ตอนที่10. เดินทาง

1495 คำ
“คุณผู้โดยสารครับ ถึงแล้วครับ”             “อ้อ...ขอบใจ”             ดร.อธิปัตย์ขยับตัวชะโงกหน้ามองมิเตอร์ค่าโดยสารแล้วหยิบธนบัตรยับๆ ส่งให้ก่อนลงจากรถแท็กซี่  หนุ่มใหญ่บิดตัวไล่ความขี้เกียจไปมาก่อนจะก้าวเข้ามาในคอนโดและตรงไปยั้งห้องพักของตนเอง   การเคาะประตูเพื่อเข้าห้องตัวเองนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง             เหมือนกับเมื่อครู่...เขาไม่ได้ฝันเห็นอดีตในวัยเด็กนานมากแล้ว   มันเป็นฉายซ้ำเป็นภาพขาวดำเสมอในยามที่เขาไม่ต้องการคิดถึงมัน         แต่เขาอยากคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า   ฌานเปิดประตูให้ดร.อธิปัตย์ก้าวเข้ามา  ในห้องยังคงสภาพ ‘รก’ เหมือนเมื่อตอนที่เขาออกไป             “ดร.คิดอะไรอยู่” ฌานเอ่ยถามก่อนยกกาแฟที่ดื่มได้ไม่กี่อึกขึ้นจิบ             “รู้สึกแปลกๆ ที่มีคนมาเปิดประตูให้เข้าห้องตัวเอง”  หนุ่มใหญ่โคลงศีรษะไปมา “เหมือนเราใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น”             “โชคร้ายหน่อยนะที่เป็นผม” ฌานหัวเราะในลำคอ “น่าจะเป็นสาวๆ สวยๆ ซึ่งระดับดร.คงหาได้ไม่ยาก”             “ถ้าหาได้ง่ายขนาดนั้นคุณก็คงไม่โสดเหมือนผมหรอก”        ดร.อธิปัตย์ศอกกลับเข้าให้แล้ววางกระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้ที่โต๊ะทำงาน    หยิบเอกสารที่ปริ๊นเตอร์ออกมาจากคอมพิวเตอร์ส่งให้ฌานอ่านดู             “ทุกอย่างเป็นปกติ”    ฌานขมวดคิ้ว             “ซึ่งคุณรู้สึกว่ามันไม่ปกติใช่ไหม”             ฌานพยักหน้ารับแทนคำตอบ “แต่ผมก็ยังสามารถอยู่ใต้แสงอาทิตย์ได้   เพียงแต่...”             “บางสิ่งอาจไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์” ดร.ยอมรับ             “แต่เพราะการทดลองของดร. ทำให้พวกอมนุษย์อย่างผมสามารถใช้ชีวิตเกือบจะปกติได้”             “เหมือนเป็นการยกย่องผมยังไงไม่รู้”          ดร.เสือกหนังสือบนโซฟาออกแล้วทิ้งตัวนอนเหยียดยาวตรงนั้น “เอาเป็นว่า...ผมเดาว่ามีคนที่มีอาจเหนือคุณก้าวเข้ามาในประเทศเล็กๆ นี่แล้ว     แต่ผมแค่ไม่คิดว่ามันจะส่งกระแสจิตไปได้ไกลขนาดนั้น”             “ต้องเป็นแวมไพร์ที่มีอำนาจสูงแน่ๆ”  ฌานพึมพำออกมา มีรายชื่อและใบหน้าของแวมไพร์บางตนโผล่เข้ามาในสมองแต่เขาก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมันให้เป็นการกดดันตัวเองเกินไป             “ดร.อยู่ที่นี่จะไม่ปลอดภัย”                        “ผมจะปลอดภัยถ้าเป็นประโยชน์ให้ฝ่ายตรงข้าม”     ดร.อธิปัตย์ยิ้มที่มุมปาก     กระดิกเท้าไปมาเล่นสบายอารมณ์             “คุณไม่ทำอย่างนั้นหรอก”             “อย่ามาเชื่อใจอะไรกับผม”     ดร.หยิบหนังสือ Play Boy มากางออกปิดหน้าตัวเอง “คุณก็รู้ๆ เท่าๆ ผมนั้นแหละ ว่าเลือดของคุณเป็นเซรุ่มที่ดีที่สุดสำหรับพวกมัน”             “ผมจะไปจากที่นี่”             “ไม่จำเป็นหรอกแค่คุณอาบน้ำให้สะอาดๆ อย่าให้ใครได้กลิ่นคุณก็พอ”   เขาหัวเราะในลำคอ “ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากผม    ผมจะจะขอแนะนำว่ากลับไปอยู่ที่ไร่ของคุณไพบูลย์ดีที่สุด    รอและรอจนกว่าผมจัดการเรื่องเซรุ่มตัวใหม่ให้สำเร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที    เพราะถึงตอนนั้นคุณจะต้องเป็นฝ่ายไล่ล่าพวกมันไม่ใช่ให้พวกมันมาไล่ล่าคุณหรือผมอย่างนี้”             ฌานนิ่งเงียบเหมือนครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ อ่านเอกสารที่ดร.ส่งให้ดูอีกครั้ง             “การคิดอะไรซับซ้อนเกินไปก็ใช่ว่าจะส่งผลดี” ดร.เอ่ยทั้งทีหนังสือปิดหน้า “คุณทำตามที่ผมบอกเถอะ เพราะมันก็ไม่นานเท่าไหร่นัก”             “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องลากลับเสียที”   ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปล้างถ้วยกาแฟของตนเองไว้ที่เดิม             “โชคดี ผมไม่ไปส่งนะ”   ดร.อธิปัตย์โบกมือไปมาทั้งที่ยังนอนเหยียดขาท่าเดิม    เมื่อเขาได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูแล้วเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง                “จะไปก็ไปจะมาก็มาแฮะ”            เขาส่ายหน้าแล้วลุกไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน     เขาใส่รหัสเข้าไปอ่านข้อมูลสำคัญแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ แต่ยิ้มออกมา             “ไม่นานหรอกฌาน...ไม่นานจริงๆ”          ฌานหยิบแว่นกันแดดสีชาออกมาสวมแล้วเดินตรงไปเพื่อเรียกรถแท็กซี่    เขาคงต้องกลับไร่ในวันนี้แล้ว        ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดมีการส่งยานอวกาศค้นหากาแลตซี่อื่นได้   แต่เรื่องของแวมไพร์ยังเป็นปริศนาที่ไม่ค่อยมีกล้าเอ่ยปากพูดว่า “เชื่อ” หรือ “ไม่”   พวกเขาเขาอาจจะเชื่อเรื่องวิญญาณหลังความตายแต่กับแวมไพร์แล้ว...ไม่ใช่             เขาก็ไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์นักหรอก    แต่มันเป็นไปแล้วและ...วิธียกเลิกการเป็นแวมไพร์ก์คือความตายเท่านั้น      เขาไม่ได้หลงใหลในอำนาจหรือความเป็นอมตะ      แต่เขามีบางสิ่งที่ต้องทำและต้องใช้พลังของมันด้วย  หลังจากเขาเดินทางมาจอดตั๋วเครื่องบินกลับสถานที่ซ่อนตัวซึ่งเป็นเป็นไร่องุ่นอยู่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว         เขาก็อดคิดถึงใบหน้าหวานแต่ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นของนักข่าวสาวคนนั้นใบหน้าเธอละม้ายคล้ายอดีตคนรักของเขา“เมลานี” แต่ลักษณะนิสัยนั้นแสนจะตรงข้าม    ยิหวามีความสดใสร่าเริงเหมือนม้าป่า         ในขณะที่เมลานีเป็นหญิงสาวเรียบร้อยและอยู่ในโอวาท   แต่ความตายก็พรากเธอไปจากอ้อมกอดของเขาตลอดกาล      เขาอาจจะมีหญิงสาวมากมายที่รายล้อมแต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาอบอุ่นหัวใจได้เท่ากับเมลานีจนกระทั้งเขามาเจอ …….             “ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะยิหวา”             เพียงแค่คิด...เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว .................. หญิงสาวมองตัวเองในกระจกแล้วนึกคำพูดไม่ออก   เธอเหลือบมองเพื่อนสาวและมารดาที่ยืนอยู่ด้านหลัง    ทั้งคู่ต่างยิ้มกับผลงานของตัวเอง             “หน้าตาต้องแต่งเสียบ้างโทรมจะตาย”      คุณช่อแก้วบ่น “ผมนี่...คิดจะไว้ยาวก็ต้องดูแลบ้างนะ”             “ก็หวาแค่ไม่รู้จะตัดทรงไหนนี่คะ”    ยิหวาประท้วงเบาๆ แต่ก็พอใจกับผมยาวเหยียดตรงที่ถูกดัดเป็นลอนและรวบขึ้นเป็นมวยมีไรผมลงมาเคลียทำให้ดูเป็นสาวหวานขึ้นมาทันที             “ลุกขึ้นได้แล้วเดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันหรอก”     ปลายรุ้งจับไหล่สองข้างของยิหวาให้ยืนขึ้น วันนี้ยิหวาสวมเดรสสีชมพูอมส้มยาวคลุมเข่าและมีเสื้อคลุมตาข่ายสีขาวทับอีกชั้นหนึ่ง                    “มันไม่เวอร์ไปหน่อยเห  ยิหวาดูตัวเองแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ปกติเธอไปทำข่าวทำสัมภาษณ์บ่อยๆ เพราะเป็นงานหนังสือพิมพ์ไม่ต้องโชว์หน้าตาตัวเองจึงไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องการแต่งตัวนัก             “ใส่เสื้อขาวกระโปรงดำเดี๋ยวก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กเสิร์ฟนะซิ”        ปลายรุ้งแกล้งบีบจมูกยิหวาเบาๆ  ”ชุดนี้นะโอเคแล้ว ปลายกับแม่ช่วยกันตัดเลยนะ”             “แม่ก็นึกอยู่เหมือนกันจะทำยังไงให้หวาลองใส่ดู”    ท่าทางคุณช่อแก้วจะปลื้มลูกสาวตัวเองไม่น้อย “ไปทำงานได้แล้วไป!”             ยิหวาถอนหายใจหนักๆ เมื่อตัดสินใจยอมให้เพื่อนและแม่จับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาบาร์บี้แล้วก็คงได้แต่ทำใจยอมรับ   เธอหยิบกระเป๋าถืออีกใบที่ใช้มานานพอๆ กับย่ามใบเก่าแล้วเดินมาขึ้นรถโพลค์เต่าสีเขียวอ่อนมุ่งหน้าไปงานประกาศผลงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้       แม้ยิหวาจะทำงานข่าวสายบันเทิงแต่มีไม่กี่ครั้งที่ไปไปทำข่าวใหญ่ๆ แบบนี้    แต่อย่างที่ปลายรุ้งพูดก็ถูก เสื้อขาวกระโปรงดำเหมือนพนักงานเสิร์ฟจริงๆ นั้นแหละ    สงสัยว่าต้องให้พี่กาอินช่วยเรื่องเสื้อผ้าซะแล้ว       ยิหวามาถึงงานก่อนเวลาซึ่งเป็นปกติของเธอเอง       หญิงสาวชอบมาก่อนนัดเพื่อตระเตรียมงานขงตนเองไม่ให้บกพร่อง      มือเรียวหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาโทรตามหาช่างภาพรุ่นพี่             “ใกล้แล้วที่รัก...”             “แหวะ! ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย!มาถึงแล้วโทรหาหวานะ”     ยิหวากดปิดโทรศัพท์เสียงลมที่พัดแรงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าช่างภาพหนุ่มที่เธอสนิทสนมจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเขากับเธอกิ๊กกันอยู่บนมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์ของเขาแน่ๆ      ยิหวาหลบเข้าห้องน้ำเพื่อดูสภาพตัวเองอีกครั้งและอดทาลิปมันเพิ่มไม่ได้        เธอติดใช้ลิปมันมากๆ ไม่แต่งหน้าไม่เป็นไรแต่ต้องใช้ลิปมันเมื่อออกมาจากห้องน้ำ     ก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาทางเธอ      ความร้อนแรงที่ได้รับทำให้เธอเหลียวมองไปทางจุดนั้นทันที           
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม