หลังจากที่ทัพหลวงเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวง ผู้คนต่างโห่ร้องสรรเสริญเหล่าทหารกล้า โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่อย่างองค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางที่ได้รับคำสรรเสริญจากราษฎร์อย่างถ้วนทั่ว
ลู่หวังเหล่ยที่พึ่งได้รับรู้ว่าบุตรสาวของตนได้ล่วงเกินองค์ชายใหญ่ ทั้งการกระทำและวาจาถึงกับลมแทบจับ เอ่ยขอประทานอภัยแทนบุตรสาว ทั้งยังโขกศีรษะลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนหลิวหยางต้องออกคำสั่งให้ใต้เท้าลู่ลุกขึ้น เรื่องราวจึงได้คลี่คลายไป
หลังจากนั้นก็มีราชโองการประกาศให้มีงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารกล้าในอีกห้าวันหลังจากนี้ เหล่าทหารกล้าทั้งหลายจึงเร่งรีบกลับไปพักกับครอบครัว ก่อนที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ทางราชสำนักจะจัดขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาขอรับ พวกเจ้าก็อยู่ฟังด้วยกันเถิด” เฉินกงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตนเองได้หยุดพักอยู่กับครอบครัวมาแล้วสี่วัน ในวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารกล้า ซึ่งในงานย่อมมีการมอบรางวัล และตำแหน่งต่างๆ ให้กับทหารที่ทำผลงานได้ดีในศึกที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องปรึกษาบิดา มารดาและพี่น้องก่อนจะตัดสินใจในบางสิ่ง
“เรื่องใหญ่โตหรือลูก เหตุใดจึงทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้เล่า” ซูเมิ่งเอ่ยถามบุตรชายคนโตพลางลูบหลังเฉินกงเบาๆ
“มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายขอรับ เมื่อครู่ข้าได้รับสารจากองค์ชายใหญ่ พระองค์เอ่ยว่าจะขอให้ข้าไปเป็นองครักษ์ข้างกาย ยามที่พระองค์ได้รับตำแหน่ง เหอซั่วชินหวัง ชินอ๋องในราชวงศ์เฉิง”
“นี่หมายความว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นชินอ๋องงั้นหรือ…” ลู่หวังเหล่ยเผลอถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย ความสามารถขององค์ชายใหญ่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท น่าเสียดาย…
แล้วเช่นนี้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทจะตกเป็นของผู้ใดเล่า องค์ฮ่องเต้เฉิงเจี้ยนกั๋วมีพระโอรส 7 พระองค์ มีองค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางที่ประสูติจากพระสนมขั้นกุ้ยเฟย หลิงกุ้ยเฟย องค์ชายรองเฉิงเจียงหยวนประสูติจากฮองเฮาไป่หนิงหลี่ องค์ชายสามเฉิงจ้านฉือประสูติจากพระสมขั้นกุ้ยเฟย กวนกุ้ยเฟย องค์ชายสี่เฉิงป๋อเหวินและองค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาประสูติจากสนมเจียงอันเป็นพระสนมขั้นหวงกุ้ยเฟย นอกจากนี้ยังมีองค์ชายหกเฉิงเฟิงเหมียนและองค์ชายเจ็ดเฉิงลี่หมิงที่ประสูติจากพระสนมขั้นผิน หากว่าองค์ชายใหญ่ได้รับตำแหน่งชินอ๋อง ผู้ที่มีสิทธิ์นั่งบนบัลลังก์มากที่สุดคงมิพ้นองค์ชายรองเฉิงเจียงหยวน แต่เรื่องเช่นนี้มิมีสิ่งใดแน่นอน เพราะความสามารถขององค์ชายสาม องค์ชายสี่ และองค์ชายห้าก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แม้จะมิอาจเทียบเท่าองค์ชายใหญ่ที่เชี่ยวชาญทั้งบู้บุ๋น แต่ก็ถือว่าความสามารถมิได้ด้อยไปกว่ากัน
“ขอรับ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นพระประสงค์ขององค์ชายใหญ่ที่จะรับเพียงตำแหน่งชินอ๋องขอรับ”
“เช่นนั้นหรอกหรือ…” ลู่หวังเหล่ยพยักหน้ารับรู้สิ่งที่บุตรชายเอ่ยบอก
“แล้วเรื่ององครักษ์ข้างกายท่านอ๋อง ท่านพ่อท่านแม่คิดเห็นอย่างไรขอรับ” เฉินกงเอ่ยถามบิดามารดาออกไปตามตรง เขาอยากรู้ความคิดของคนในครอบครัว ก่อนที่จะตัดสินใจให้คำตอบองค์ชายใหญ่
“ในส่วนของแม่ แม่แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจ หากว่าเจ้าอยากอยู่รับใช้ข้างกายองค์ชายใหญ่แม่ย่อมสนับสนุน หากไม่ แม่เองก็มิขัดใจเจ้า” ซูเมิ่งส่งยิ้มไปให้บุตรชายคนโต
“พวกข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกับท่านแม่ขอรับ” ทั้งหมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิงต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมารดา
“แท้จริงตัวข้าเองก็อยากจะรับใช้ข้างกายองค์ชายใหญ่เช่นกันขอรับ หากมิได้องค์ชายใหญ่ช่วยเหลือครานั้น ข้าคงมิอาจมานั่งอยู่ตรงนี้ได้…” เฉินกงเอ่ยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสนามรบให้ทุกคนได้ฟัง ในยามที่ทหารของแคว้นเฉิงกำลังรบกับชนเผ่านอกด่าน รองแม่ทัพอู๋ได้พลาดท่าให้กับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู เฉินกงเห็นดังนั้นจึงตั้งใจเข้าไปช่วย แต่เขากลับพลาดพลั้งให้กับศัตรูเสียเอง จนเกือบจะโดนฟันเข้าที่คอ ยังดีที่องค์ชายใหญ่เข้ามาสกัดดาบของศัตรูได้ทัน ดาบของแม่ทัพฝ่ายศัตรูจึงเฉี่ยวโดนขาของเฉินกงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“โชคดีเหลือเกินที่องค์ชายใหญ่มาช่วยเจ้าไว้ทัน” ซูเมิ่งเข้าไปกอดปลอบขวัญบุตรชาย ลู่หวังเหล่ยเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับที่ภรรยาของตนกล่าว
“หากเป็นหนี้ชีวิต เจ้าก็ใช้ชีวิตนี้เพื่อตอบแทนพระองค์เถิด ดูแลอารักขาองค์ชายใหญ่ให้สมกับที่พระองค์ไว้ใจเจ้า” ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่บิดากล่าว เฉินกงอดดีใจมิได้ที่เห็นว่าทุกคนในครอบครัวมีความเห็นตรงกันกับตัวเขา
“ท่านพ่อ แล้วเรื่องสืบสกุล-” ยังไม่ทันที่เฉินกงจะเอ่ยจบเยว่ชิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“เรื่องนี้พี่ใหญ่อย่าได้กังวล พี่รองเองก็คงจะแต่งฮูหยินเข้ามาในไม่ช้า” เยว่ชิงยกยิ้มกริ่มให้หมิงยู่ มิได้มีเพียงนางที่เห็นว่าความสัมพันธ์ของพี่รองกับพี่ฟางเอ๋อร์นั้นก้าวหน้าไปมากเพียงใด กระทั่งพี่สาม เผิงจู และมูมู่เองก็ยังดูออกว่าทั้งสองมีใจให้กัน
“จริงหรือหมิงยู่ เจ้าหมายตาคุณหนูสกุลใดบอกแม่มาเถิด แม่จะส่งแม่สื่อไปทาบทามไว้ให้ แล้วจะได้เตรียมของหมั้นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ” ซูเมิ่งเอ่ยถามบุตรชายอย่างกระตือรือร้น
“นั่นสิหมิงยู่ รีบแต่งจะได้มีหลานให้พ่ออุ้ม” ลู่หวังเหล่ยเองก็ดูจะเร่งรีบอยากอุ้มหลานเต็มทน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ใจเย็นลงก่อนเถิด อย่างไรข้าจะลองถามไถ่ฟางเอ๋อร์ดู ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องตบแต่ง” หมิงยู่พูดไปก็เขินอายไป แม้ว่าช่วงแรกฟางฟางจะมิได้สนใจเขา แต่ช่วงหลังมานี้ นางก็ตอบรับน้ำใจของเขาหลายครา เขาจึงอยากถามไถ่เรื่องนี้ให้มั่นใจเสียก่อน ว่านางเองก็มีใจให้เขาเช่นกัน
“นี่สรุปว่าเป็นคุณหนูลั่วหรอกหรือ ดีๆ นางงดงามทั้งกริยาและวาจา อีกอย่างนางคงกำราบเจ้าจนอยู่หมัด ฮ่าๆ” ทุกคนต่างหัวเราะกับคำพูดของลู่หวังเหล่ยจนเสียงดังไปทั่วเรือน หลังจากพูดคุยกันได้ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันกลับห้องของตน แต่ก่อนที่เยว่ชิงจะเดินเข้าห้องของตน นางกลับเอ่ยถามบางอย่างกับพี่ชาย
“พี่ใหญ่ ที่ท่านพลาดพลั้งให้ศัตรู เป็นเพราะถูกรองแม่ทัพอู๋ดึงเข้าไปรับคมดาบของศัตรูแทนใช่หรือไม่”
“จะ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เฉินกงขมวดคิ้วแน่น เรื่องนี้เขามั่นใจว่ามิได้เอ่ยบอกผู้ใดแม้แต่คนเดียว
“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น ข้าเข้านอนก่อนนะเจ้าคะ” เยว่ชิงรีบเดินกลับเข้าห้องของตนเองทันที
หึ คิดไว้อยู่แล้ว เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนไปทั้งหมด เพียงแต่มีบางอย่างเข้ามาทำให้เรื่องราวมิได้เป็นไปอย่างที่นิยายได้กล่าวไว้
.
.
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม ข้างดงามที่สุดแล้วใช่หรือไม่” เยว่ชิงสวมอาภรณ์สีฟ้า ไล่สีอ่อนไปเข้ม ตรงชายผ้าปักลวดลายดอกไม้สีขาวแซมเงิน
“งดงามแล้วๆ ลูกพ่อย่อมงดงามเกินกว่าผู้ใด” ลู่หวังเหล่ยยกยอบุตรสาวเสียจนเจ้าตัวเริ่มทำหน้าหงิกงอ เพราะไม่รู้ว่าบิดาของตนนั้นพูดจริงหรือไม่ ลู่หวังเหล่ยมิได้สนใจอารมณ์หงุดหงิดของบุตรสาวแม้แต่น้อย ร่างสูงเข้าไปพยุงภรรยาขึ้นรถม้า จากนั้นจึงดันบุตรสาวให้ขึ้นรถม้าไปกับบุตรชายที่อยู่ในรถม้าอีกคัน
“หึๆ อย่าได้แง่งอนท่านพ่อไปเลย ดูเถิดหากทำหน้าเช่นนี้ในงานเลี้ยง คงมิมีคุณชายสกุลใดมาสนใจเป็นแน่” เยว่ชิงได้ยินคำของพี่ใหญ่ก็รีบปรับสีหน้าทันที งานเลี้ยงคืนนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารกล้าที่ชนะศึก เดิมทีมีเพียงท่านพ่อและพี่ใหญ่เท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงาน แต่ครานี้พี่ใหญ่มีความดีความชอบ ทั้งยังจะถูกแต่งตั้งเป็นองครักษ์ ฝ่าบาทจึงประทานอนุญาตให้ครอบครัวสกุลลู่เข้าร่วมงานเลี้ยงครานี้ได้ นอกจากครอบครัวสกุลลู่แล้ว ยังมีครอบครัวของนายทหารที่มีบทบาทสำคัญมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครานี้ด้วย
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึง ลู่หวังเหล่ยก็ประคองภรรยาของตนลงจากรถม้า เฉินกงเองก็เดินลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามมาด้วยหมิงยู่ ลี่อิน และเยว่ชิง เฉินกงยื่นมือเข้าไปช่วยรับน้องๆ ลงจากรถม้า โดยเฉพาะกับเยว่ชิงที่แทบจะอุ้มลงจากรถม้าเสียแล้ว เมื่อครอบครัวสกุลลู่เดินเข้าไปในลานพิธี ผู้คนที่สนทนากันอื้ออึงก็เงียบลง
“ผู้ใดกัน ข้ามิเคยเห็นในงานเลี้ยงอื่นเลยสักครา”
“นั่นสิเจ้าคะ สกุลใดกัน ทั้งบุตรชายบุตรสาวต่างมีรูปโฉมงดงาม”
“ก็สกุลลู่อย่างไรเล่า สามีข้าทำงานร่วมกับใต้เท้าลู่ เขาว่าใต้เท้าลู่ผู้นี้ซื่อตรงเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นขุนนางตงฉินโดยแท้” เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบข้าง แต่ครอบครัวลู่มิได้สนใจสิ่งใด เดินตรงไปนั่งที่ของตนเอง การจัดตำแหน่งที่นั่งนั้นเป็นไปตามยศศักดิ์ ทำให้ครอบครัวสกุลลู่ได้นั่งอยู่ด้านหลังห่างจากแท่นพระที่นั่งของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในลานพิธีกันอย่างล้นหลาม นั่งรอเพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงขันทีประกาศการมาถึงขององค์ฮ่องเต้และฮองเฮาแคว้นเฉิง เหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และผู้คนในลานพิธีต่างก้มคำนับถวายพระพรแด่องค์จักรพรรดิและองค์จักรพรรดินี
“อย่าได้มากพิธี วันนี้ข้าตั้งใจเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของแคว้นเฉิง” องค์ฮ่องเต้เฉิงเจี้ยนกั๋วหันไปพยักหน้าให้กับสวีกงกง
“เหล่าทหารกล้ารับราชโองการ ด้วยความดีความชอบร่วมกันการรักษาแผ่นดินเกิด องค์ฮ่องเต้จึงได้พระราชทานเบี้ยหวัดให้กับทหารทุกนาย ครอบครัวของทหารที่สละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินจะได้รับเบี้ยหวัด บุตรชาย บุตรสาวจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากสำนักศึกษา เพื่อตอบแทนคุณความดีของทหารที่สละชีพเพื่อแคว้นเฉิง จบราชโองการ”
“น้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงแกร่งของเหล่าทหารกล้าดังกระหึ่มไปทั่วทั้งลานพิธี หลังจากนั้นสวีกงกงก็ได้ประกาศราชโองการต่อไป ทั้งแม่ทัพ นางกอง ที่มีความดีความชอบ บ้างก็ได้เลื่อนตำแหน่ง บ้างก็ได้รับเบี้ยหวัดเงินทองมากมาย เยว่ชิงที่นั่งฟังอยู่นานก็รู้สึกเบื่อหน่ายจนแทบจะฟุบหลับลงไปเสียแล้ว แต่ไม่นานร่างบางกลับต้องยืดตัวตรง เมื่อได้ยินเสียงของสวีกงกงประกาศราชโองการต่อไป
“องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางรับราชโองการ ด้วยความดีความชอบที่ได้กระทำต่อบ้านเมือง ออกรบปราบกบฏ ทำศึกกับชนเผ่านอกด่านที่รุกราน ปกป้องรักษาดินแดนของแคว้นเฉิง องค์ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยางขึ้นเป็น เหอซั่วชินหวัง ชินอ๋องเฉิงหลิวหยาง ทั้งยังพระราชทานจวนประจำตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติ ของมีค่า และทหารในสังกัดห้าหมื่นนาย จบราชโองการ”
“เฉิงหลิวหยางน้อมรับราชโองการ” หลิวหยางกล่าวคำถวายพระพร แต่ยังคงยืนอยู่กลางลานพิธีหน้าแท่นพระที่นั่ง เพราะเขารู้ว่าลำดับต่อไปจะเป็นการแต่งตั้งเฉินกงขึ้นเป็นองครักษ์ข้างกายของเขา
“ลู่เฉินกงรับราชโอการ ด้วยความดีความชอบใช้ความสามารถและสติปัญญาช่วยแบ่งเบาภาระของเหอซั่วชินหวังในยามศึกสงคราม องค์ฮ่องเต้ได้พระราชทานเบี้ยหวัด และแต่งตั้งลู่เฉิงกงให้เป็นองครักษ์ข้างกายเหอซั่วชินหวังนับตั้งแต่บัดนี้ จบราชโองการ”
“ลู่เฉินกงน้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
“จากนี้ ฝากเจ้าดูแลโอรสของข้าด้วยองครักษ์ลู่” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วมองตรงไปที่เฉินกง เป็นสายตาที่ทั้งคาดหวังและกดดันจนเฉินกงรับรู้ได้
“กระหม่อมจะอารักขาชินอ๋องด้วยชีวิตของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี! จริงสิ ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้าก็เป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักหรือ”