ร่างสูงโดดเด่นในหมู่คนเสียจนเหมือนกับภาพรอบข้างเบลอไม่ชัดเจน แม้ว่าเขาจะสวมแว่นกันแดดสีชาอยู่ แต่เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาจ้องมองมาทางเธอผู้ชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักชื่อ ยิหวายืดอกและเดินอย่างมั่นใจไปทางเขาทันที
“บังเอิญจังครับ” ฌานเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนและไม่คิดว่าเธอจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองแบบนี้ เขาก้มมองร่างบางที่สวมกระโปรงสีหวานมันให้ความรู้สึกฉ่ำในปากขนาดที่เขาต้องเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง
“ฉันน่าจะเป็นคนพูดประโยคนี้มากกว่า” ยิหวารู้สึกหายใจลำบากอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นเพียงเพราะน้ำเสียงและท่าทางของเขา
“ผมมากินกาแฟ” เขายิ้มแล้วพยักเพยิดไปด้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านกาแฟ “แล้วผมก็อยากเห็นดาราเลยเดินมาดูก่อนที่จะเข้างานไม่ได้”
“หน้าอย่างคุณนี่นะอยากเห็นดารา” ยิหวายกมือกอดอกเพิ่งพินิจอย่างไม่เชื่อ
“ผมชอบอะไรสวยๆ งามๆ...” ‘เหมือนคุณไง’
ยิหวาอ้าปากจะพูดอะไรต่อแต่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นก่อน หญิงสาวหยิบออกมาโต้ตอบพี่ช่างภาพมาถึงแล้วและเดินหาตัวเธออยู่
“อยู่ตรงนั้นแหละหวาจะไปหาเอง” ยิหวาบอกแล้วปิดโทรศัพท์พอเงยหน้าขึ้นมาก็งุนงงเพราะไม่มีชายหนุ่มคนนั้นอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว “หายไปไหนนะ ทำตัวเป็นผีไปได้ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่”
ยิหวาเหลียวมองรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นร่างสูงเธอถอนหายใจหนักๆ และบ่นในใจ “ยังไม่ได้ขอบคุณเลย”แต่เพราะกลัวจะเสียงานจึงไม่ได้เดินตามหาเขา
หนึ่ง-ช่างภาพหนุ่มที่ยิหวาสนิทสนมและนับถือเป็นพี่โบกมือเรียก ยิหวารีบแหวกผู้คนเข้าไปหาแต่เมื่อหนึ่งเห็นยิหวาก็ผิวปากออกมา“แลดูเป็นหญิงจริงๆ นี่แต่งตัวจะมาเดินพรมแดงกะเค้าด้วยเหรอ”
“ถ้าพูดแบบนี้หวากลับบ้านดีกว่า” เธอทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันทีแต่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง
“แบบนี้แหละดีแล้ว พี่ยังคิดว่าแกจะใส่ขาวดำมาแข่งกับพนักงานเสิร์ฟนะ”
“เลิกพูดได้แล้ว ทำงานได้แล้ว” ยิหวาตัดบทแล้วคล้องบัตรสื่อมวลชนเดินเข้าไปจุดลงทะเบียน เมื่อเสร็จแล้วก็นัดแนะกับช่างภาพถึงภาพข่าวที่ต้องการ
งานประกาศผลรางวัลภาพยนตร์เป็นอย่างคึกคัก จุดเด่นของงานที่นอกเหนือผลรางวัลคือดาราสาวในชุดหรูที่ก้าวเดินบนพรมแดง แต่ละคนก็ต่างลุ้นว่าดาราคนไหนจะแต่งตัวแบบไหน ใครจะ”แรง” กว่ากันหรือใครจะ “หลุด” ก่อนกัน หรือใครจะสร้างความฮือฮามากที่สุด
จีระนันท์ออกมาในชุดสีชมพูหวานฉ่ำเป็นชุดเกาะอกกระโปรงยาวลากพื้นเหมือนชุดเจ้าหญิงในเทพนิยายมีดอกไม้และผ้าลูกไม้ประดับเพิ่มความหวานให้ฉ่ำเข้าไปอีก แสงแฟรชวูบวาบแต่เธอก็ไม่มีอาการสะดุ้งเลยสักน้อย จีระนันท์ปรายตามองมายิหวานิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในงาน
“ยัยจีจี้นี่ชอบข่มชาวบ้านจริงๆ”
ยิหวาอดบ่นไม่ได้แต่ก็เพราะหน้าที่เธอจึงไม่สนใจสิ่งที่จีระนันท์เป็นเท่าไหร่นัก ดาราหนุ่มสาวผ่านพรมแดงเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่ห้องรับรองทั่วไปที่นักข่าวต่างพากันสัมภาษณ์ดาราที่กำลังเป็นที่นิยม นักข่าวก็เดินไหล่กระทบกันไม่น้อยกว่าดาราเลย ยิหวาเก็บสัมภาษณ์ตามประเด็นที่ต้องการแล้วก็ได้เวลาพักทานของว่างก่อนที่เข้าห้องประชุมเพื่อฟังการประกาศผล
“เหนื่อยแบบนี้จะคุ้มค่าโอทีหรือเปล่านะ”
“หายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องเงินอย่างเดียวหรือไงไอ้หวา” ช่างภาพอดแซวไม่ได้ทั้งที่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“ก็มันเหนื่อยนี่”
“ใครๆ เขาก็อยากทำงานสายนี้ทั้งนั้นแหละ แกได้ทำก็ดีกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ ลองนึกถึงคนที่ไม่มีโอกาสทำซิ”
“แต่หวาอยากทำข่าวสายการเมืองนะ” ยิหวาประท้วงเบาๆ ยกกาแฟดำขึ้นจิบแล้วตามด้วยคุ้กกี้หนึ่งคำ
“พอแกได้ทำจริงๆ แกก็เบื่อไปเองแหละ” หนึ่งยักไหล่ “ผลประโยชน์มันเยอะ แกไปเดินสะดุดเท้าใครไม่ได้หรอก”
“ตอนนี้หวาหัดเขียนสารคดีอยู่นะ”
“ก็ดีแล้ว พี่ว่า-บุคลิกหวาน่าจะลุยไปงานสารคดีเขียนลงพื้นที่เก็บข้อมูลดีกว่า”
“หวาถ่ายรูปไม่เก่ง” ยิหวาส่ายหน้า “หนังสือสารคดีที่หวาอ่านมีแต่รูปถ่ายเจ๋งๆ”
หนึ่งเขกหัวรุ่นน้องเบาๆ ไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ “ลืมไปแล้วเหรอว่ามีพี่อยู่แล้วก็เขียนให้มันรอดก่อนเถอะแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น”
“จ้า” ยิหวาแสร้งคลำศีรษะตัวเองเหมือนเจ็บ แต่จริงๆ แล้วเธอรู้สึกอบอุ่นที่หนึ่งให้ความเป็นกันเองแบบพี่น้องอย่างนี้ แม้ว่าทั้งคู่จะถูกล้อเสมอว่าว่าทำงานเข้าขากันจบแทบจะกลายเป็นคู่รักอยู่แล้ว “ตั้งใจทำงานของเราดีกว่าเน๊าะ”
“เออ! มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ” หนึ่งยิ้มนิดๆ เคราบางๆ ที่เขาเลี้ยงไว้ทำให้หน้าดูเข้มขึ้น
ยิหวาเดินไปเก็บสัมภาษณ์นักร้องสาวคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลลูกดีเด่นของปี เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็หมุนตัวออกมาเพื่อจะให้ช่างภาพได้เก็บภาพเต็มๆ แต่ปรากฏว่าเท้าของเธอไปเหยียบชายผ้าอะไรสักอย่างเข้าและเจ้าของชายกระโปรงคงไม่รู้ตัวเมื่อก้าวไปข้างหน้าจะรั้งให้ชายกระโปรงตึงจน....
แคว๊กกกกกกกก
“กรี๊ดดดดดดด”
ยิหวาได้แต่อ้าปากค้างเมื่อเห็นชายกระโปรงของจีระนันท์ขาดเป็นริ้วและเศษผ้าสีเดียวกับชายกระโปรงยังอยู่ใต้รองเท้าส้นสูงของเธออยู่ แม้ว่าผ้าชิ้นนั้นจะเป็นระบายนั้นนอกของกระโปรงแต่มันก็สร้างความอับอายให้ดาราสาวจอมแอ๊บแบ๊ว เสียงกรี๊ดของจีระนัทน์ยังไม่เรียกสติของยิหวาได้เท่ากับแสงแฟรชวูบวาบของบรรดาทัพนักข่าวที่ยิงกล้องถ่ายภาพกันอย่างรวดเร็ว
‘ซวยแล้วไอ้หวา!’
“ยิหวา! เธอแกล้งฉัน!!!” จีจี้ชี้นิ้วมาที่หน้าของยิหวา ร่างเล็กสั่นระริกด้วยความโมโหแทบจะถลาเข้ามาตบหน้าของยิหวาแต่ผู้จัดการส่วนตัวเห็นเข้าทันจึงรั้งร่างดาราสาวไว้ได้ทัน
“อย่าทำอะไรต่ำๆ นะยะยัยจีจี้!!!”
“พี่อามี่ก็เห็นว่าจีจี้ถูกแกล้งก่อน!!!”
“ขอโทษค่ะ หวาไม่ได้ตั้งใจ” ยิหวารีบขอโทษทันที
“บอกมาเดี๋ยวนะยัยหวา เธอรับเงินใครมาแกล้งฉันแบบนี้” จีระนันท์ถามเสียงแหลมสูง “ค่ายเพลงตรงข้ามใช่ไหม!”
“ไม่ใช่!” ยิหวาเริ่มจะโมโห “ฉันไม่เคยรับเงินใครมาทำเรื่องทุเรศแบบนี้หรอก”
“งั้นก็ขี้อิจฉานะซิ! เธอมันจอมขี้อิจฉาฉันตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”
“จีจี้!!!” หวาแทบจะปราดเข้าไปตบปากที่พูดไม่รู้จักคิดแต่หนึ่งล็อกแขนสองข้างไว้ทัน “ก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ”
จากวงเล็กๆ เริ่มขยายใหญ่ขึ้น มีดารารุ่นเดียวกับจีระนันท์เข้ามาช่วยพูดเคลียร์ให้ เหมือนทุกอย่างจะจบลงด้วยดีถ้ามือของจีระนันท์ไม่คว้าแก้วแชมแปญสาดใส่ยิหวาเสียก่อน
“จีจี้!!!”
“พี่ชิงคะ! มันไม่ใช่อย่างที่พี่เห็นนะคะ”
“พี่รู้ว่าแกไม่ใช่คนแบบนั้น แต่พี่จำเป็นต้องทำ”
ยิหวาเดินวนไปวนในห้องทำงานของ บก.ชิงชัย ซึ่งมีท่าทีสงบนิ่งมากกว่าลูกน้องสาวหลายเท่านั้น เขาเองก็ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เรื่องดารากระทบกระทั้งกับนักข่าวเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีแทบทุกวันอยู่แล้ว แต่กรณีนี้มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด เขาอาจแค่ลงข่าวขอโทษดาราสาวคู่กรณีเพื่อให้ทุกอย่างยุติแต่....
“ก็ทางโน้นเขากล่าวหามารุนแรงมากแล้วหวาก็ไม่มีอะไรมาแก้ตัวนี่”
“หวาทำงานกับพี่มากี่ปีแล้วคะ” ยิหวาหยุดเดินจ้องเขม็งไปทางบก.อย่างไม่เกรงกลัว “คนอย่างหวานะเหรอรับเงินคนอื่นมาแกล้งจีจี้ มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”
“ก็มันมีคนส่งข้อมูลมาว่าหวาไปรับเงินจากบริษัทคู่แข่งของจีจี้จริงๆ นี่”