“เหรอ...”จีระนันท์เผลอยิ้มเจ้าเล่ห์
“เธอไปทำอะไรก็ทำก่อนไป ฉันจะเลือกดูชุดอื่นอีกสักชุดสองชุด”
พนักงานสาวทำหน้างงๆ แต่เมื่อถูกไล่จึงต้องแสร้งเดินไปทางอื่น จีระนันท์เดินเข้ามานั่งข้างๆ กังยูที่เปิดนิตยสารดูฆ่าเวลา
“คุณเป็นน้องชายพี่อินเหรอคะ” จีระนันท์เอ่ยถามพลางส่งสายตาหวานเชื่อมให้
“ครับ...แต่ส่วนใหญ่ผมจะอยู่เกาหลีกับคุณพ่อไม่ค่อยได้มาเมืองไทยนัก” เขายิ้มที่มุมปาก ‘อิน’ คือชื่อไทยของพี่สาวของเขาแต่ชื่อจริงคือ ‘กาอิน’ แต่พี่สาวเขาก็ชอบให้เรียกว่า ‘อิน’มากกว่า
“จีจี้เป็นลูกค้าประจำของพี่อินแต่ไม่ยักรู้ว่าพี่อินมีน้องชาย ‘หล่อ’ ขนาดนี้”
กังยูเลิกคิ้วเล็กน้อยไม่คิดว่าจะถูกชมต่อหน้าแบบนี้เขายิ้มน้อยๆ แบบเขินๆ
หลังจากสูดมะเร็งเข้าไปหลายอึกอามี่ก็ถอนหายใจหนักๆ นี่เขาพยายามเลิกบุหรี่หลายครั้งแล้วแต่เพราะยังต้องทำงานกับยัยจีจี้อยู่นี่แหละ ยิ่งเครียดก็ยิ่งสูบสงสัยต้องเลิกทำงานกับจีจี้แล้วนั้นแหละเขาถึงจะเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องยอมรับว่าจีจี้เป็นดาราหน้าใสที่เรียกเงินเข้ากระเป๋าเขาจนตุง ถ้าไม่นับนิสัยขี้เอาใจคิดอะไรเข้าข้างตัวเองแถมยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนขี้อิจฉาด้วยละก็ จีระนันท์หรือจีจี้ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เอ...หรือนับไปนับมาข้อเสียจะเยอะกว่าข้อดีหว่า?
ขณะที่หมุนตัวก้าวออกมาจากซอกตึกสายตาของผู้จัดการหนุ่มหัวใจสาวก็แลเห็นร่างเพรียวลมของนักข่าวสาวเดินสะพายย่ามสีแดงเดินตรงมาทางร้าน ยิหวาเงยหน้าจากทางเดินก็เห็นร่างที่คุ้นตาเธอกระตุกยิ้มที่มุมปากทันที
“พี่อามี่มาทำอะไรแถวนี้ละคะ” ‘โลกมันแคบหรือโลกมันกลมดีละเนี่ย ถ้าเจอยัยอามี่ที่ไหนก็ต้องเจอจีจี้ที่นั่น’ หญิงสาวบ่นอุบอิบในใจแต่ก็ยกมือไหว้ตามมารยาท
“ฉันน่าจะเป็นคนถามหล่อนมากกว่านะยะ”
“หวานัดเพื่อนไว้ที่นี่คะ” ยิหวาเชิดหน้าตอบ คงคิดว่าคนอย่างเธอคงไม่มีปัญญาซื้อชุดหรูหราของร้านพี่อินแน่ๆ แต่ก็ช่างเถอะ! เธอไม่อยากสนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้เท่าไหร่หรอก
“นี่ยิหวา! ฉันขอเตือนหล่อนนะยะว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับจีจี้นักอีกแค่เดือนเศษๆ จีจี้ก็จะเป็นนักร้องแล้วฉันไม่อยากให้มีข่าวเสื่อมเสียอีก”
“พี่อามี่น่าจะไปบอกเด็กพี่มากกว่ามาบอกหวานะคะ” เธอส่ายหน้าระอาใจ “ถ้าคนเราทำอะไรดีๆ ก็ไม่มีเรื่องไม่ดีให้ขุดคุ้ยหรอกคะ”
“ยัยยิหวา!!!”
“ขอตัวนะคะ” ยิหวาผลักบานประตูเข้ามาก็เห็นชายหนุ่มทำหน้าเลียนๆ นั่งอยู่ที่โซฟา ข้างๆ กันมีดาราสาวหน้าใสเบียดกระแซะจนเขาแทบจะตกโซฟาอยู่แล้ว
“กังยู”
“ยิหวา” กังยูดีใจยิ้มกว้างออกมาแล้วรีบลุกขึ้นยืนจนทำให้ร่างบางเซถลาลงซบโซฟาแต่ก็รีบยันตัวลุกขึ้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มาแล้วเหรอ”
“รถติดนะแล้วกังยูมานานหรือยัง” ยิหวาถามพลางปรายตามองมาทางจีระนันท์ “สวัสดีคะคุณจีจี้มาเลือกชุดไปออกงิ้วเอ๊ย!ออกงานหรือคะ”
“รู้อยู่แล้วอย่ามาแกล้งไม่รู้หน่อยเลยคะคุณยิหวา” จีจี้จีบปากจีบคอแสร้งทำพูดดีเพราะว่าอยู่ต่อหน้าหนุ่มหล่อหรอกนะ
“จีจี้เสร็จหรือยัง เราต้องไปถ่ายMV เพลงโปรโมตอีกนะจ๊ะ” อามี่รีบเข้ามาขวางเพราะไม่อยากให้ดาราในสังกัดมีเรื่องกับนักข่าวปากร้ายนี่อีก
“เสร็จก็ได้ค่ะ” เธอเชิดหน้าขึ้น “จีจี้ไม่อยากให้ทุกคนต้องรอ จีจี้เป็นมืออาชีพจะทำอะไรต้องมีความรับผิดชอบและสามัญสำนึกที่ดีค่ะ”
จีระนันท์แขวะยิหวาเสร็จก็หันไปโปรยยิ้มหวานให้กังยูอีกครั้ง “แล้วอย่าลืมเมล์หาจีจี้นะคะ”
“คะ...ครับ” กังยูถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจีระนันท์เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งและออกมาอีกทีก็ยิ้มส่งสายตาหวานให้เขาอีก เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกพร้อมร่างของกาอินและปลายรุ้งที่หอบช่อดอกไม้เข้ามาพร้อมกัน
“อ้าวจีจี้! กลับแล้วจ๊ะ” ‘นึกว่ากลับไปตั้งนานแล้ว’ กาอินทักตามมารยาท
“ค่ะ จีจี้มางานที่อื่นไว้คราวหน้าจะแวะมาใหม่ ฝากดูแลชุดให้จีจี้ด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาจ๊ะ”
เมื่อจีระนันท์กับผู้จัดการก้าวออกไปขึ้นรถยนต์ของตนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในร้านจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเกือบจะพร้อมกัน ทำให้กังยูหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วรับดอกกุหลาบช่อใหญ่จากปลายรุ้งมาช่วยถือ
“ไปเหมาดอกไม้มาอีกแล้วหรือครับพี่กาอิน” กังยูทักอย่างเข้าใจพี่สาว เวลาเครียดๆ เธอจะชอบจัดดอกไม้ ในห้องเสื้อนี้จึงอบอวลด้วยดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลอดเวลา
“ปลายไปเจอพี่กาอินที่ไหนอ่ะถึงได้เข้ามาพร้อมกันได้” ยิหวาทักแล้วรินน้ำส่งให้เจ้าของห้องเสื้อและเพื่อนสาว
“ใกล้ๆ นี่แหละ ปลายเดินเล่นคิดอะไรมาเรื่อยเปื่อยเจอพี่กาอินทักเข้าพอดีก็เลยช่วยกันเลือกดอกไม้มาจ๊ะ” ปลายรุ้งยิ้มบางๆ “กังยูสบายดีนะ ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว”
“งานที่โซลยุ่งๆ เลยไม่ได้มาที่นี่เลย” เขายิ้มตอบแต่สายตาจับจ้องที่ยิหวามากกว่า
“กังยูไม่อยู่หนูปลายเค้าเขียนเพลงรักไว้รอตั้งเป็นสิบๆ เพลง” ยิหวาแซวออกมาเล่นเอาปลายรุ้งหน้าแดง
“จริงเหรอ” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มหัวเราะร่า ไม่ได้ใส่ใจหรือจริงจังกับคำพูดล้อเล่นของยิหวานัก
“ไม่ได้แค่เขียนเพลงรักน่ะเขียนนิยายจบเป็นเล่มๆ พี่อ่านแล้วเห็นหน้าพระเอกเป็นกังยูเลยล่ะ” คราวนี้กาอินเสริมทัพบ้างทำให้เอาปลายรุ้งแดงไปทั้งตัวจนต้องแสร้งลุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำ “ใครจะไปเหมือนหวาล่ะมีแต่เรื่องทุกวี่วัน”
“มาลงที่หวาอีกจนได้” ยิหวาหัวเราะ
“ก็พี่เป็นห่วงเลยอยากเตือนไว้วงการนี้มันฉาบฉวยไม่เหมาะกับหวานักหรอก” คราวนี้น้ำเสียงกาอินเคร่งเครียดจนยิหวารู้สึกได้
“หวาเข้าใจ...หวาก็ว่าจะหาสมัครงานที่อื่นอยู่เหมือนกันค่ะ”
“งานสายอื่นไม่ใช่งานที่อื่น...หวาเป็นคนมีความสามารถน่าจะหางานที่ตรงตามบุคลิกของหวาได้” กาอินแนะนำ “ดูอย่างปลายซิ! บุคลิกเค้าเรียบร้อยก็ทำงานด้านหนังสือเป็นนักแปล,นักเขียนแล้วก็แต่งเพลงอีก”
“อย่างปลายเค้าเรียกพรสวรรค์ค่ะพี่กาอิน” ยิหวาหันไปทางกังยู “ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วกวาดรางวัลเพียบเลย แล้วถ้าไม่มีปลาย-หวาคงไม่ได้เจอกังยูกับพี่กาอินหรอกคะ”
“เกินไปแล้วจ๊ะหวา” ปลายรุ้งได้ยินที่ยิหวาพูดพอดีที่เธอเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ก็มันจริงนี่” ยิหวายื่นหน้ามาทางเพื่อนรัก “ก็เธอได้ทุนไปเรียนภาษาที่เกาหลีตั้งหกเดือนถึงได้เจอกังยูแล้วพวกเราทั้งหมดถึงได้เป็นเพื่อนกันไง”
“จริงด้วยซินะ” กังยูหัวเราะเบาๆ “นานๆ เจอกันพร้อมหน้าแบบนี้ต้องฉลองแล้วละ”
“นั้นซิ! แบบนี้ต้องฉลอง!” ยิหวาดีดนิ้ว “เอาร้านไหนดีที่มีทั้งเนื้อย่างเกาหลีกับส้มตำรสแซ่บๆ บ้างละ”
ข้อเสนอของยิหวาทำเอาทุกคนหัวเราะร่าออกมา กาอินโบกมือห้ามทัพก่อนที่เมนูประหลาดๆ จะหลุดออกมาจากปากของยิหวาอีก
“วันศุกร์ต้นเดือนแบบนี้ออกไปร้านไหนก็คนแน่น ไปกินข้าวบ้านหวาไม่ดีกว่าเหรอคะ” ปลายรุ้งเสนอ “เราแวะซูปเปอร์ฯ ซื้ออะไรเข้าไปทำกินกันจะได้นั่งคุยสบายๆ ไม่ต้องกังวลอะไรด้วย”
“ความคิดของปลายนี่แจ่มมากเลยจ๊ะ” กาอินเห็นด้วยแล้วหลิวตามาทางยิหวา “ดูเหมือนลูกสาวเจ้าของบ้านจะลืมไปว่าคุณช่อแก้วทำอาหารได้อร่อยเด็ดกว่าร้านไหนนะเนี่ย”
“ไอ้เรื่องหญิงๆ อย่าเอามาพูดกับหวาได้ไหมคะ” ยิหวากอดอกทำหน้างอน “ใครจะไปน่ารักเท่าปลายรุ้งได้เล่า”
“ยอมรับความจริงก็ดีแล้วนี่” กาอินหัวเราะแล้วเรียกพนักงานมาเก็บดอกไม้แช่ในตู้เย็นไว้ก่อน “เดี๋ยวเรามูฟกันเลยดีกว่านะ พี่ไม่ละคิดถึงคุณช่อแก้วจริงๆ”
“นี่ๆ รู้สึกไหมว่าทุกคนพูดเหมือนแม่ของหวาเป็นแม่ของทุกคนอ่ะคะ”
“อ้าว!หวาไม่รู้เหรอว่าเราน่ะเด็กเก็บมาเลี้ยงแต่พวกพี่นี่ลูกแท้ๆ เลยนะ”
“พี่กาอิน!!!”
เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังประสานขึ้นในห้องเสื้อสุดหรูกลางกรุง สายตาของกังยูพราวระยับเมื่อมองที่ใบหน้าสดใสของยิหวาโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่ที่เฝ้ามองอย่างอ่อนหวาน แม้จะเจ็บปวดยามที่เห็นคนที่ตัวเองรักมองหญิงอื่นก็ตามที ปลายรุ้งได้แต่ยกมือทาบที่หน้าอกบอกใจไม่ให้เจ็บเพราะทั้งสองคนคือเพื่อนรักของเธอ
คำว่า”เพื่อน”จะไม่ต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง