“คุณผู้โดยสารครับ ถึงแล้วครับ”
“อ้อ...ขอบใจ”
ดร.อธิปัตย์ขยับตัวชะโงกหน้ามองมิเตอร์ค่าโดยสารแล้วหยิบธนบัตรยับๆ ส่งให้ก่อนลงจากรถแท็กซี่ หนุ่มใหญ่บิดตัวไล่ความขี้เกียจไปมาก่อนจะก้าวเข้ามาในคอนโดและตรงไปยั้งห้องพักของตนเอง การเคาะประตูเพื่อเข้าห้องตัวเองนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
เหมือนกับเมื่อครู่...เขาไม่ได้ฝันเห็นอดีตในวัยเด็กนานมากแล้ว มันเป็นฉายซ้ำเป็นภาพขาวดำเสมอในยามที่เขาไม่ต้องการคิดถึงมัน แต่เขาอยากคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า ฌานเปิดประตูให้ดร.อธิปัตย์ก้าวเข้ามา ในห้องยังคงสภาพ ‘รก’ เหมือนเมื่อตอนที่เขาออกไป
“ดร.คิดอะไรอยู่” ฌานเอ่ยถามก่อนยกกาแฟที่ดื่มได้ไม่กี่อึกขึ้นจิบ
“รู้สึกแปลกๆ ที่มีคนมาเปิดประตูให้เข้าห้องตัวเอง” หนุ่มใหญ่โคลงศีรษะไปมา “เหมือนเราใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น”
“โชคร้ายหน่อยนะที่เป็นผม” ฌานหัวเราะในลำคอ “น่าจะเป็นสาวๆ สวยๆ ซึ่งระดับดร.คงหาได้ไม่ยาก”
“ถ้าหาได้ง่ายขนาดนั้นคุณก็คงไม่โสดเหมือนผมหรอก” ดร.อธิปัตย์ศอกกลับเข้าให้แล้ววางกระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้ที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารที่ปริ๊นเตอร์ออกมาจากคอมพิวเตอร์ส่งให้ฌานอ่านดู
“ทุกอย่างเป็นปกติ” ฌานขมวดคิ้ว
“ซึ่งคุณรู้สึกว่ามันไม่ปกติใช่ไหม”
ฌานพยักหน้ารับแทนคำตอบ “แต่ผมก็ยังสามารถอยู่ใต้แสงอาทิตย์ได้ เพียงแต่...”
“บางสิ่งอาจไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์” ดร.ยอมรับ
“แต่เพราะการทดลองของดร. ทำให้พวกอมนุษย์อย่างผมสามารถใช้ชีวิตเกือบจะปกติได้”
“เหมือนเป็นการยกย่องผมยังไงไม่รู้” ดร.เสือกหนังสือบนโซฟาออกแล้วทิ้งตัวนอนเหยียดยาวตรงนั้น “เอาเป็นว่า...ผมเดาว่ามีคนที่มีอาจเหนือคุณก้าวเข้ามาในประเทศเล็กๆ นี่แล้ว แต่ผมแค่ไม่คิดว่ามันจะส่งกระแสจิตไปได้ไกลขนาดนั้น”
“ต้องเป็นแวมไพร์ที่มีอำนาจสูงแน่ๆ” ฌานพึมพำออกมา มีรายชื่อและใบหน้าของแวมไพร์บางตนโผล่เข้ามาในสมองแต่เขาก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมันให้เป็นการกดดันตัวเองเกินไป
“ดร.อยู่ที่นี่จะไม่ปลอดภัย”
“ผมจะปลอดภัยถ้าเป็นประโยชน์ให้ฝ่ายตรงข้าม” ดร.อธิปัตย์ยิ้มที่มุมปาก กระดิกเท้าไปมาเล่นสบายอารมณ์
“คุณไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“อย่ามาเชื่อใจอะไรกับผม” ดร.หยิบหนังสือ Play Boy มากางออกปิดหน้าตัวเอง “คุณก็รู้ๆ เท่าๆ ผมนั้นแหละ ว่าเลือดของคุณเป็นเซรุ่มที่ดีที่สุดสำหรับพวกมัน”
“ผมจะไปจากที่นี่”
“ไม่จำเป็นหรอกแค่คุณอาบน้ำให้สะอาดๆ อย่าให้ใครได้กลิ่นคุณก็พอ” เขาหัวเราะในลำคอ “ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากผม ผมจะจะขอแนะนำว่ากลับไปอยู่ที่ไร่ของคุณไพบูลย์ดีที่สุด รอและรอจนกว่าผมจัดการเรื่องเซรุ่มตัวใหม่ให้สำเร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที เพราะถึงตอนนั้นคุณจะต้องเป็นฝ่ายไล่ล่าพวกมันไม่ใช่ให้พวกมันมาไล่ล่าคุณหรือผมอย่างนี้”
ฌานนิ่งเงียบเหมือนครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ อ่านเอกสารที่ดร.ส่งให้ดูอีกครั้ง
“การคิดอะไรซับซ้อนเกินไปก็ใช่ว่าจะส่งผลดี” ดร.เอ่ยทั้งทีหนังสือปิดหน้า “คุณทำตามที่ผมบอกเถอะ เพราะมันก็ไม่นานเท่าไหร่นัก”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องลากลับเสียที” ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปล้างถ้วยกาแฟของตนเองไว้ที่เดิม
“โชคดี ผมไม่ไปส่งนะ” ดร.อธิปัตย์โบกมือไปมาทั้งที่ยังนอนเหยียดขาท่าเดิม เมื่อเขาได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูแล้วเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“จะไปก็ไปจะมาก็มาแฮะ” เขาส่ายหน้าแล้วลุกไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน เขาใส่รหัสเข้าไปอ่านข้อมูลสำคัญแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ แต่ยิ้มออกมา
“ไม่นานหรอกฌาน...ไม่นานจริงๆ”
ฌานหยิบแว่นกันแดดสีชาออกมาสวมแล้วเดินตรงไปเพื่อเรียกรถแท็กซี่ เขาคงต้องกลับไร่ในวันนี้แล้ว ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดมีการส่งยานอวกาศค้นหากาแลตซี่อื่นได้ แต่เรื่องของแวมไพร์ยังเป็นปริศนาที่ไม่ค่อยมีกล้าเอ่ยปากพูดว่า “เชื่อ” หรือ “ไม่” พวกเขาเขาอาจจะเชื่อเรื่องวิญญาณหลังความตายแต่กับแวมไพร์แล้ว...ไม่ใช่
เขาก็ไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์นักหรอก แต่มันเป็นไปแล้วและ...วิธียกเลิกการเป็นแวมไพร์ก์คือความตายเท่านั้น เขาไม่ได้หลงใหลในอำนาจหรือความเป็นอมตะ แต่เขามีบางสิ่งที่ต้องทำและต้องใช้พลังของมันด้วย หลังจากเขาเดินทางมาจอดตั๋วเครื่องบินกลับสถานที่ซ่อนตัวซึ่งเป็นเป็นไร่องุ่นอยู่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็อดคิดถึงใบหน้าหวานแต่ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นของนักข่าวสาวคนนั้นใบหน้าเธอละม้ายคล้ายอดีตคนรักของเขา“เมลานี” แต่ลักษณะนิสัยนั้นแสนจะตรงข้าม ยิหวามีความสดใสร่าเริงเหมือนม้าป่า ในขณะที่เมลานีเป็นหญิงสาวเรียบร้อยและอยู่ในโอวาท แต่ความตายก็พรากเธอไปจากอ้อมกอดของเขาตลอดกาล เขาอาจจะมีหญิงสาวมากมายที่รายล้อมแต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาอบอุ่นหัวใจได้เท่ากับเมลานีจนกระทั้งเขามาเจอ …….
“ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะยิหวา”
เพียงแค่คิด...เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
..................
หญิงสาวมองตัวเองในกระจกแล้วนึกคำพูดไม่ออก เธอเหลือบมองเพื่อนสาวและมารดาที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่ต่างยิ้มกับผลงานของตัวเอง
“หน้าตาต้องแต่งเสียบ้างโทรมจะตาย” คุณช่อแก้วบ่น “ผมนี่...คิดจะไว้ยาวก็ต้องดูแลบ้างนะ”
“ก็หวาแค่ไม่รู้จะตัดทรงไหนนี่คะ” ยิหวาประท้วงเบาๆ แต่ก็พอใจกับผมยาวเหยียดตรงที่ถูกดัดเป็นลอนและรวบขึ้นเป็นมวยมีไรผมลงมาเคลียทำให้ดูเป็นสาวหวานขึ้นมาทันที
“ลุกขึ้นได้แล้วเดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันหรอก” ปลายรุ้งจับไหล่สองข้างของยิหวาให้ยืนขึ้น วันนี้ยิหวาสวมเดรสสีชมพูอมส้มยาวคลุมเข่าและมีเสื้อคลุมตาข่ายสีขาวทับอีกชั้นหนึ่ง
“มันไม่เวอร์ไปหน่อยเห ยิหวาดูตัวเองแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ปกติเธอไปทำข่าวทำสัมภาษณ์บ่อยๆ เพราะเป็นงานหนังสือพิมพ์ไม่ต้องโชว์หน้าตาตัวเองจึงไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องการแต่งตัวนัก
“ใส่เสื้อขาวกระโปรงดำเดี๋ยวก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กเสิร์ฟนะซิ” ปลายรุ้งแกล้งบีบจมูกยิหวาเบาๆ ”ชุดนี้นะโอเคแล้ว ปลายกับแม่ช่วยกันตัดเลยนะ”
“แม่ก็นึกอยู่เหมือนกันจะทำยังไงให้หวาลองใส่ดู” ท่าทางคุณช่อแก้วจะปลื้มลูกสาวตัวเองไม่น้อย “ไปทำงานได้แล้วไป!”
ยิหวาถอนหายใจหนักๆ เมื่อตัดสินใจยอมให้เพื่อนและแม่จับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาบาร์บี้แล้วก็คงได้แต่ทำใจยอมรับ เธอหยิบกระเป๋าถืออีกใบที่ใช้มานานพอๆ กับย่ามใบเก่าแล้วเดินมาขึ้นรถโพลค์เต่าสีเขียวอ่อนมุ่งหน้าไปงานประกาศผลงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้ แม้ยิหวาจะทำงานข่าวสายบันเทิงแต่มีไม่กี่ครั้งที่ไปไปทำข่าวใหญ่ๆ แบบนี้ แต่อย่างที่ปลายรุ้งพูดก็ถูก เสื้อขาวกระโปรงดำเหมือนพนักงานเสิร์ฟจริงๆ นั้นแหละ สงสัยว่าต้องให้พี่กาอินช่วยเรื่องเสื้อผ้าซะแล้ว ยิหวามาถึงงานก่อนเวลาซึ่งเป็นปกติของเธอเอง หญิงสาวชอบมาก่อนนัดเพื่อตระเตรียมงานขงตนเองไม่ให้บกพร่อง มือเรียวหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาโทรตามหาช่างภาพรุ่นพี่
“ใกล้แล้วที่รัก...”
“แหวะ! ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย!มาถึงแล้วโทรหาหวานะ”
ยิหวากดปิดโทรศัพท์เสียงลมที่พัดแรงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าช่างภาพหนุ่มที่เธอสนิทสนมจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเขากับเธอกิ๊กกันอยู่บนมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์ของเขาแน่ๆ ยิหวาหลบเข้าห้องน้ำเพื่อดูสภาพตัวเองอีกครั้งและอดทาลิปมันเพิ่มไม่ได้ เธอติดใช้ลิปมันมากๆ ไม่แต่งหน้าไม่เป็นไรแต่ต้องใช้ลิปมันเมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาทางเธอ ความร้อนแรงที่ได้รับทำให้เธอเหลียวมองไปทางจุดนั้นทันที