พอกันที ครั้งที่ 15 : จดหมายเรียกตัว

2422 คำ
“คุณหนูเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เผิงจูวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาเรียกเยว่ชิงในห้องทำงานหลังร้านซิ่งฟู่ เยว่ชิงที่บัดนี้ย่างเข้าวัยสิบหนาวเริ่มฉายแววงามล่มเมืองตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น “มีอันใดหรือเสี่ยวจู เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้” เยว่ชิงและหมิงยู่เงยหน้าจากบัญชีรายรับรายจ่ายของร้าน “ดะ ด้านนอก มีนักเลงยกพวกตีกันหน้าร้านเราเจ้าค่ะ พี่เผิงจงเข้าไปห้าม แต่กลับโดนทุบตีจนเลือดอาบหน้าแล้วเจ้าค่ะ ฮื่อออ” เผิงจูพูดไปก็ร้องไห้ไป เดิมนางคิดจะเข้าไปช่วยพี่ชาย เพราะนางเคยฝึกต่อสู้กับคุณหนูมาบ้าง แต่เผิงจงกลับสั่งให้นางรีบมาแจ้งคุณชายกับคุณหนู “พวกนักเลงหัวไม้อีกแล้วหรือ หากข้าวของข้าเสียหาย ข้าจะฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น!!!” เยว่ชิงเดินไปหยิบหน้ากากและดาบไม้ที่นางใช้ฝึกซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วรีบสาวเท้าออกไปหน้าร้านทันที “ดะ เดี๋ยวๆ เยว่ชิง! เจ้าใจเย็นๆ ก่อน รอข้าด้วย” หมิงยู่รีบวิ่งตามน้องสาวไป หากว่าเยว่ชิงมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่น นางต้องโดนลงโทษเหมือนคราที่นางเข้าไปชกต่อยกับพวกนักเลงเป็นแน่ เด็กหญิงวัยสิบหนาวที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า มือขวาถือดาบชี้ไปที่นักเลงพวกนั้น มิมีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย “หากพวกเจ้าจะทะเลาะกันก็ไปที่อื่น อย่ามาทะเลาะกันหน้าร้านข้า” ยิ่งเห็นว่าลูกค้าในร้านต่างแตกตื่น บ้างก็วิ่งหนีออกจากร้าน บ้างก็ถอยร้นเข้ามาหาที่กำบังในร้าน ยิ่งทำให้เยว่ชิงโมโห “เจ้าหลีกไป อย่ายื่นมือเข้ามาสอด เป็นสตรีอยู่ส่วนสตรี อย่าก้าวย่างมาในเส้นทางของเอกบุรุษเช่นพวกข้า” หัวโจกพวกนักเลงเอ่ยขึ้นอย่างอาจหาญ “เอกบุรุษงั้นหรือ ฮ่าๆ กริยาเช่นนี้เป็นสุนัขตัวผู้ยังสูงส่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ” เยว่ชิงโมโหจนสุดขีด นี่มิใช่ครั้งแรกที่นักเลงพวกนี้มาสร้างความเสียหายให้กับร้านซิ่งฟู่ แม้ว่านางจะให้คนไปแจ้งทางการ แต่ทางการก็มิสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เช่นนั้นนางขอสั่งสอนเองก็แล้วกัน เยว่ชิงพุ่งเข้าใส่หัวโจกพวกนักเลง วาดดาบไม้ฟาดฟันไปทั่วร่างของหัวโจกผู้นั้น แต่อย่างว่า ยามสุนัขกัดกันมันมิสนว่าหญิงหรือชาย หมู่หรือเดี่ยว หน้าร้านซิ่งฟู่จึงเต็มไปด้วยนักเลงหัวไม้ที่ชกต่อยกันและมีเยว่ชิงเข้าไปร่วมวงด้วย เผิงจูและบ่าวชายที่เห็นว่าคุณหนูของตนถูกทำร้ายจึงรีบเข้าไปช่วยจนวุ่นวายเข้าไปใหญ่ “โอ๊ยยย หากผมข้าขาดข้าจะตัดมือเจ้า” เยว่ชิงหันไปฟาดดาบใส่ร่างของชายที่ดึงผมนาง โดยมิทันได้ระวังด้านหลังของตนแม้แต่น้อย หมับ! เยว่ชิงถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอย ร่างบางดีดดิ้นให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนใหญ่ แต่เมื่อหันกลับไปมองหน้าชายผู้นั้นกลับพบว่า… “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ๆ ท่านกลับมาแล้ว” เยว่ชิงตะโกนลั่นออกมาด้วยความดีใจ สองแขนกอดรัดรอบคอพี่ชายแน่น พี่ใหญ่ของนางเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งร่างกายที่ดูแข็งแกร่งขึ้น สมกับเป็นชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหนาว ทั้งผิวที่ดูคล้ำลงเล็กน้อย แต่อย่างไรนางก็ยังจดจำแววตาที่อ่อนโยนของพี่ใหญ่ได้เสมอ “พี่กลับมาแล้ว แต่ตอนนี้เราต้องออกจากวงล้อมนี้ก่อน” เมื่อเฉินกงพาน้องสาวออกมาจากวงล้อมของพวกนักเลงได้ จึงจุดประทัดแล้วโยนเข้ากลางวงของพวกนักเลงที่ชกต่อยกัน ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! เสียงประทัดดังลั่นไปทั่วบริเวณ นักเลงบางคนก้มหมอบลงกับพื้น บางคนก็รีบวิ่งหนีออกไป ใช้เวลาไม่นานพื้นที่หน้าร้านซิ่งฟู่ก็ว่างเปล่า จะมีก็เพียงเศษซากของประทัดและข้าวของแตกหักที่พวกนักเลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้า “เห้ออออ หยุดกันเสียที หากไม่แล้วข้าวของคงเสียหายมากไปกว่านี้เป็นแน่” กว่าหมิงยู่จะไปตามบ่าวชายจากหลังร้านมาช่วย ทุกอย่างก็คลี่คลายไปหมดแล้ว “ว่าแต่…เจ้าเป็นใคร! เหตุใดกล้าโอบอุ้มน้องสาวข้าเช่นนั้น ปล่อยน้องข้านะ! ปล่อย!” หมิงยู่ตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มกำลังโอบอุ้มน้องสาวของเขาอยู่ แต่เมื่อชายผู้นั้นหันกลับมาให้หมิงยู่มองหน้าชัดๆ แล้ว หมิงยู่ถึงกลับเบิกตากว้าง “พะ พี่ใหญ่!” หมิงยู่วิ่งเข้าไปกอดเฉินกงด้วยอีกคน “หึๆ พี่เอง แล้วลี่อินเล่า มาด้วยหรือไม่” “วันนี้พี่สามต้องดื่มโอสถ พวกข้าจึงมิให้พี่สามมาทำงานเจ้าค่ะ” “อาการของเขาดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” “น้องสามอาการคงที่แล้ว ตอนนี้ดื่มโอสถเพียงเดือนละหนึ่งคราเท่านั้น หากวันใดที่น้องสามมิได้ดื่มโอสถ เขาก็มาบรรเลงกู่เจิงในร้านเสมอ” “ดียิ่ง พี่คิดถึงคนที่เรือนแล้ว สั่งให้คนมาเก็บกวาดแล้วเรากลับเรือนกันเถิด” เฉินกงเร่งให้น้องสาวและน้องชายสั่งให้คนมาจัดการหน้าร้านให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะเปิดร้านต่อไปไม่ได้แล้ว หมิงยู่จึงได้ให้เสี่ยวเอ้อปิดร้านทำความสะอาดแล้วค่อยเปิดร้านใหม่ในวันพรุ่ง หลังจากจัดการเรื่องที่ร้านเสร็จสิ้นสามพี่น้องและบ่าวในเรือนสกุลลู่ที่มาทำงานในร้านซิ่งฟู่ก็เดินทางกลับเรือน “ท่านแม่ พี่สาม พวกท่านออกมาดูเถิดว่าผู้ใดมา” เยว่ชิงวิ่งเข้าไปหามารดาและพี่ชายในห้องพักของลี่อินพร้อมกับเอ่ยแจ้งเรื่องสำคัญ “ผู้ใดกันน้องเล็ก” “นั้นสิลูก เหตุใดเจ้าจึงได้ดูดีอกดีใจจนเนื้อเต้นเช่นนี้” “ไปห้องโถงเถิดเจ้าค่ะ เยว่ชิงรับรองได้ว่าท่านแม่และพี่สามต้องดีใจเช่นเดียวกับเยว่ชิง” เยว่ชิงรีบไปพยุงลี่อินให้ลุกขึ้นเดิน แท้จริงแล้วอาการของลี่อินมิได้น่าเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แต่คนในครอบครัวสกุลลู่ต่างประคบประหงมเขาจนเกินเหตุ เมื่อมาถึงห้องโถง ซูเมิ่งและลี่อินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเฉินกงกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว “ท่านแม่ น้องสาม” เฉินกงเดินเข้าไปโอบกอดมารดาและน้องชายเอาไว้แน่น นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้ “ลูกแม่ เจ้ากลับมาเสียที เหตุใดจึงไปแล้วไม่กลับมาเยี่ยมเรือนเราบ้างเล่า” “นั้นสิขอรับพี่ใหญ่ พวกข้ารอท่านกลับมาเยี่ยมทุกปี แต่ก็มีเพียงจดหมายเท่านั้น” ลี่อินเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน ก่อนออกเดินทางพี่ใหญ่ของเขาเอ่ยว่าจะกลับมาเยี่ยมเยือน พวกเขาจึงเฝ้ารอ แต่กลับได้รับเพียงจดหมายเท่านั้น “พี่ต้องขออภัยพวกเจ้าด้วย ข้าขออภัยขอรับท่านแม่ ข้าอยากเร่งเรียนวิชาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพราะมิอยากให้ท่านพ่อต้องเสียงเงินทองมากนัก จึงมิได้กลับมาเยี่ยมเยือนท่านแม่และน้อง” เฉินกงเอ่ยบอกไปตามจริง “โถ่ลูก จะคิดสิ่งใดให้มากความ ร้านชิ่งฟู่ของพวกเจ้าเจริญรุ่งเรือง จนสกุลเรามิต้องลำบากเช่นเก่าก่อนแล้ว ทั้งหนี้สินที่ท่านพ่อของเจ้าไปหยิบยืมมาตอนสอบขุนนางก็ใช้คืนเขาจนหมดแล้ว พวกเจ้าทั้งสามเองหากอยากเรียน แม่จะให้ท่านพ่อของเจ้าพาไปสามัครเรียน” เดิมทีครอบครัวสกุลลู่มีหนี้สินที่ใต้เท้าลู่ได้ไปหยิบยืมมายามสอบเข้าเป็นขุนนาง แต่เรื่องนี้นางและสามีมิได้เอ่ยเล่าให้ลูกๆ ฟัง ด้วยเหตุนี้เมื่อก่อนเบี้ยหวัดจึงมิพอใช้จ่ายในเรือน “หากว่ากิจการคงที่แล้ว ข้าจะลองคิดดูขอรับ” หมิงยู่เอ่ยตอบรับมารดา “พี่ใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้วหรือเจ้าคะ” เยว่ชิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างคาดหวัง “ใช่แล้ว พี่เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ครบถ้วนหมดแล้ว จนท่านอาจารย์ไล่พี่กลับเรือนนี่อย่างไร” เยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ ตลอดสามหนาวท่านแม่ได้สอนการบ้านการเรือนให้กับนาง จนนางไม่มีเวลาได้ฝึกซ้อมดาบ มูมู่เองก็คงเบื่อหน่ายที่นางมิมีเวลาไปเล่นด้วย แต่เมื่อพี่ใหญ่กลับมาครานี้นางจะให้เขาสอนวิชาให้เสียหน่อย สอนมูมู่และเสี่ยวจูด้วย “เช่นนั้นพี่ใหญ่สอนข้าได้หรือไม่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน จนทุกคนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้ “หึๆ ย่อมได้ น้องรองกับน้องสามจะมาฝึกซ้อมด้วยกันหรือไม่” “ข้าร่างกายไม่แข็งแรงนักขอรับ แหะๆ” “ส่วนข้าจะไปดูแลกิจการยามที่เยว่ชิงฝึกซ้อมเอง” ทั้งลี่อินและหมิงยู่ต่างเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที จนเฉินกงอดหัวเราะออกมามิได้ “เอาเถิดๆ เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด แม่ทำความสะอาดรอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ มิมีฝุ่นผงแม้แต่น้อย” “ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ขอรับ” ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เยว่ชิงแวะไปเล่นกับมูมู่อยู่พักใหญ่แล้วจึงเข้าครัวช่วยท่านแม่จัดการเรื่องมื้อเย็น หลังจากจัดเตรียมอาหารเสร็จสิ้นทุกคนก็มานั่งรอลู่หวังเหล่ยที่ห้องโถง รอไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในเรือน “ท่านพ่อ ท่านดูเสียหน่อยว่าวันนี้มีผู้ใดรออยู่บ้าง” หมิงยู่รีบเอ่ยทักให้บิดามองสำรวจทุกคน “เฉินกง! เจ้ากลับมาแล้วหรือ ฮ่าๆ” ลู่หวังเหล่ยรีบเข้าไปหาบุตรชายคนโต เขาไม่พบหน้าบุตรชายมานานถึงสามหนาว เฉินกงเปลี่ยนไปมากทั้งแข็งแรงและดุดันขึ้น เห็นทีเรื่องนั้นคงคลายกังวลไปได้บ้าง “ขอรับ ข้าตั้งใจเรียนรู้วิชาจากอาจารย์จนครบ จึงได้กลับมาอยู่เรือนถาวรเลยขอรับ” “ดีๆ เช่นนั้นก็ดี” ลู่หวังเหล่ยได้ยินคำของบุตรชายก็ยิ้มได้ไม่เต็มปาก สีหน้าประดักประเดิดของบิดาทำเอาเฉินกงและเยว่ชิงถึงกับชะงัก เยว่ชิงเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของท่านพ่อยามที่ถูกท่านแม่ถามถึงเรื่องที่ท่านพ่อโดนกลั่นแกล้งในที่ทำงาน ท่านพ่อมักจะเอ่ยถ้อยคำให้ท่านแม่สบายใจพร้อมกับมีสีหน้าเช่นนี้เสมอ ฉะนั้นแล้วหากท่านพ่อทำสีหน้าเช่นนี้คงจะมีบางเรื่องที่ท่านพ่อกังวลอยู่เป็นแน่ “ทานอาหารกันก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นชืดมิมีรสชาติกันพอดี” ซูเมิ่งคีบอาหารให้สามีและบุตรทั้งสี่ ครอบครัวสกุลลู่ทานมื้อเย็นร่วมกันอย่างอิ่มหนำ จากนั้นจึงมานั่งรับลมที่ศาลาในสวนท้ายเรือน “โฮรก~” มูมู่เองก็ได้รับเชิญให้มานั่งรับลมที่ศาลาเช่นกัน เสียงคำรามของเสือหนุ่มมิได้ทำให้คนในสกุลลู่ตกใจกลัวอีกต่อไป เพราะเริ่มชินชากับเสียงเหล่านี้ไปแล้ว “ท่านพ่อมีเรื่องกังวลใจหรือขอรับ” คำพูดของเฉินกงทำให้ครอบครัวสกุลลู่ต่างเงยหน้าขึ้นมองไปที่บิดาเป็นสายตาเดียว “อืม พ่อพึ่งได้รับจดหมายเรียกตัว ขอคนเข้าร่วมกองทัพมา” ลู่หวังเหล่ยหยิบจดหมายในที่เก็บไว้ในสาบเสื้อออกมาให้บุตรชายคนโต “หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ท่านพี่ ลูกพึ่งกลับมาจากสำนักศึกษาจะต้องเข้าร่วมกองทัพอีกแล้วหรือ” ซูเมิ่งน้ำตาคลอ นางพึ่งจะดีใจที่บุตรชายกลับมา แต่กลับต้องเอ่ยลากันอีกแล้วหรือ “ใช่ ในอีกสองเดือนข้างหน้าจะมีการเรียกคนเข้าร่วมกองทัพเพื่อไปสมทบกับทัพของแม่ทัพใหญ่ที่รั้งรออยู่แถบชายแดน” “แม่ทัพใหญ่ตอนนี้คือผู้ใดหรือขอรับ ข้าอยู่ในสำนักศึกษามิได้สนใจเรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย” “องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยาง พระองค์ได้รับแต่งตั้งทั้งที่ยังทำศึกอยู่ชายแดน ครานี้พระองค์ขอทหารเพิ่ม เพื่อจะออกรบกับชนเผ่านอกด่าน เพราะแคว้นหลงเองก็ยังมีท่าทีมิน่าวางใจ พระองค์จึงมิอยากแบ่งกำลังทหารจากชายแดนทางใต้มารบกับพวกนอกด่าน ศึกกับพวกนอกด่านครานี้ยังมีรองแม่ทัพอู๋จางหมิ่นร่วมทำศึกด้วย” “องค์ชายใหญ่เฉิงหลิวหยาง ใช่คนเดียวกับที่ยกมูมู่ให้เยว่ชิงหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับพระนามขององค์ชายใหญ่ “ใช่แล้ว พระองค์เป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ อยู่ในสนามรบตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งยังมีจิตใจเมตตาต่อราษฎร เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทแคว้นเฉิง แต่ทว่าเหล่าขุนนางกลับคัดค้านเพียงเพราะพระองค์เป็นโอรสที่ประสูติจากพระสนมที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา และยังมีข่าวลือว่าองค์ชายใหญ่มิอาจมีบุตรได้” “เป็นหมันหรือขอรับ” “มิใช่ คนเล่าลือกันว่า แม้จะมีหญิงสาวเปลือยกายอยู่ตรงหน้า พระองค์ก็มิมีความรู้สึกใคร่แม้แต่น้อย” “มิแปลกเจ้าค่ะ ชายบางคนหากมิใช่คนที่ตนเองพึงใจ ต่อให้มีหญิงที่งดงามราวเทพธิดาเปลือยกายอยู่ตรงหน้า เขาก็มิสนใจใคร่อยากมีสัมพันธ์ด้วย” เยว่ชิงคิดว่าอาการเช่นนี้มิได้แปลกอันใด องค์ชายใหญ่ผู้นี้อาจจะมีคนรักอยู่แล้วก็เป็นได้ “นี่ เจ้าเด็กแก่แดดแก่ลม พูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้มิอายปากเลยหรือ” หมิงยู่เอ่ยค่อนแคะน้องสาวที่พูดจาเฉกเช่นผู้ผ่านโลกมามาก “พี่รอง!” และแล้วเรื่องราวก็จบลงที่สองพี่น้องลับฝีปากกันไปมาจนเหนื่อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม