“คุณชาย คุณหนู มีข่าวดีเจ้าค่ะ” เผิงจูวิ่งปราดเข้ามาในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ จนพี่ชายอย่างเผิงจงต้องรีบเอ่ยปราม
“เผิงจู รักษากริยาของเจ้าด้วย ต่อหน้าคุณชายและคุณหนูสำรวมเสียบ้าง” ลี่อินที่มิอยากให้เผิงจงตำหนิเผิงจูไปมากกว่านี้จึงรีบเอ่ยถามถึงข่าวที่ว่า
“เผิงจู รีบเล่ามาเร็วเข้า”
“ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าทัพหลวงกำลังจะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงในอีกสิบวันข้างหน้าเจ้าค่ะ” เผิงจูแจ้งข่าวที่นางได้ยินมาให้หมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงฟัง
“จริงหรือเสี่ยวจู เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็จะกลับมาแล้วสินะ เราไปรอรับพี่ใหญ่ที่หน้าประตูเมืองดีหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น
“เอาสิ ครอบครัวของเหล่าทหารกล้าทั้งหลาย ก็คงไปรอทัพหลวงที่หน้าประตูเมืองเช่นกัน” หมิงยู่เอ่ยตอบรับน้องสาว เขาเองก็อยากไปรับพี่ชายกลับเรือนด้วยตนเองเช่นกัน
“ดีๆ ข้าจะเอามูมู่ไปรับพี่ใหญ่ด้วย”
“เอ่อ พี่ว่าไม่เหมาะกระมัง หากผู้คนรู้ว่ามีเสือมาเดินอยู่หน้าประตูเมืองคงจะวุ่นวายน่าดู” ลี่อินเอ่ยขัดน้องสาว หากเอาเสือขาวตัวใหญ่อย่างมูมู่ไปด้วย มีหวังผู้คนคงแตกตื่นกันไปหมด
“ข้าทำเสื้อคลุมสำหรับพรางตัวให้มูมู่เรียบร้อยแล้ว พี่สามอย่าได้กังวลไป” ได้ยินคำยืนกรานของน้องสาว ลี่อินก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นนี้ ตั้งแต่นางโตเป็นสาว จากที่เคยแทนตัวเองว่า “เยว่ชิง” ตลอดเวลากลับเปลี่ยนมาแทนตัวเองว่า “ข้า” เยว่ชิงเอ่ยว่าหากแทนตัวเองว่า “ข้า” จะทำให้นางดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ลี่อินกลับคิดว่านางมิได้ดูโตขึ้นเลยสักนิด น้องของเขายังคงดื้อรั้นและซุกซนเช่นเดิม
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด”
“พี่สามของเยว่ชิงน่ารักที่สุด~” หึ คงจะมีเพียงเวลาอยากออดอ้อนเท่านั้นกระมัง ที่นางยังแทนตัวเองว่า “เยว่ชิง” อยู่ น่าเอ็นดูเสียจริง
หลังจากที่ครอบครัวสกุลลู่ได้รับรู้ว่าทัพหลวงกำลังจะเคลื่อนพลเข้ามาในเมืองหลวง ซูเมิ่งก็รีบสั่งการให้บ่าวในเรือนทำความสะอาดเรือน รอต้อนรับคุณชายใหญ่สกุลลู่ที่กำลังจะกลับมาจากการทำศึก ลู่หวังเหล่ยเองก็รีบจัดการงานที่คั่งค้าง เพื่อจะขอลาหยุดมารับบุตรชายที่ประตูเมือง เมื่อถึงวันที่กำหนด ครอบครัวสกุลลู่ก็แห่แหนกันมารับบุตรชายคนโตของสกุล ไม่เว้นแม้แต่มูมู่
“เหตุใดจึงชักช้านักนะ” เยว่ชิงเดินไปเดินมา ในมือก็ถือสายคล้องคอของมูมู่เอาไว้ เจ้าเสือขาวตัวใหญ่ถูกเยว่ชิงจับใส่ผ้าคลุมสีแดงปักลวดลายน่ารัก ทั้งผ้าคลุมยังมีระบายผ้ายื่นออกมาเป็นส่วนของหมวกที่ใช้คลุมหัวเจ้าเสือขาว
“นั้นอย่างไรได้ยินเสียงหรือไม่ คงใกล้เข้ามาแล้ว…นั่นๆ เห็นธงประจำแคว้นแล้ว” ลู่หวังเหล่ยตื่นเต้นดีใจจนเสียกริยา ภรรยาและบุตรทั้งสามต่างอดยิ้มขำกับท่าทีของบิดามิได้ แต่เมื่อกองทัพใกล้เข้ามาเจ้ามูมู่ที่นั่งนิ่งอยู่กับพื้น กลับลุกขึ้นแล้วออกตัววิ่งเข้าหาขบวนทัพหลวงทันที จนสายคล้องหลุดออกจากมือของเยว่ชิง
“มูมู่จะไปที่ใด กลับมาประเดี๋ยวนี้” เยว่ชิงที่กลัวว่ามูมู่จะทำให้ผู้คนแตกตื่นจึงรีบวิ่งตามมูมู่ไป โดยมิได้ฟังคำทัดทานของครอบครัวแม้แต่น้อย แม้เยว่ชิงจะออกตัววิ่งหลังจากมูมู่เล็กน้อย แต่ด้วยความว่องไวของเจ้าเสือขาวทำให้เยว่ชิงวิ่งตามแทบไม่ทัน ตากลมของเด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิสี่หนาวสอดส่องมองหาเจ้าเสือขาวของตนเอง แต่เมื่อพบแล้วกลับต้องตกใจ เพราะบัดนี้มูมู่กำลังถูกเหล่าทหารที่มีอาวุธครบมือห้อมล้อมเอาไว้ ทั้งยังมีชายหนุ่มสวมหน้ากากกำลังถือดาบเดินเข้าไปหาเจ้ามูมู่ของนาง
“อย่าทำร้ายมูมู่ของข้านะ” เยว่ชิงที่คิดว่าทหารและชายผู้นั้นจะทำร้ายมูมู่จึงได้รีบวิ่งฝ่าเข้าไปในวงล้อม ขาสวยถูกยกขึ้นถีบกลางหลังทหารที่ล้อมมูมู่ไว้ มือสวยฉกฉวยคว้าเอาดาบของทหารมา ทั้งยังยกดาบชี้หน้าชายหนุ่มผู้นั้น ภาพของสตรีโฉมงามกำลังยกดาบขึ้นชี้หน้าของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ ทำเอาเหล่าทหารตื่นตระหนกไม่น้อย
ลอบสังหารหรือ แต่กระทำโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้ นางมิคิดเกรงกลัวอาญาแผ่นดินเลยหรืออย่างไร
“มูมู่ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว อย่ากลัวไปเลยนะ” เยว่ชิงพยายามพูดปลอบขวัญเจ้าเสือขาวตัวใหญ่ของตนเอง แต่เจ้ามูมู่…นอกจากจะมิได้หวาดกลัวชายลึกลับสวมหน้ากากแล้ว ยังเข้าไปถูไถตามแข้งขาของชายผู้นั้นอีก การกระทำของมูมู่ทำเอาเยว่ชิงสับสนไม่น้อย
“มูมู่กลับมาหาข้า เร็วเข้า!!!”
“ดูเหมือนสัตว์เลี้ยงของเจ้าจะชอบข้านะ เด็กน้อย หึๆ” ชายลึกลับผู้นั้นลูบหัวมูมู่อย่างคุ้นชิน
“ข้าอายุสิบสามหนาว เก้าเดือน กับอีกยี่สิบวันแล้ว มิใช่เด็กน้อย!” เยว่ชิงตะโกนเสียงหลง นางเติบโตถึงเพียงนี้ยังจะว่านางเป็นเด็กอยู่อีก อย่างไรก็มิยินยอมเป็นแน่
“เกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะองค์ชายใหญ่…เยว่ชิง!!! น้องวางดาบลงบัดเดี๋ยวนี้” เฉินกงที่รีบควบม้าจากท้ายขบวนขึ้นมา ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าน้องสาวของตนนั้นกำลังยกดาบชี้หน้าองค์ชายใหญ่ของแคว้นอยู่
เคร้ง!เยว่ชิงที่เห็นว่าเป็นพี่ใหญ่ของนางจริงๆ มือไม้ก็อ่อนแรงจนเผลอปล่อยดาบล้วงลงบนพื้น ร่างบางรีบวิ่งเข้าไปกระโดดกอดพี่ชายแน่น
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ ทะ ท่านมิได้บาดเจ็บที่ใดใช่หรือไม่ ขาท่านบาดเจ็บหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายเพื่อให้แน่ใจว่า เรื่องราวมิได้ดำเนินไปตามนิยาย
“พี่มิได้บาดเจ็บที่ใด ว่าแต่เจ้าเถิด…โตเป็นสาวแล้ว เหตุใดจึงวิ่งเข้ามากอดพี่เช่นนี้ มิสงวนกริยาบ้างเสียเลย”
“ข้าจะกอดพี่ชายข้า ผู้ใดมันกล้าขัด” เยว่ชิงเอ่ยออกมาอย่างเด็กเอาแต่ใจ ทั้งยังกอดคอพี่ชายไว้แน่น
“ข้าขอขัด” ชายลึกลับคนเดิมเป็นผู้เอ่ยขัดการสนทนาของพี่น้อง
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามาสอดเรื่องของผู้อื่น” เยว่ชิงผละออกจากอ้อมกอดพี่ชาย แล้วหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้นั้น
“เยว่ชิงอย่าล่วงเกินองค์ชายใหญ่ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยองค์ชายแทนน้องสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ขอองค์ชายเว้นโทษตายแก่นางด้วย” เฉินกงเอ่ยขอภัยนายเหนือหัวแทนน้องสาว ด้านเยว่ชิงถูกพี่ชายบังคับให้ก้มคำนับต่อชายหนุ่มก็งุนงงเล็กน้อย
เมื่อครู่ พี่ใหญ่เอ่ยว่าองค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยาง…องค์ชายงั้นหรือ เฮือก!!! เยว่ชิงนะเยว่ชิง จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่จริงหรือนี่
“มิเป็นไร หากว่าเป็นน้องสาวของเจ้า ข้าเองก็อยากทำความรู้จักเอาไว้” หลิวหยางยกมือขึ้นถอดหน้ากากออก แล้วจึงเดินเข้าไปหาเด็กหญิงที่อยู่ก้มหัวคำนับอยู่ตรงหน้า
“ขะ ขอประทานอภัยเพคะ ที่หม่อมฉันเอ่ยวาจาล่วงเกินพระองค์” เยว่ชิงก้มหน้าเอ่ยขอประทานอภัยต่อผู้สูงศักดิ์ ในใจนึกอยากเขกกระบาลตนเองสักสิบที ที่หุนหันพลันแล่นเอ่ยวาจาล่วงเกินเชื้อพระวงศ์
“อืม เงยหน้าขึ้นมา ข้าอยากรู้ว่าที่เฉินกงเอ่ยว่าน้องสาวของเขางดงามนั้น จะเป็นจริงอยู่กี่ส่วน” หลิวหยางยกยิ้มขึ้น เมื่อเด็กหญิงตรงหน้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามที่เขาสั่ง
ตากลมสั่นระริกยามสองสายตาสอดประสาน ทั้งหลิวหยางและเยว่ชิงต่างไล่สายตามองสำรวจใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก เยว่ชิงรีบยกมือทาบกับหน้าอกของตนราวกับต้องการปกปิดเสียงเต้นของก้อนเนื้อภายในอก
หะ เหตุใดจึงได้สง่างามถึงเพียงนี้ ทั้งโครงหน้า ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ต่างดึงดูดให้นางมิอาจละสายตาออกจากชายผู้นี้ได้เลย ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นเป็นเช่นนี้หรอกหรือ ที่เคยค่อนแคะพี่รองไว้คงจะโดนเข้ากับตัวเสียแล้ว จิตใจอ่อนไหวง่ายเสียจริงเยว่ชิง
“อืม งดงามดังที่พี่ชายเจ้าว่า แต่…มิคิดว่าบุตรสาวสกุลลู่จะถือดาบเป็น” คำพูดของหลิวหยางทำให้เยว่ชิงหลุดออกมาจากบรรยากาศในทุ่งดอกไม้สีชมพู คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน
นี่กำลังดูถูกกันหรือ ถึงจะหล่อเหลา แต่หากมีความคิดกดขี่สตรีเช่นนี้ เยว่ชิงก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ
“ละ แล้วอย่างไรเพคะ เป็นสตรีจะถือดาบมิได้อย่างนั้นหรือ” แขนเล็กยกขึ้นเท้าสะเอว เงยหน้ามองร่างสูงอย่างหาเรื่อง
“หึๆ เด็กน้อย เจ้าอย่าพึ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแปลกใจเท่านั้น ข้ายังนึกชื่นชมเจ้าเสียด้วยซ้ำ เก่งรอบด้านเช่นนี้ หากเติบใหญ่คงจะมีแต่บุรุษหมายปอง”
“ขอบพระทัยเพคะ…มูมู่กลับมานี่ ไม่เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะมิให้เจ้านอนด้วย” เยว่ชิงที่ถูกชมซึ่งหน้าก็ขัดเขินเล็กน้อย ได้แต่หันไปพูดคุยกับมูมู่ที่เอาแต่ใช้หัวถูไถไปตามแข้งขาของหลิวหยางไม่หยุด
“มันคงรู้จักกลิ่นข้ากระมัง ข้าเคยคิดที่จะเลี้ยงมันไว้ก่อนจะตัดสินใจยกให้เจ้า…ไปอยู่กับนายเจ้าเถิด หากนางแง่งอนเจ้าขึ้นมา คงมิมีผู้ใดช่วยเจ้าง้องอนนางได้” หลิวหยางเอ่ยบอกเยว่ชิงก่อนจะหันไปพูดคุยกับมูมู่ ซึ่งมูมู่ก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังหลิวหยางมากกว่าเยว่ชิง มันจึงได้เดินกลับมาหาเยว่ชิงดังเดิม
หลิวหยางมองมูมู่ด้วยสายตาเศร้าหมอง หากว่าเสี่ยวฮวาของเขายังมีชีวิตอยู่ คงจะเติมโตเท่าเจ้ามูมู่แล้วกระมัง ร่างสูงหวนนึกถึงเจ้าเสือขาวของเขาที่จบชีวิตลงเพราะคมดาบของพวกนอกด่าน หากรู้ว่าสกุลลู่จะเลี้ยงดูเจ้าเสือขาวได้ดีเช่นนี้ เขาคงยกให้เยว่ชิงไปทั้งสองตัว
เสี่ยวฮวาของเขาคงได้มีชีวิตอยู่
“เราเคลื่อนพลต่อกันเถิด พี่น้องทหารกล้าทั้งหลายจะได้กลับไปพบครอบครัวเสียที” เอ่ยเพียงเท่านั้นหลิวหยางก็ขึ้นควบอาชาคู่ใจแล้วบังคับให้เดินหน้าไปยังประตูเมืองอย่างช้าๆ เพื่อมิให้เหล่าทหารที่เดินมาทั้งวันต้องเหนื่อยหอบไปมากกว่านี้
“พี่ใหญ่ ข้าขี่ม้าของท่านได้หรือไม่” เยว่ชิงทำหน้าออดอ้อนพี่ชาย
“ให้นางนั่งม้าของเจ้าเถิด หากให้เดินกลับคงจะปวดเมื่อยไม่น้อย” เฉินกงที่ได้รับคำอนุญาตจากนายเหนือหัว จึงใจอ่อนยอมอุ้มน้องสาวขึ้นนั่งบนหลังม้าส่วนตนเองก็เดินจูงม้าและถือสายคล้องคอของมูมู่แทนน้องสาว
เมื่อมีสตรีรูปโฉมงดงามอยู่ในขบวนทัพหลวงผู้คนก็ต่างคิดไปต่างๆ นาๆ บ้างก็ว่าเป็นว่าที่สะใภ้หลวง บ้างก็ว่าเป็นเชลยจากชนเผ่านอกด่าน แต่ผู้ที่รู้จักสกุลลู่ ย่อมรู้ดีว่าสตรีที่งดงามผู้นั้นคือบุตรสาวคนเล็กของสกุลลู่ที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นเสียด้วยซ้ำ
“เฉินกง นั้นน้องสาวของเจ้าหรือ” เยว่ชิงที่ได้ยินเสียงทุ่มเอ่ยเรียกพี่ใหญ่ก็รีบหันไปดู พบว่าเป็นชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานใส่เกราะเสียเต็มยศ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่กลับมีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ในแววตาที่ส่งมาให้นาง
“ขอรับ นางเป็นน้องสาวข้า นามว่าลู่เยว่ชิง” เฉินกงเอ่ยตอบกลับชายผู้นั้นไป เยว่ชิงเองก็มองสำรวจชายตรงหน้าอย่างละเอียด เรื่องความหล่อเหลาสู้องค์ชายใหญ่มิได้แม้แต่น้อย ท่าทีแสนเจ้าเล่ห์นั่น ยิ่งทำให้เยว่ชิงอยากไล่ตะเพิดไปให้ไกล
“ยินดีที่ได้พบคุณหนูลู่ ข้านามว่าอู๋จางหมิ่น หวังว่าคราหน้าจะมีโอกาสพบกันอีก” จางหมิ่นยกยิ้มให้เยว่ชิงหวานหยด แล้วจึงบังคับม้าไปอีกทาง โดยมิได้หันกลับมามองเลยว่าสายตาที่เยว่ชิงใช้มองเขานั้นเป็นสายตาที่เกลียดชังจนเข้ากระดูกดำ