“แต่นั้นเป็นเงินค่าต้นฉบับบทความของหวาต่างหากละ”เธอส่ายหน้าหงุดหงิด “พี่ชิงก็ไม่เคยห้ามหวารับจ๊อบที่อื่นนี่”
“พี่ไม่ห้ามแต่พี่ก็เคยบอกว่าอย่าให้มีปัญหาไม่ใช่เหรอ” เขาเสยผมสั้นยุ่งๆ ของตัวเองแก้เซ็ง “บริษัทนั้นเป็นเจ้าของค่ายเพลงคู่แข่งของจีจี้นี่”
“ต้องให้อธิบายเท่าไหร่ถึงจะเข้าใจคะ บริษัทนั้นเป็นเจ้าค่ายเพลงก็จริง แต่หวาส่งบทความให้นิตยสารของเขาซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งของบริษัทฯ บทความนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแวดวงบันเทิงเลยด้วยแล้วทำไมพี่ชิงต้องสั่งพักงานหวาด้วยละ”
“พี่ก็แค่ให้หวาไปพักร้อน ไม่ได้ไล่ออกเสียหน่อย” เขาพยายามประนีประนอม
“พี่ทำแบบนี้พี่ไล่หวาออกไปเลยยังดีกว่า”
“ยิหวา!!พี่ไม่เคยสอนให้แกเป็นคนก้าวร้าวแบบนี้นะ!” คราวนี้บก.พูดเสียงเครียดขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าหวาอยากจะลาออกพี่ก็ไม่ว่าหรอกแต่ทำงานมาหลายปีเราควรเข้าใจธรรมชาติของแวดวงนี้ซิ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าวงการมายาเหรอ พี่ให้หวาไปพักไม่ใช่แค่เอาใจใครแต่อยากให้แกหัดรู้จักสงบสติอารมณ์ด้วย”
ยิหวามองดวงตาเด็ดเดี่ยวของชิงชัยแล้วก็ได้แต่รู้สึกเคว้งคว้างในอก เธอรู้สึกผิดที่ก้าวร้าวต่อหน้ารุ่นพี่ที่สอนเธอทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่นายจ้างกับลูกจ้างแต่มีความผูกพันแบบพี่น้องด้วย หลายครั้งหลายคราวที่เธอทำผิดเขาก็จะออกหน้ารับมือให้เสมอๆ แต่ครั้งนี้มันคงสาหัสเกินไปจริงๆ
“ก็ได้ค่ะ หวาจะลาออก”
“ยิหวา” ชิงชัยลากเสียงยาว “เอาเป็นว่าพี่ให้หวาหยุดงานซักเดือนหนึ่งถ้ากลับมาแล้วหวาอยากลาออกพี่ก็จะเซ็นใบลาให้ทันที”
“พี่ชิง”
“ไปได้แล้วพี่ยังมีงานอื่นต้องทำอีกเยอะ”
เมื่อโดนไล่แบบนี้แล้วยิหวาจึงได้แต่ยกมือไหว้แล้วเดินออกมา หนึ่ง-ช่างภาพหนุ่มยืนรออยู่ด้านนอกรอฟังข่าวเหมือนคนอื่นๆ อยู่นอกห้องพอเห็นยิหวาเดินคอตกออกมาก็พอเข้าใจ
“พี่ชิงให้หวาหยุดงานเดือนหนึ่ง” เธอพูดเบาๆ เดินลากเท้าไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“ก็ดีแล้วได้พักผ่อน” หนึ่งพูดแล้วถอนหายใจโล่งอก
“แต่หวาขอลาออก”
“เฮ้ย!!!!”
ทุกคนที่ได้ยินประสานเสียงพร้อมกัน
“เรื่องแค่นี้หวาลาออกเลยเหรอ” หนึ่งพูดออกมาอย่างตกใจ ปกติยิหวาเป็นคนเข้มแข็งเจอสถานการณ์เลวร้ายมาหลายรูปแบบก็ยังทนไหว ไม่น่าเชื่อว่าจะท้ออะไรกับเรื่องง่ายๆ แค่นี้ หรือมันสะสมมานานนับปีก็ไม่รู้
“แต่พี่ชิงไม่ให้หวาออก บอกให้หวาไปพักผ่อนสักเดือนค่อยกลับมาว่ากันใหม่”
“ก็ดีแล้ว” หนึ่งถอนหายใจโล่งอกอีกรอบ “ก็ทำอย่างที่พี่ชิงพูดนะดีแล้ว”
“ก็แสดงว่าทุกคนคิดว่าหวาทำผิดนะซิ”
“คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเขา ใครจะคิดยังไงก็ช่างเขา เอาเป็นว่าพวกเราอยู่ข้างหวาเราเชื่อว่าหวาไม่ทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว” หลายคนเข้ามาตบไหล่ให้กำลังใจยิหวา
แต่หัวใจเธอยังรู้สึกเจ็บแปลบและเคว้งคว้างยังไงไม่รู้ มือเรียวเก็บของใช้จำเป็นและกำลังเดินมาจะขึ้นรถเพื่อขับกลับบ้าน แต่เท้าก็ชะงักเมื่อเห็นร่างผอมบางของปลายรุ้งก้าวเร็วๆ เข้ามาพอดี
“ปลายมาทำอะไรที่นี่” ยิหวาถามอย่างแปลกใจ ปลายรุ้งมีงานแปลคอลัมน์ดาราต่างประเทศด้วยแต่ไม่ค่อยเข้ามาออฟฟิศเท่าไหร่นัก ในบริษัทของเธอมีทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสารในเครือหลายฉบับ
“ปลายมาประชุมกับบก.จ๊ะ” ปลายรุ้งจับมือยิหวาแล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะมันเย็นเฉียบ “หวาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“คงช็อกไปหน่อย” ยิหวาหัวเราะแหะๆ ออกมาแล้วก็เพิ่งสังเกตว่ากังยูยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของปลายรุ้ง “หวาตาลายเห็นกังยูที่นี่เหรอเนี่ย”
“นี่ผมเอง” กังยูหัวเราะเบาๆ “พอดีไปหาหวาที่บ้านเจอปลายกำลังจะมาที่นี่ก็มาพร้อมกัน”
“เหรอ” ยิหวาพยักหน้าเหนื่อยๆ
“ท่าทางหวาแย่มากเลย เราไปหาร้านดีๆ สบายๆ นั่งคุยกันก่อนไหม” ปลายรุ้งเสนอ
“เอาไงก็ได้” ใช่! ตอนนี้สมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นไปร้านอาหารชานเมืองดีกว่าครับ พี่กาอินเคยพาผมไปบรรยากาศดีนั่งสบาย”
“นี่เราต้องให้คนเกาหลีพาเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วเหรอ” ยิหวาพยายามจะหัวเราะแต่แสนจะฝืด
“เดี๋ยวปลายขับรถให้หวาดีกว่า” ปลายรุ้งส่ายหน้าไปมา “ร้านอยู่แถวไหนคะ กังยูขับรถนำไปก่อนเดี๋ยวปลายจะขับตามไปเอง”
“ได้ครับ”
กังยูบอกเส้นทางให้ปลายรุ้งก่อนทั้งหมดจะขึ้นรถและขับออกไป ระหว่างอยู่ในรถยิหวาเล่าเรื่องที่ออฟฟิศให้ปลายรุ้งฟัง ทุกครั้งที่เธอมีปัญหาปลายรุ้งจะเป็นคนแรกที่รับรู้ ความจริงหลังจากกลับงานประกาศผลฯ เมื่อวาน ยิหวาก็เล่าให้ปลายรุ้งฟังแล้วแต่ไม่คิดว่าวันนี้มันจะกลายเป็นแบบนี้
“มองโลกในแง่ดีหน่อยซิ แบบนี้ก็ดีแล้วหวาจะได้พักผ่อนไง”
ปลายรุ้งหัวเราะเบาๆ ขับรถออกมาได้ครึ่งชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงที่หมาย กังยูเลือกมุมดีๆ ไว้ให้สองสาวได้นั่งเรียบร้อยแล้ว ร้านอาหารไม่ใหญ่มากนักแต่ตบแต่งให้ชวนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสวน ดอกไม้นานาพรรณส่งกลิ่นหอมชื่นใจจนรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
“กังยูนี่เอาใจผู้หญิงเก่งจังนะ” ยิหวาอดหยอกเล่นไม่ได้ เธอรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
“ก็ไม่ทุกคนหรอกครับ”
กังยูหัวเราะเบาๆ ดวงตาที่มองยิหวาเปี่ยมไปด้วยความรักแต่ดูเหมือนว่ายิหวาจะไม่เคยสัมผัสความอ่อนหวานที่กังยูมอบให้ ความรู้สึกของกังยูนั้นปลายรุ้งเข้าใจเป็นอย่างดีเพราะเธอเองก็เป็นเช่นเดียวกัน มันเจ็บปวดแค่ไหนะ! มันเจ็บปวดเพียงใดที่เห็นคนที่ตัวเองรักมอบสายตาอ่อนไหวให้หญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“หวาทำงานมาเยอะจะได้พักผ่อนสบายๆ” ปลายรุ้งชวนคุยขณะที่อาหารลำเลียงมาบนโต๊ะ
“แต่มันไม่ควรเป็นแบบนี้” ยิหวาครวญ “ไม่รู้ใครใส่ความหวา แต่ก็ช่างเถอะพวกเขาคงรอโอกาสนี้มานานแล้วมั้ง”
ยิหวามองรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยต้นไม้แล้วรู้สึกสดชื่นมาก อารมณ์ขุ่นมัวละลายไปเกือบหมด แบบนี้ละมั้งที่เขาเรียกกันว่า ‘ธรรมชาติบำบัด’
“น่าจะเอาเวลามาคิดว่าจะไปเที่ยวไหนดีกว่านะครับ”
“จริงด้วย กังยูพูดถูก หวาอยากไปไหนละ”
“ตรงไหนก็ได้ที่มีต้นไม้เยอะๆ แบบนี้” ยิหวาพูดแล้วเคี้ยวข้าวแก้มตุ้ย “มีคอร์สดำนาที่ไหนบ้างอะ หวาจะไปเวิร์คชอป”
“หวานี่ก็...” ปลายรุ้งหัวเราะออกมา “ถ้าเปลี่ยนเป็นคอร์สเก็บองุ่นน่าจะเวิร์คกว่านะ”
“ทำไมต้องเป็นองุ่นละ” ยิหวาถามทั้งที่ตักข้าวกินอย่างอร่อย
“อ้าว! ก็หวามีลุงทำไร่องุ่นอยู่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
“เอ๊ะ!” ยิหวาสะอึกจนต้องรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มอึกๆ “จริงด้วยซิ ลุงไพบูลย์มีไร่องุ่นนี่นะ”
แค่คิดยิหวาก็ยิ้มกว้างออกมา ได้ไปนอนตีพุงแบบไม่ต้องเสียเงินในบรรยากาศสดชื่นให้สบายใจแบบนี้ กลับไปต้องปรึกษาคุณช่อแก้ว-คุณแม่เจ้าระเบียบเสียแล้ว
เอาเถอะ! ถือว่าเป็นความดีความชอบของยัยจีจี้ก็แล้วนะงานนี้ !!!
เสียงกดออดดังอยู่ไม่กี่ครั้งปลายรุ้งก็รีบมาเปิดประตูบ้านให้ชายหนุ่มลูกครึ่งเกาหลีทันที กังยูยิ้มจนตาหยีและมองเลยข้ามไหล่ของปลายรุ้งเข้ามาในบ้าน
“เข้ามาก่อนซิกังยู หวากำลังลงมาแล้วล่ะ”
“ครับ” กังยูยิ้มเขินๆ เดินเข้ามาในบ้านก็พบคุณช่อแก้วนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ เขายกมือไหว้ตามมารยาท
“มาแล้วเหรอจ๊ะกังยู” คุณช่อแก้วทักหนุ่มเกาหลีที่พบหน้ากันบ่อยครั้ง ทั้งกาอินและกังยูมักจะแวะเวียนมาที่บ้านเสมอๆ ความเรียบร้อยของกังยูเป็นที่ถูกใจคุณช่อแก้วมากๆ “เข้ามากินขนมรอหวาก่อนซิจ๊ะ”