“ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบุตรชายคนโตที่จะต้องไปเข้าร่วมกองทัพ
“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ท่านพ่อขอรับ ข้าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ให้กับน้องเล็กต่อนะขอรับ สหายของข้านางเป็นบุตรสาวเศรษฐีสกุลลั่ว” เยว่ชิงยกยิ้มอย่างดีใจ หากพี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ ท่านพ่อมิมีทางคัดค้านเป็นแน่ แม้ว่าเยว่ชิงจะมีทักษะการต่อสู้ที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อน แต่สิ่งที่นางได้เรียนรู้จากพี่ชายคือการหลบหลีกแฝงกาย ซึ่งต่างจากชีวิตก่อนของนาง ที่คุณพ่อมักจะให้นางเรียนการต่อสู้ซึ่งหน้ามากกว่า
“อืม เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ให้เยว่ชิงฝึกไว้ก็ดีเช่นกัน” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยตอบรับบุตรชาย พลางเข้าไปตบบ่าบุตรชายเบาๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ รักษาตัวด้วย…พวกเจ้าดูแลกันให้ดี พี่ฝากดูแลท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” เฉินกงก้มคำนับบิดามารดาแล้วจึงหันมาเอ่ยกับน้องทั้งสาม
“พี่ใหญ่เองก็รักษาตัวด้วยนะขอรับ”
“มิต้องเป็นห่วงไป พี่ร่ำเรียนกับอาจารย์มาอย่างตั้งใจ พี่จะช่วยให้แคว้นของเราชนะศึกครานี้ แล้วกลับมาหาพวกเจ้าอย่างปลอดภัย”
“เยว่ชิงเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” เยว่ชิงเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่ภายในใจกับรู้สึกบีบรัดและกังวลเป็นที่สุด นางมิอาจเข้าไปร่วมต่อสู้กับพี่ชายในสนามรบได้ จากนี้ก็คงต้องเฝ้ารออย่างมีความหวังเท่านั้น เยว่ชิงมองแผ่นหลังของพี่ใหญ่ห่างออกไปเรื่อยๆ
ขอให้สิ่งที่ท่านได้ร่ำเรียนมาช่วยให้ท่านพ้นจากเคราะห์ร้ายทั้งปวง
.
.
“คุณหนูเจ้าคะ มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ” แม่นมลี่นำความเข้ามาแจ้งกับคุณหนูของตนถึงในลานกว้างที่เยว่ชิงใช้ฝึกซ้อม
“มูมู่รออยู่ที่นี่ก่อนนะ ประเดี๋ยวจะมาเล่นด้วย” เยว่ชิงเดินเข้าไปกอดมูมู่แล้วจึงเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเผิงจู เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็พบว่าท่านแม่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับหญิงสาวผู้หนึ่ง ใบหน้าหวานหยดแต่ทว่ากลับรับรู้ถึงความแข็งแกร่งจากสายตาคู่งามนั้น
“ท่านแม่…”
“เยว่ชิงมาพอดี นี่คุณหนูลั่วฟางฟาง สหายของพี่ใหญ่เจ้า” เยว่ชิงก้มคำนับสหายของพี่ชายอย่างนอบน้อม พี่ใหญ่ของนางเอ่ยว่าจะให้สหายมาสอนการต่อสู้ต่อจากที่พี่ใหญ่สอน ดังนั้นศิษย์ย่อมต้องเคารพอาจารย์
“เฉินกงเอ่ยถึงน้องเล็กของเขาอยู่บ่อยครั้ง มิคิดว่าจะงดงามถึงเพียงนี้”
“คุณหนูลั่วเองก็งดงามมิแพ้กันเจ้าค่ะ”
“เรียกข้าว่าพี่ฟางเอ๋อร์ก็ได้”
“เช่นนั้นพี่ฟางเอ๋อร์เรียกข้าว่าเยว่ชิงเถิดเจ้าค่ะ” เยว่ชิงยกยิ้มให้กับท่านอาจารย์คนใหม่ของนาง
“พาคุณหนูลั่วไปเที่ยวชมเรือนเถิด แม่จะไปเตรียมขนมมาให้” ได้ยินดังนั้น เยว่ชิงจึงเดินนำลั่วฟางฟางไปยังลานฝึกของตนทันที แต่ยังไม่ทันที่ฟางฟางจะได้ก้าวเข้าไปในลานฝึก สายตาของนางก็สะดุดเข้ากับเสือขาวตัวใหญ่ที่กำลังวิ่งมาทางนาง
“กรี๊ดดดดด เสือ เสือ ฮื่อออออ” ฟางฟางกรีดร้องเสียงดังลั่นเรือน จนบ่าวไพร่ต่างแห่แหนกันมาดู
“พี่ฟางเอ๋อร์ใจเย็นลงก่อนเจ้าค่ะ นี่เป็นเสือของข้าเอง มูมู่เป็นเด็กดีไม่ทำร้ายพี่ฟางเอ๋อร์แน่ หายใจลึกๆ เจ้าค่ะ” เยว่ชิงและเผิงจูรีบเข้าไปประคองฟางฟางเอาไว้ เพราะกลัวว่านางจะเป็นลมล้มพับลงไป
“สะ เสือเจ้าหรอกหรือน้องเยว่ชิง มะ มันจะไม่กัดพี่ใช่หรือไม่”
“ไม่กัดแน่เจ้าค่ะ มิมีสิ่งใดแล้ว พวกเจ้าไปทำงานกันเถิด” เยว่ชิงเอ่ยตอบฟางฟาง แล้วจึงหันไปบอกบ่าวรับใช้ให้กลับไปทำงาน
“อันใดกัน เสียงกรีดร้องของผู้ใด ดังแสบหูเสียจริง อึก!” หมิงยู่ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากลานฝึกซ้อมของน้องสาวก็รีบมาดู จึงได้พบกับหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่เคียงข้างน้องสาว
“ข้ามิได้กรีดร้องเสียงดังถึงเพียงนั้นนะ” ฟางฟางเอ่ยออกไปแผ่วเบา หวังลบล้างเรื่องอับอายที่พึ่งเกิดขึ้น นางจะมาเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ แต่กลับกรีดร้องเสียงหลงเพราะกลัวเสือเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ฮื่อออออ
“เหอะ เสียงดังลั่นเรือนขนาดนี้ ยังว่าไม่ดังอีกหรือ…ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ใด เข้ามาในเรือนข้าได้อย่างไร” หมิงยู่เอ่ยถามหวังสืบความจากหญิงสาวตรงหน้า
“พี่รองอย่าได้เสียมารยาท นี่คุณหนูลั่วฟางฟางเป็นสหายของพี่ใหญ่ นางจะมาเป็นอาจารย์สอนการต่อสู้ให้กับเยว่ชิง”
“อาจารย์…กรีดร้องจนเสียงหลงเช่นนี้จะไหวหรือ หากถูกมูมู่คำรามใส่นางจะไม่เป็นลมเป็นแล้งไปหรอกหรือ” หมิงยู่ยิ้มเยาะอย่างท้าทายจนคนฟังอย่างฟางฟางถึงกับโมโห
“ข้าเพียงตกใจเพราะพึ่งจะเคยพบกับมูมู่เท่านั้น นานวันเข้าก็คุ้นชิน น้องเยว่ชิงพี่ว่าเรามาเริ่มฝึกกันเลยดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ พี่ฟางเอ๋อร์ไปเปลี่ยนชุดก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ใส่ชุดของข้าไปก่อน หากใส่ชุดนี้ฝึกซ้อมคงจะเปรอะเปื้อนจนอาภรณ์เสียหายเป็นแน่”
“นั้นสินะ รบกวนเจ้าด้วย” เดิมทีฟางฟางเพียงต้องการมาทำความรู้จักกับครอบครัวสกุลลู่ไว้ก่อน จึงได้สวมอาภรณ์สีชมพูสดใสมา แต่กลับมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น นางมิอาจทนให้ตนเองขายหน้ากับคุณชายรองของสกุลลู่ได้ นางจึงอยากแสดงให้เขาเห็นว่านางเป็นอาจารย์ได้ หลังจากที่ฟางฟางเดินตามเผิงจูไปเปลี่ยนอาภรณ์ในเรือน จึงพอมีเวลาให้เยว่ชิงไต่สวนพี่รองของนาง
“เหตุใดจึงไปว่าพี่ฟางเอ๋อร์เช่นนั้นเล่าพี่รอง”
“ก็มันจริงมิใช่หรือ พี่เพียงพูดไปตามที่เห็น” หมิงยู่พยายามหลบสายตาขี้สงสัยของน้องสาว
“หึ ปกติแล้ว แม้พี่รองจะปากเสีย แต่ก็มิเคยต่อว่าผู้ที่เคยพบเจอกันคราแรกเช่นนี้ มิใช่ว่าพี่รองอยากให้พี่ฟางเอ๋อร์จดจำท่านได้หรอกหรือ จึงเอ่ยหยอกนางไปเช่นนั้น” เยว่ชิงกระตุกแขนเสื้อพี่ชายตนเองพลางส่งยิ้มกริ่มไปให้
“อะแฮ่ม! เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าตั้งใจเล่าเรียนก็เพียงพอ…ว่าแต่เจ้าจะเริ่มฝึกซ้อมเลยหรือ ข้าว่าจะมาเล่าเรียนด้วย อย่างไรก็ต้องเสียเงินทองจ้างเขามาสอนเจ้าอยู่แล้ว ให้พี่กับลี่อินมาเรียนด้วยนางคงจะมิมีปัญหากระมัง” หลังจากหมิงยู่พูดจบเยว่ชิงก็หัวเราะร่า เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงด้วย
เพียงพบเจอกันคราแรกก็ถูกตาต้องใจเลยหรือ จิตใจอ่อนไหวเสียจริง
“เจ้าค่ะๆ เช่นนั้นพี่รองก็รีบไปตามพี่สามแล้วรีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เสีย ข้าจะพูดเรื่องนี้กับพี่ฟางเอ๋อร์ให้”
“อืม ขอบใจเจ้ามาก น้องรักของพี่” หมิงยู่เดินมากอดรัดเยว่ชิงเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออกแล้วจึงรีบวิ่งไปเรียกลี่อิน ไม่นานทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ก็เตรียมพร้อม ฟางฟางเริ่มฝึกซ้อมร่างกายให้ลี่อินและหมิงยู่ก่อน เพราะทั้งคู่ยังไม่มีพื้นฐานและร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่สำหรับเยว่ชิงและเผิงจู ฟางฟางให้เริ่มฝึกทักษะการต่อสู้ การยิงธนู และการเร้นกาย เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีพื้นฐานมาจากการเรียนกับเฉินกงบ้างแล้ว
“ท่านอาจารย์ทำเช่นนี้หรือ” หมิงยู่ที่กำลังตั้งท่าฝึกร่างกายเอ่ยถามฟางฟางที่กำลังฝึกให้เยว่ชิงอยู่ ฟางฟางจึงต้องหันกลับมาดูหมิงยู่
“เหยียดแขนให้ตรงกว่านี้ ขาต้องอ้าให้กว้างกว่านี้ด้วย” ฟางฟางจับแขนของหมิงยู่ให้เหยียดตรง ทั้งยังจัดท่าทางให้หมิงยู่อย่างถูกต้อง โดยมิได้รับรู้เลย ว่านี่เป็นแผนการเรียกร้องความสนใจฉบับคุณชายรองสกุลลู่ และหลังจากนั้นเยว่ชิง ลี่อิน และเผิงจูก็มักจะได้ยินเสียงของหมิงยู่ที่เอาแต่เรียกหา ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ อยู่ร่ำไป…
.
.
“ท่านพี่ได้ข่าวคราวเฉินกงบ้างหรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งเอ่ยถามถึงบุตรชายที่ไปร่วมรบกับชนเผ่านอกด่าน ตลอดสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าร้านซิ่งฟู่จะเจริญรุ่งเรืองจนสกุลลู่มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ ทั้งเรือนสกุลลู่ยังมีเสียงหัวเราะของบุตรทั้งสามเคล้าคลออยู่ตลอดเวลา แต่ครอบครัวสกุลลู่ก็ยังมีเรื่องเฉินกงให้กังวลใจอยู่เรื่อยมา
“นั่นสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่เจ้าคะ” หากว่าผู้อื่นกังวลใจอยู่ห้าส่วน เยว่ชิงคงจะกังวลใจอยู่สิบส่วน ด้วยว่าในนิยายเรื่องชะตาร้ายยามที่ลู่เยว่ชิงอายุได้สิบสองหนาว ทัพใหญ่จะต้องเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแล้ว แต่ตอนนี้นางอายุได้สิบสามหนาว พี่ใหญ่ของนางยังไม่กลับมา ทั้งที่เหตุการณ์ที่พี่สามป่วยก็ตรงกับช่วงอายุที่ในนิยายได้กล่าวไว้
“ทำศึกจะส่งจดหมายมาได้อย่างไรเล่า แต่พ่อได้ข่าวว่าแม่ทัพใหญ่ได้ทำการปราบชนเผ่านอกด่านจนสิ้นแล้ว ทั้งบัดนี้แคว้นหลงก็ได้ถอนกำลังทหารออกจากชายแดนทางใต้ของเราไปแล้ว อีกไม่กี่เดือนทัพใหญ่คงจะเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวง” คำบอกเล่าของบิดามิได้ทำให้เยว่ชิงเบาใจลงได้เลย ให้หัวเฝ้าคิดแต่เพียงว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มจะไม่ตรงตามเวลาที่นิยายได้กล่าวไว้
หรือว่าจากนี้…เรื่องราวจะเปลี่ยนไปแล้ว