้ครอบได้ตามจำนวนที่กำหนด ผู้ละเล่นก็จะได้เลือกรางวัล
“เป็นตุ๊กตากระเบื้อง หรือไม่ก็…หุ่นไม้ดีหรือไม่” ลี่อินนึกถึงหุ่นไม้แกะสลักเป็นรูปต่างๆ ที่ท่านพ่อท่านแม่ซื้อให้เป็นของเล่น
“อืม ดีๆ พี่เองก็มีหุ่นไม้อยู่มาก คงจะนำมาใช้ได้ และห่วงที่เราจะใช้เล่า”
“ใช้อันนี้ได้หรือไม่ แต่มันเป็นเหล็กราคาต่ำจึงค่อนข้างเบาและบาง” หมิงยู่ชูห่วงเหล็กให้พี่น้องดู ระหว่างที่พี่น้องกำลังปรึกษาหารือกัน เขาก็เข้าไปหาวัสดุที่พอจะนำมาใช้ได้ในโรงเก็บของ จนพบเข้ากับเจ้าห่วงเหล็กที่ว่า
“พี่ยอง! เก่งกาจ เหย็กยิ่งเบายิ่งดี” เยว่ชิงยกนิ้วโป้งให้พี่ชายคนรองถึงสองนิ้ว ใบหน้าน่ารักยกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่า…
“เหล็ก มิใช่ เหย็ก” หมิงยู่ทวนคำที่ถูกต้องให้น้องสาวฟัง
“เหย็ก”
“เหล็ก!”
“เหย็กกกกกก!” เยว่ชิงตะโกนใส่หูของหมิงยู่จนสุดเสียง
“พอๆ พอก่อน จะเหย็กจะเหล็กก็สิ่งเดียวกัน หันมาสนใจตรงนี้ก่อนเถิด” เฉินกงรีบหยุดยั้งศึกแห่งสายเลือดก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้
เมื่อกลับมาได้สติ เฉินกงก็ให้น้องๆ ไปนำเครื่องมือในการเล่นมาไว้ที่ลานกว้าง ลี่อิน เยว่ชิง และมูมู่รับหน้าที่ไปเอาหุ่นไม้แกะสลัก ส่วนเฉินกงและหมิงยู่ไปหาห่วงเหล็กในโรงเก็บของท้ายเรือน ยังดีที่ห่วงเหล็กนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหุ่นไม้จึงสามารถครอบหุ่นไม้พวกนั้นได้ เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม เยว่ชิงก็เริ่มวางหุ่นไม้ให้กระจัดกระจาย แต่มิได้ห่างกันมากนัก เส้นกั้นถูกขีดขึ้นในระยะที่พอเหมาะ เพื่อมิให้ผู้ละเล่นยืนล้ำเส้นนี้
“พี่ใหญ่ ท่านลองเล่นก่อน” หมิงยู่หยิบยื่นห่วงเหล็กให้กับผู้เป็นพี่นับสิบห่วง ด้านเฉินกงที่รับห่วงมาแล้วก็ไปยืนประจำตำแหน่งทันที เฉินกงใช้มือข้างที่ถนัดจับห่วง กะระยะเล็กน้อยแล้วโยนออกไป
ฟิ้ว~ ห่วงที่เฉินกงโยนมิเพียงไม่ครอบหุ่นไม้ แต่ยังห่างออกไปมาก เมื่อห่วงแรกไม่เข้า เฉินกงก็ลองโยนไปเรื่อยๆ จนห่วงในมือหมด จากนั้นจึงเปลี่ยนให้พี่น้องคนอื่นเล่นบ้าง เสียงหัวเราะและเสียงเอะอะโวยวายของสี่พี่น้องดังลั่นไปทั่วทั้งเรือน จนบ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบต้องหันมาดูว่าคุณชายและคุณหนูของพวกเขาทำสิ่งใดกันอยู่
“พี่ใหญ่โยนสิบครั้ง ครอบหุ่นได้ห้าห่วง พี่ยองโยนสิบครั้ง ได้ห้าห่วง พี่สามโยนสิบครั้ง ได้สามห่วง ส่วนเยว่ชิง…โยนสิบ ไม่ได้เลยสักห่วง ฮื่ออออ” เยว่ชิงเบะปากทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เล่นโยนห่วงมันขึ้นอยู่กับอายุด้วยหรือนี่ เมื่อก่อนนางก็ยิงปืนได้แม่นอย่างกับจับวาง แต่ทำไมโยนห่วงถึง ทำ! ไม่! ได้!
“ฮ่าๆ เจ้าตัวเล็กเอ้ย น่าสงสารจริงๆ ฮ่า ฮะ-” หมิงยู่หัวเราะร่า
“คื่อออ~”
“อุบ! ข้าไม่ได้หัวเราะนายเจ้านะมูมู่” หมิงยู่รีบเข้าไปหลบหลังเฉินกงทันทีเมื่อถูกมูมู่ส่งเสียงขู่ใส่ ท่าทีหวาดกลัวของน้องชายทำให้เฉินกงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“หึๆ เอาเถิด พี่ว่าการละเล่นนี้สนุกสนานไม่น้อย เด็กๆ จะต้องชื่นชอบเป็นแน่ เราลองไปพูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่ก่อนดีหรือไม่ คืนนี้พี่จะเป็นคนเอ่ยเอง”
“เยว่ชิงว่าวางแผนก่อนที่จะไปปรึกษาท่านพ่อดีกว่า หากท่านพ่อถาม เยาจะได้มีคำตอบให้ท่าน”
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับเยว่ชิง เราไปวางแผนกันก่อนเถิดพี่ใหญ่ พี่รอง”
“แต่ข้าว่า…เจ้าทำตัวให้สมกับเป็นเด็กวัยสามหนาวได้หรือไม่! คิดรอบคอบเกินไปแล้ว~” หมิงยู่เอะอะโวยวายเสียยกใหญ่ แต่พี่น้องทั้งสามคนกลับไม่สนใจสักนิด เดินกลับเรือนไปคิดวางแผนเรื่องการสร้างร้านการละเล่นที่ห้องแทน
“ปล่อยเขาไว้เช่นนั้น เราไปกันเถิด”
“ท่านพ่อคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ” เฉินกงยื่นกระดาษที่ใช้วางแผนการเปิดร้านการละเล่นเล็กๆ ให้ผู้เป็นบิดาดู
“พวกเราคิดกันว่าจะขายห่วงละสองอีแปะไปก่อน เพราะของรางวัลที่เราคิดไว้นั้นมิได้มีราคามากนัก หากว่าผู้ละเล่นโยนได้เพียงสองห่วงก็จะได้รับขนมชิ้นเล็กๆ เพียงหนึ่งชิ้น หากว่าโยนได้หกห่วงขึ้นไปจะได้ของเล่นพวกแมลงปอสาน แต่หากได้มากถึงสิบห่วงก็จะได้เป็นพู่ห้อยหรือไม่ก็ให้เขาเลือกเองว่าอยากได้สิ่งใด” หมิงยู่เอ่ยสำทับขึ้น แต่ลู่หวังเหล่ยก็ยังนั่งจ้องกระดาษในมือนิ่ง
“ส่วนเรื่องของรางวัล พวกเราคิดว่าจะขอใช้สิ่งที่เรามีในเรือนไปก่อน ขนมแม่นมลี่ก็ทำได้ พวกของเล่นอย่างแมลงปอสาน บ่าวชายในเรือนก็ทำได้เช่นกัน คงจะมีเพียงพู่ห้อยที่อาจจะขอความเมตตาจากท่านแม่ขอรับ” ลี่อินหันไปมองมารดาด้วยสายตาออดอ้อน ซูเมิ่งเองก็ยกยิ้มให้บุตรคล้ายเป็นคำตอบรับว่านางเต็มใจช่วยเหลือลูกๆ
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าให้ลูกๆ ลองทำก็มิเสียหายอันใดนะเจ้าคะ เพราะเราเองก็มิได้นำเงินมาลงทุน ลงเพียงแรงกายเท่านั้น หากมิเป็นไปดังที่พวกเขาคิดก็จะได้เรียนรู้และเก็บไว้เป็นบทเรียน” เด็กน้อยทั้งสี่คนที่นั่งเรียงกันอยู่ต่างพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับคำของมารดาจนคอแทบหัก
“ที่อยากทำ เพราะพ่อดูแลพวกเจ้าได้ไม่ดีงั้นหรือ” ลู่หวังเหล่ยนึกเสียใจกับตนเองที่ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้ดีดั่งที่ตั้งใจไว้ จนทำให้บุตรทั้งสี่ของเขาคิดที่จะทำงานหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว เยว่ชิงที่เห็นว่าบิดาคิดโทษตนเอง จึงได้รีบเอ่ยขึ้น
“เพราะพวกเยาอยากมีเงินทองเป็นของตนเองต่างหาก ผู้ใดสร้างตัวก่อนย่อมได้เปรียบ พวกเยาเองก็อยากหาเงินได้ตั้งแต่เย็กๆ ” ลู่หวังเหล่ยฟังคำพูดที่ดูมุ่งมั่นและหนักแน่นของบุตรสาว พลางปรายตาไปมองท่าทีของบุตรทั้งสี่ของตน ทำให้เขารู้ว่าบุตรทั้งสี่ของเขานั้นเติบโตขึ้นมากเหลือเกิน โดยเฉพาะบุตรสาวตัวน้อยของเขา
ช่างน่าภูมิใจนัก
“ให้พวกเราได้ลองทำเถิดนะขอรับ ท่านพ่อ!”
“อืม เข้าใจแล้ว…” เมื่อได้รับคำอนุญาตจากบิดาทั้งสี่ก็ดีใจสุดขีดโดยเฉพาะหมิงยู่และเยว่ชิงที่ถึงกับกระโดดโลดเต้นโห่ร้องจนเสียงดังไปทั่วเรือน
“แต่พ่อว่า หากจะเปิดร้านครั้งแรกควรจะไปเปิดในวันที่เป็นงานเทศกาลเพราะจะมีเด็กออกจากเรือนไปเที่ยวชมงานเทศกาลเยอะกว่าปกติ” ลู่หวังเหล่ยเสนอลู่ทางให้บุตรทั้งสี่ ครอบครัวนั่งปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่นานก็ได้ข้อตกลงว่าจะเปิดร้านการละเล่นโยนห่วงครั้งแรกในเทศกาลลีชุน ที่มีการจัดงานต่อเนื่องกันถึงสิบห้าวัน ซึ่งเทศกาลนี้จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า