“ท่านพี่ได้มูมู่มาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ทั้งยังไม่เสียเงินสักตำลึงเดียว” ซูเมิ่งเอ่ยถามสามีพลางวางชาและขนมเชาปิ้งที่แม่นมลี่ทำให้บุตรและสามี
“พี่ก็ทูลขอต่อฝ่าบาทมาอย่างไรเล่า กว่าจะได้เจ้ามูมู่มา พ่อเกือบหัวขาดเสียแล้ว” ลู่หวังเหล่ยเองยังตกใจกับความใจกล้าของตนที่กล้าทูลขอต่อฮ่องเต้เฉิงเจี้ยนกั๋ว ด้วยความที่บุตรสาวของเขาถามถึงลูกเสืออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอเห็นว่ามีลูกเสืออยู่ตรงหน้าจึงได้พลั้งปากออกไป
“ห๊า!!! หัวขาดเยยหยือ…เยว่ชิง โอ๋ๆ ท่านพ่อนะเจ้าคะ” เยว่ชิงที่รับรู้ถึงความยากลำบากของบิดาจึงรีบเข้าไปกอดออดอ้อนให้บิดาชื่นใจ
“เจ้าคงต้องโอ๋ๆ พ่อให้มากเสียแล้ว” ผู้เป็นบิดาโอบกอดบุตรสาวเข้าแนบอกอย่างสุขใจ
“เรื่องราวเป็นอย่างไรเจ้าคะ เหตุใดถึงขั้นต้องทูลขอต่อฝ่าบาท”
“ในวันล่าสัตว์ องค์ชายรองเฉิงเจียงหยวนล่าเสือขาวตัวเมียมาได้ แต่เมื่อนำเสือตัวนั้นกลับมาที่ลานพิธีกลับพบว่ามีลูกเสือตัวน้อยถึงสองตัวที่เดินตามมา ฝ่าบาททรงคาดเดาว่าอาจจะเป็นลูกของเสือขาวที่ถูกล่า คราแรกฝ่าบาทจะสังหารเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้า แต่เป็นองค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางที่ทูลขอเอาไว้ พระองค์จะนำไปเลี้ยง พ่อได้ยินเช่นนั้นจึงพลั้งปากทูลขอมาให้ลูกเลี้ยงหนึ่งตัว” เดิมทีสัตว์ที่ถูกล่าได้จะต้องนำไปเซ่นไหว้เทพเจ้าทั้งหมด แต่ทว่าองค์ชายให้กลับกล่าวว่าลูกเสือสองตัวนั้นมิได้ถูกล่ามา แต่พวกมันเพียงเดินตามแม่เสือมา ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วที่ตามใจโอรสองค์โตก็มิเอ่ยขัด ยอมยกให้องค์ชายใหญ่จัดการเรื่องนี้
“แล้วฝ่าบาทก็ยกให้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“มิได้ เป็นองค์ชายใหญ่ที่ยกให้ พอพระองค์รู้ว่าเป็นบุตรสาวที่อยากเลี้ยงลูกเสือ พระองค์จึงเลือกตัวผู้มาให้ ทั้งยังบอกว่าหากมันโตขึ้นจะได้ดูแลเยว่ชิงของเราได้” ลู่หวังเหล่ยยกยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงคำขององค์ชายใหญ่ ช่างรักหยกถนอมบุปผายิ่งนัก (ผู้ที่อ่อนโยนต่อสตรี)
“เยว่ชิงยักท่านพ่อที่สุด” เด็กน้อยถูไถแก้มกลมไปตามอกแกร่งของบิดา
“หึๆ ส่วนพวกเจ้าก็อย่าน้อยใจไป พ่อนำของฝากมาให้พวกเจ้าทุกคนเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยบอกบุตรชายทั้งสาม พลางโอบกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น
“โถ่ ข้ามิได้น้อยใจเสียหน่อย ท่านพ่อก็พูดไป ผู้ใดจะน้อยใจเพียงเพราะเรื่องเท่านี้เล่า ชิ” หมิงยู่แสร้งทำท่าแง่งอน ท่าทางแตกต่างจากถ้อยคำที่พูดออกมาโดยสิ้นเชิง
“คิกๆ ขนาดว่าพี่รองไม่น้อยใจ ยังทำปากยื่นถึงเพียงนี้ หากพี่รองน้อยใจเห็นทีปากพี่รองคงเหมือนเป็ดไปแล้วกระมัง” คำพูดของลี่อินทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะร่าออกมา เสียงหัวเราะสนุกสนานของครอบครัวสกุลลู่ดังลั่นไปทั่วเรือน พูดคุยกันได้ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน จะมีก็แต่เยว่ชิงที่บัดนี้กำลังนอนพูดคุยอยู่กับมูมู่ เยว่ชิงมีห้องนอนเป็นของตนเอง โดยมีแม่นมลี่รับหน้าที่มาดูแลและนอนเฝ้าเด็กน้อย
“อีกหนึ่งหนาว เจ้าคงโตพอจะสู้กับสุนัขได้แย้ว ถึงตอนนั้นกัดมันคืนไปเยยนะ” เด็กน้อยตัวกลมพูดกับลูกเสือของตนพลางลูบหัวมันเบาๆ เท่านี้เยว่ชิงก็เบาใจลงได้หนึ่งเรื่อง ต่อไปก็คงจะเป็นเรื่องที่พี่สามป่วย
“อีกเพียงสี่หนาว…จะทำอย่างไยดี” เยว่ชิงเกลียดเสียงของนางในตอนนี้เป็นที่สุด คำพูดที่ดูไม่ชัดถ้อยชัดคำยิ่งทำให้เยว่ชิงหงุดหงิด มันดูไม่เท่เอาเสียเลย ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายมักบอกว่าการที่นางพูดไม่ชัดนั้นดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่มิใช่สำหรับนาง เฮ้อออ เมื่อไรนางจะพูดชัดเสียทีนะ อยากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วววว~
“นี่ มูมู่ เจ้ากินจุหยือไม่ หากกินจุข้าคงต้องรีบหาเงินแล้ว ข้ามิอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่ต้องเหนื่อยหาเงินมาเยี้ยงดูเจ้า เจ้าเป็นสัตว์เยี้ยงของข้า ข้าจะหาของกินมาให้เจ้าเองนะ”
แผลบๆ ไม่มีเสียงตอบรับของมูมู่ มีเพียงลิ้นเปียกๆ ที่เลียบนแขนเยว่ชิงคล้ายกับเป็นการตอบรับ
“จะหาเงินอย่างไยดี ข้าอายุเพียงสามหนาวเท่านั้น” เยว่ชิงเริ่มคิดหนัก หากว่านางโตกว่านี้คงจะสามารถทำงานได้ ชีวิตก่อนแม้นางจะเป็นถึงลูกสาวเจ้าพ่อคาสิโน แต่นางก็เคยไปทำงานพาร์ทไทม์อยู่บ้าง ถึงตอนนั้นจะทำไปเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนหลังเลิกงานก็เถอะ แต่การได้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมันก็ภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ตอนนี้คงไม่มีผู้ใดรับเด็กน้อยเข้าทำงานเป็นแน่
เช่นนี้จะหาเงินมาจากที่ใดได้อีกเล่า!
“การทำสิ่งใดให้สำเร็จจะต้องเริ่มจากสิ่งที่เราสนใจหรือไม่ก็สิ่งที่เราถนัดก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาต่อยอดภายหลัง” คำพูดของคุณพ่อที่เฝ้าสอนเยว่ชิงดังขึ้นมาในหัว
แล้วนางถนัดสิ่งใดเล่า เค็นโด ยิงปืน ยิงธนู เกม ไพ่ คาสิโน…คาสิโน!
“การพนัน!” เยว่ชิงรีบตะครุบปากของตนเองทันที เมื่อเผลอส่งเสียงดังจนแม่นมลี่ขยับตัวไปมา
“ฟู่ว~” ดีที่แม่นมลี่ไม่ตื่นขึ้นมา ไม่อย่างนั้นนางจะต้องโดนดุเป็นแน่ มือเล็กป้อมลูกอกเบาๆ คล้ายกับต้องการปลอบใจตัวเอง
เยว่ชิงตั้งสติกลับมาคิดเรื่องการพนันต่อ ในชีวิตก่อนนางคลุกคลีกับการพนันมาหลายรูปแบบ เอ่ยได้ว่านางเติบโตมากับการพนันก็ว่าได้ แต่หากจะนำการพนันมาหาเงินในยุคนี้อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะดูเหมือนว่าการพนันในยุคนี้ยังคงผิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ อย่าว่าแต่ยุคนี้เลย แม้แต่ในชีวิตเดิมของนางยังมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีคาสิโนถูกกฎหมาย เช่นนี้แล้วคงจะใช้การพนันมาหาเงินไม่ได้
“เห้อออ ยุ่งยากเสียจริง” เยว่ชิงที่ถอดถอนหายใจอย่างปลงตก แต่จู่ๆ ตากลมเล็กก็เบิกกว้างขึ้น
ถ้าเป็นเกมเล่า เกมการแข่งขัน!
“พี่ชายทั้งสาม เยว่ชิงมีเยื่องจะพูดด้วย หาว~” เช้าวันนี้เยว่ชิงตื่นขึ้นมาแต่เช้า แม้ว่าเมื่อคืนนางแทบจะมิได้นอน แต่อย่างไรก็ต้องรีบนำสิ่งที่นางคิดมาปรึกษาพี่ชายทั้งสาม เพราะแผนการที่นางวางไว้ใหญ่โตเกินกว่าที่เด็กวัยสามหนาวจะทำสำเร็จด้วยตนเองได้ นางจึงมาขอความช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสาม เดิมทีเยว่ชิงมิมีความมั่นใจสักนิดว่าพี่ชายทั้งสามของนางจะรับฟังความคิดของเด็กวัยสามหนาวอย่างนาง แต่อย่างไรก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครา
“หึๆ ให้พี่กล่อมนอนก่อนดีหรือไม่ หืม! เจ้าดูจะง่วงเต็มที” เฉินกงยกมือลูบศีรษะเล็กของน้องสาวเบาๆ ด้วยว่าวันนี้เขาไม่ต้องคัดตำรา หลังจากที่ส่งท่านพ่อไปทำงานแล้ว เขาจึงอาสาดูแลน้องๆ แทนท่านแม่ เพื่อให้ท่านแม่ได้พักผ่อนอย่างสงบเสียบ้าง
“ไม่เจ้าค่ะ ทุกคนฟังเยว่ชิงนะ…เยว่ชิงอยากหาเงิน”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า” หมิงยู่หัวเราะจนปวดท้องไปหมด ต่างจากเฉินกงที่เริ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน
น้องสาวเขานี่อย่างไร เหตุใดจึงมีความคิดความอ่านไม่เหมือนกับเด็กวัยสามหนาวแม้แต่น้อย
“เหตุใดต้องหาเงินด้วยเล่า เยว่ชิง”
“ก็…ก็มูมู่ของน้องกินเยอะ สิ้นเปลืองเงินทอง” เยว่ชิงมิอาจบอกออกไปได้ว่าที่นางทำ ก็เพื่อจะหาเงินไปรักษาพี่สาม นางจึงได้หยิบยกมูมู่มาเป็นข้ออ้างในเรื่องนี้
“โถ่ มิเห็นจะต้องกังวล ตอนนี้มูมู่มาเป็นครอบครัวเดียวกับเราแล้ว อย่างไรก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี” เฉินกงทั้งประหลาดใจและเอ็นดูกับความคิดของน้องสาว
“ใช่ๆ หากว่าเนื้อมีไม่พอให้มูมู่กิน ก็สละแขนลี่อินให้มูมู่สักข้างหนึ่ง ฮ่าๆ ฮ่า- โอ๊ยยยย” หมิงยู่ร้องโอดครวญเมื่อถูกฝ่ามือของน้องชายอย่างลี่อินฟาดเข้ากลางหลังอย่างจัง
“เอาแขนของพี่รองให้สิ จะมายกแขนของข้าให้ได้อย่างไร”
“หยุดดดดด ฟังเยว่ชิงก่อน!” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนออกมาจนพี่ชายทั้งสามต้องรีบเอามือปิดหู
“ฟังแล้วๆ” ทั้งหมิงยู่และลี่อินพูดออกมาพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
“พวกท่านมิอยากช่วยท่านพ่อหาเงินหยือ ท่านพ่อทำงานเหน็ดเหนื่อยแต่เบี้ยหวัดก็มิพอใช้”
“พี่รู้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ พี่จะออกไปรับจ้างท่านพ่อก็มิให้ไป บอกแต่ให้อ่านตำราอยู่ที่เรือน” เฉินกงขมวดคิ้วแน่น เขาเคยเอ่ยขอกับท่านพ่อแล้วแต่กลับถูกปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่เยว่ชิงยู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไย” เยว่ชิงพยักหน้าหงึกหงักเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง
“ข้าว่าเจ้าพูดให้ชัดก่อนดีหรือไม่ เป็นเพียงเด็กน้อยก็นอนดูดนม เลี้ยงเจ้ามูมู่ก็พอแล้ว”
“จิ๊” เยว่ชิงจิ๊ปากกรอกตาอย่างเหลืออดกับพี่ชายคนรอง เห็นว่านางเป็นเด็กจึงดูถูกกันอย่างงั้นหรือ
ถึงจะพูดยังไม่ชัด แต่ก็พูดได้ก็แล้วกัน ฮึ้ย!!!
“ฟังเยว่ชิงก่อนดีหรือไม่ เผื่อน้องจะมีลู่ทางหาเงินจริงๆ” เมื่อทุกคนหันมารอฟัง เยว่ชิงจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่ตนเองติดจะทำ แม้ว่าคำพูดอาจจะไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ก็อธิบายได้ละเอียดและเข้าใจง่าย
เยว่ชิงบอกกับพี่ชายทั้งสามว่าจะเปิดร้านการละเล่น มีทั้งการปาลูกดอก ทั้งโยนห่วง และอีกหลายอย่าง โดยนางคิดจะให้ผู้ที่มาเล่นเอาเงินมาแลก หากได้แต้มครบตามที่กำหนดไว้แต่แรกก็จะได้รับรางวัลกลับไป แท้จริงแล้วการละเล่นพวกนี้เยว่ชิงเคยเห็นในชีวิตก่อน ตอนที่นางกลับไปเยี่ยมคุณยายที่ประเทศไทย คุณยายบอกว่าการละเล่นพวกนี้มักมีในงานวัดหรืองานเทศกาลต่างๆ
“นี่…นี่เจ้าเป็นเด็กวัยสามหนาวจริงหรือ หรือว่า…เจ้าผีร้าย! ออกไปจากร่างน้องข้านะ!” ป๊าบ! แรงจากฝ่ามือเล็กของน้องสาวที่หนักพอควร ทำให้หมิงยู่สงบปากสงบคำลงทันที แต่สิ่งที่หมิงยู่พูดนั้นก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง เฉินกงเองก็ยังอดประหลาดใจกับความคิดของน้องสาวมิได้
“สิ่งที่เยว่ชิงพูดน่าสนใจมิน้อย พี่ยังมิเคยเห็นการละเล่นพวกนี้ในตลาดเลย หากว่าเราทำได้จริง อาจจะเป็นที่สนใจของเด็กๆ ก็เป็นได้” เฉินกงคุ้นคิดอย่างหนัก หากว่าทำได้จริงคงจะมีเงินทองมาเลี้ยงดูครอบครัวได้
“ข้าว่าโยนห่วงน่าจะสนุกสนานไม่น้อย” ลี่อินสนใจการโยนห่วงตั้งแต่ยามที่น้องสาวเอ่ยอธิบายแล้ว จึงเอ่ยเสนอความคิดของตนเองออกไป
“แต่ข้าว่าปาลูกดอกก็ดีไม่แพ้กันนะ” หมิงยู่เอ่ยตามสิ่งที่ตนคิด แท้จริงไม่ว่าจะการละเล่นใดก็น่าสนใจทั้งนั้น
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เรามาทดลองเล่นกันดีหรือไม่ หากเห็นลู่ทางว่าพอจะใช้หาเงินได้ พี่จะเอ่ยขอกับท่านพ่อเอง”
“ดีเจ้าค่ะ พรุ่งนี้น้องจะตื่นแต่เช้ามายอพี่ๆ ที่สวนนะเจ้าคะ ตอนนี้ขอไปหามูมู่ก่อนน๊า” เยว่ชิงยิ้มกว้างให้พี่ชายแล้วรีบวิ่งกลับห้องไปหามูมู่ทันที
“พี่ใหญ่ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ น้องสาวเราผิดกับเด็กวัยสามหนาวลิบลับ” หมิงยู่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง มิมีท่าทีขี้เล่นเหมือนเก่าก่อน
“อืม แปลก…แต่นางคือน้องสาวเรา ข้อนี้มิผิดแน่”
“หึ นั่นสินะ” เฉินกงและหมิงยู่มองหน้าสบตากัน ต่างคนต่างเข้าใจในสิ่งที่พูดอย่างถ่องแท้
ไม่ว่าอย่างไร ลู่เยว่ชิงก็คือน้องสาวคนเล็กของพวกเขา คือบุตรสาวสกุลลู่อย่างแท้จริง