‘ดร. อธิปัตย์’ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเขาอยู่จนต้องเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เขาถึงกับต้องถอนแว่นสายตาของตนออกขยี้ตาตัวเองเพราะไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“จะไม่เชิญให้นั่งหรือครับ”
“เอ่อ...ถ้าคิดว่านั่งที่นี่ได้ก็เอาซิ” ดร. อธิปัตย์ตอบอย่างงุนงง เขาชอบนั่งทำงานในร้านกาแฟใกล้ตึกคณะของมหาวิทยาลัยเสมอๆ “ผมไม่คิดว่าคุณจะมาถึงที่นี่”
“ผมก็คิดอย่างนั้น...แต่การโทรศัพท์หรืออีเมล์คงไม่เหมาะกับเรื่องที่ผมจะพูดนัก” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามแล้วทรุดตัวลงนั่ง พนักงานสาวเข้ามายื่นเมนูให้อย่างรู้หน้าที่
“เอาอะไรก็ได้ที่หวานๆ พ่อหนุ่มคนนี้เป็นโรคขาดความหวานในชีวิต” ดร.อธิปัตย์ยิ้มเหมือนจะหัวเราะทำให้ใบหน้าเขาดูอ่อนโยนลงแม้ว่าจะมีผมสีดอกเลาแล้วก่อนวัยก็ตามที “หรือว่าคุณอยากได้ผ้าเช็ดผมสักผืน”
“ผมดื่มเหมือนดร.จะดีกว่า” เขากระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนยกมือปัดผมตัวเองแรงๆ ให้น้ำฝนที่เกาะเส้นผมยาวประบ่าของตนกระเซ็นไปถูกคนที่นั่งตรงข้าม
“ชอบตัวเหมือนแมวจริงๆ” ดร.อธิปัตย์หัวเราะออกมา “หรือว่าอยู่ในเมืองนานจนเชื่องเหมือนแมวนะฌาน”
‘ฌาน’ ชายหนุ่มเจ้าของความสูง 193 เซนติเมตรและใบหน้าคมเข้ม ผมยาวประบ่าของเขามีสีน้ำตาลเข้มกว่าดวงตาเล็กน้อยที่ถูกซ่อนอยู่หลังแว่นตากันแดดทรงกลมสีชาที่เขาสวมอยู่ เขาดูเหมือนชายหนุ่มอายุสามสิบหกแต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าตัวเลขอายุเขาเท่าไหร่ ร่างใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายเมื่อกาแฟร้อนๆ มาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว
“จมูกคุณยังดีที่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน” ดร.อธิปัตย์หยอกเล่นเมื่อเห็นเขายกกาแฟขึ้นจิบแล้ว “ดูไม่ออกว่าร่างกายคุณแย่ลงจนแจ้นมาหาผมถึงมหา’ลัยแบบนี้”
“มันไม่ได้แย่ลง” เขาโคลงศีรษะอย่างเบื่อหน่าย “มันเหมือนมีบางสิ่งที่มีอำนาจเหนือผมพยายามควบคุมผมอยู่”
“จะเป็นไปได้ยังไง” คราวนี้ดร.อธิปัตย์ทำหน้าเครียด “พวกมันอาจจะได้กลิ่นคุณจากตัวผมก็ได้” “มันไม่ใช่อย่างนั้น” ฌานครางในลำคออ่างอับจนถ้อยคำจะอธิบาย และเพราะเหตุนี้ทำให้เขาต้องเดินทางหลายร้อยกิโลเมตรจากไร่เล็กๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีมาถึงกรุงเทพฯ เพียงเพราะอาการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในตัวเขา
“โอเค.เพราะแบบนี้คุณถึงมาหาผม” ดร.อธิปัตย์วางนิ้วบนคีย์บอร์ดแล้วปิดโน้ตบุ๊ก “ถ้าคุณอธิบายได้ก็คงแค่ส่งตัวอย่างเลือดมาให้ผมทางไปรษณีย์”
ฌานหัวเราะในลำคอแล้วลุกขึ้นช่วยดร.อธิปัตย์เก็บเอกสารบนโต๊ะ มือหนึ่งของดร.มีแก้วกาแฟกระดาษในมือและหนีบเอกสารไว้ในซอกแขน ในขณะที่หนุ่มใหญ่หน้าตาไปทางยุโรปช่วยหิ้วโน้ตบุ๊กให้เดินกลับเข้าในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
“คืนนี้ดร.ไม่กลับหรือครับ” รปภ.ที่เฝ้าหน้าตึกเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย
“อยากกลับเหมือนกันแต่มีงานด่วน” เขายิ้มแล้วเสียบบัตรผ่าน “นี่เพื่อนผมเองเขาจะมาสร้างความวุ่นวายให้ผม”
รปภ.หัวเราะกับคำพูดของดร.อธิปัตย์ซึ่งเขามักสนิทสนมกับคนทั่วไปแบบนี้เสมอๆ ความถือตัวแม้ว่าจะจบจากเมืองนอกหรือได้ดร.มาทำให้เป็นที่รักของคนทั่วไป และในขณะเดียวกันก็ถูกมองว่า ‘เพี้ยน’ นิดๆ ด้วย
“ผมแทบจะกินนอนที่ห้องแล็บอยู่แล้ว” ดร.อธิปัตย์พูดปนหัวเราะขณะพาร่างสูงใหญ่ก้าวเดินไปตามทางหินอ่อนที่ทอดตัวสู่ห้องทดลอง
“ตอนอยู่อังกฤษดร.ก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาไม่ค่อยยิ้มบ่อยนัก “แต่ก็ไม่ใครยอมให้ผมกินนอนที่แล็บนี่” เสียงดร.อธิปัตย์ครางในลำคอเหมือนจะประท้วง “แต่ก็นั้นแหละไม่อย่างนั้นผมคงไม่เจอคุณหรอก ใช่ไหมฌาน”
“ผมเป็นคนช่วยชีวิตดร.นะ”
“พวกฮีโร่เค้าจะไม่ทวงบุญคุณกันไม่ใช่เหรอ”
มือหนากดรหัสผ่านเข้าห้องทดลอง เขาพยักเพยิดให้ฌานเดินเข้าไปด้านในพร้อมส่งแก้วกาแฟให้ช่วยถือก่อนที่ตัวเองจะหยิบเสื้อกราวนด์มาสวมทับแล้วเดินตามเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน ฌานพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกและวางบนโต๊ะ ดร.อธิปัตย์ฮัมเพลงในลำคอขณะใช้เข็มเจาะท่อนแขนของฌานเพื่อนำตัวอย่างเลือดของชายหนุ่มออกมา
“ความอยากอาหารของคุณเป็นปกติไหม” ถามทั้งที่สายตายังวางอยู่ที่เครื่องมือทันสมัยราคาหลายล้านตรงหน้า คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างรู้หน้าที่คำนวณค่าต่างๆ ในเม็ดเลือดออกมาเป็นตัวอักษรมากมายวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อาหารแบบไหนล่ะ”
ดร.อธิปัตย์เลิกคิ้วแต่ไม่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ “ผมต้องถามคุณใช่ไหมว่ากระหายเลือดแค่ไหน”
“อาจจะต้องเพิ่มว่า ‘กระหายเลือดมนุษย์’ แค่ไหน” เขาเสริม
“ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้หรือเปล่า”
“มันกำลังจะเป็นอย่างนั้น”
ดร.อธิปัตย์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วโคลงศีรษะไปมา “ทุกอย่างยังปกติอยู่ แต่ผมจะทดสอบเผื่อว่าร่างกายคุณจะดื้อยาของผมและมันคงไม่เสร็จภายในห้านาทีหรอก”
“มีอะไรก็พูดมาเถอะครับผมขี้เกียจอ่านใจดร.”
“ถ้าผมมีความสามารถพิเศษอย่างคุณ ผมจะไม่’ขี้เกียจ’ หรอก” ดร.อธิปัตย์หันมายิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ขอเจาะเลือดคุณอีกหน่อยแล้วก็ทดสอบตัวยากับเชื้อบ้าพวกนี้ด้วย”
“ผมไม่ใช่หนูลองยานะดร.” เขาประท้วงแต่ก็ยินยอมให้เข็มแหลมทิ่มแทงอีกครั้งแต่ปริมาณของเลือดมากกว่าเดิม
ดร.อธิปัตย์รู้สึกถึงชีพจรที่เต้นแรงของอีกฝ่ายจนต้องเงยหน้าจากท่อนแขนแข็งแกร่งของชายหนุ่มดวงตาหลังแว่นกันแดดสีชาเหมือนจะเปล่งประกาย มันอาจเป็นความรู้สึกที่อุปทานไปเองว่าเลือดในหลอดแก้วเต้นระริกรับคลื่นสัมผัสรุนแรง ร่างของดร.ถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเขาปรายตาไปยังแก้วกาแฟกระดาษที่สั่นราวกับมีมือคนจับให้มันเขย่าขึ้นลงจนเสียงดังกึกกัก หลอดแก้วทดลองกระทบกันจนเกิดเสียงดังและตามมาด้วยเสียกระจกสั่นสะเทือน
“ฌาน!”
ฌานสะดุ้งเหมือนตื่นจากภวังค์ แล้วทุกสิ่งรอบตัวก็สงบนิ่งกลับคืนสู่สภาวะปกติ มีแต่ใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ดร.อธิปัตย์แตะไหล่เขาเบาๆ พลางถอนหายใจหนักๆ
“ผมรู้สึกเหมือน ‘มัน’กำลังเรียกผมอยู่” เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อ
“คุณรู้ตัวเองหรือเปล่า มีสติไหม”
“รู้แต่เหมือน ‘มัน’ พยายามจะควบคุมผมอยู่”
“ไม่น่าเชื่อ” ดร.อธิปัตย์ส่ายหน้าไปมา “คุณอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมคุณได้ ตลอดสามปีที่คุณอยู่เมืองไทยทุกอย่างมันก็สงบเรียบร้อยมาตลอด”
“มันก็ไม่ได้สงบนักหรอก” เขายกมือขึ้นกุมขมับ “แต่มันก็ควบคุมได้”
“อย่าบอกนะว่าข่าวประหลาดๆ ในหนังสือพิมพ์นั่นเป็นฝีมือของคุณ!”
“ข่าวอะไร” ฌานเลิกคิ้วอย่างฉงน
“ก็พบศพนิรนามตายประหลาดเลือดหมดตัวนะซิ” ดร.อธิปัตย์รีบลุกขึ้นไปหยิบแฟ้มเอกสานที่เขาตัดข่าวเก็บไว้ส่งให้ฌานดู “คุณจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ผมนี่” เขาขมวดคิ้วยุ่งแล้วเพ่งอ่านข่าวกรอบเล็กๆ ที่ไม่มีแม้กระทั้งรูปภาพ “ชานเมืองกรุงเทพฯ แต่ผมไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ หลายเดือนแล้วนะ”
“ในระยะสามเดือนนี่พบสองศพที่มีลักษณะเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นคุณหรอก”
“ทำไมดร.เชื่อใจผมขนาดนั้นละ”
“ก็ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จริงก็คงแจ้นมาหาแบบนี้ตั้งแต่สามเดือนที่แล้วไง”
“ผมไม่เคยอ่านข่าวพวกนี้เลย” เขาพึมพำออกมา
“มันแค่ข่าวกรอบเล็กๆ เท่านั้น” ดร.ยื่นมือมาหยิบหนังสือพิมพ์เก็บเข้าที่ “แต่ประสาทสัมผัสของคุณไวมากถ้าเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับคุณจริง คุณต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้วละ”
“ก็ตอนนี้แหละที่ผมเริ่มรู้สึกไงละ” ฌานรู้สึกว่านอกจากดร.อธิปัตย์แล้วเขาแทบไม่ค่อยได้พูดจากับใครแบบนี้นัก จะว่าไปวันๆ หนึ่งเขาแทบไม่ได้เอ่ยปากพูดกับใครเลยด้วยซ้ำ
“สภาพคุณตอนนี้เหมือนคนติดเหล้ายังไงไม่รู้” ดร.อธิปัตย์หัวเราะในลำคอพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิด “คุณกลับไปพักที่คอนโดผมก่อนดีกว่า เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วผมจะตามคุณไป”
สายตาที่ฌานมองมาเหมือนมีคำถามแต่ดร.โบกมือไปมาเหมือนไล่แมลงวันที่น่ารำคาญ “ผมชอบทำงานคนเดียวจะได้ใช้ความคิดได้มากหน่อย นี่กุญแจห้องผมคงไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าอยู่ที่ไหนแค่วันนี้คุณยังดมกลิ่นผมได้”
“ถ้าเรื่องดมกลิ่นมันต้องพวก’วูลฟ์’ แต่แค่เรื่องง่ายๆ ที่ ‘แวมไพร์’ทุกตนทำได้”
ดร.อธิปัตย์หัวเราะชอบใจแล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดของที่พักส่งให้เขา “แต่สำหรับผมคุณคือซูปเปอร์ฮีโร่เลยล่ะ”
“คงมีไม่กี่คนหรอกที่คิดแบบดร.” เขาหัวเราะอารมณ์ดีขึ้นแล้วรับคีย์การ์ดมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ
อร.อธิปัตย์มองดูนาฬิกาข้อมือของตนเอง “ผมอาจจะกลับเช้าคุณก็ใช้ห้องผมได้ตามสบายแต่อย่าทำมันรกละ”
“ผมว่ามันคงไม่รกกว่าที่มันควรจะเป็นหรอก” ฌานเดินออกมาที่ประตูแล้วก็ถูกเรียกไว้ก่อน มองด้วยหางตาก็ยกมือรับวัตถุที่โยนข้ามอากาศมาได้พอเหมาะ เขาพลิกมือดูก็เห็นพวกกุญแจรถยนต์
“เอารถผมไปเถอะ อย่าทำตัวเป็นแบคแมนเลย”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว”
ฌานส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอขณะเดินออกมาจากห้องทดลองกลับออกมาทางเดิม รปภ.คนเดิมเปิดประตูให้และทักทายเหมือนตอนขาเข้า
“ให้ผมกางร่มไปส่งไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ผมชอบฝน”
ฌานยิ้มขอบคุณและเดินมาที่ลานจอดรถ มือใหญ่กดปุ่มบนพวงกุญแจรถเสียงดัง ปิ๊ปๆ กับไฟกระพริบหน้ารถทำให้เขารู้จุดที่รถจอดแม้ว่าเขาอาจจะใช้ ‘สัญชาตญาณ’ นำทางก็ได้
สายฝนที่โปรยปรายลงมาสะท้อนกับแสงไฟจากแสงสีส้มของโคมไฟเป็นประกายระยิบระยับ เขาชอบสายฝนยิ่งนักอาจเพราะมันช่วยพรางกลิ่นกายของเขาจากศัตรูได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันให้ความรู้สึกที่ชุมชื้นแม้จะไม่ส่งถึงหัวใจที่แห้งผากของเขาก็ตามที
มือใหญ่ขยับจับกระจกส่องหลังเห็นใบหน้าของตนเองแล้วก็เผลอยิ้มที่มุมปาก ผ่านมานานกว่าสามปีแต่รสชาติที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากยังคงหวานระเรื่อให้คิดคำนึงอยู่เสมอ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เติบเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตของเขา
ไม่เจอกันสามปี ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังคง ‘ฝัน’ ถึงเขาอยู่หรือเปล่านะ
…………