ตอนที่้4. ไม่เจอกันสามปี ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังคง ‘ฝัน’ ถึงเขาอยู่หรือเปล่านะ

1959 คำ
‘ดร. อธิปัตย์’ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเขาอยู่จนต้องเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก     เขาถึงกับต้องถอนแว่นสายตาของตนออกขยี้ตาตัวเองเพราะไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า                        “จะไม่เชิญให้นั่งหรือครับ”             “เอ่อ...ถ้าคิดว่านั่งที่นี่ได้ก็เอาซิ”     ดร. อธิปัตย์ตอบอย่างงุนงง           เขาชอบนั่งทำงานในร้านกาแฟใกล้ตึกคณะของมหาวิทยาลัยเสมอๆ “ผมไม่คิดว่าคุณจะมาถึงที่นี่”             “ผมก็คิดอย่างนั้น...แต่การโทรศัพท์หรืออีเมล์คงไม่เหมาะกับเรื่องที่ผมจะพูดนัก”  ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามแล้วทรุดตัวลงนั่ง      พนักงานสาวเข้ามายื่นเมนูให้อย่างรู้หน้าที่             “เอาอะไรก็ได้ที่หวานๆ พ่อหนุ่มคนนี้เป็นโรคขาดความหวานในชีวิต”            ดร.อธิปัตย์ยิ้มเหมือนจะหัวเราะทำให้ใบหน้าเขาดูอ่อนโยนลงแม้ว่าจะมีผมสีดอกเลาแล้วก่อนวัยก็ตามที      “หรือว่าคุณอยากได้ผ้าเช็ดผมสักผืน”             “ผมดื่มเหมือนดร.จะดีกว่า”           เขากระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนยกมือปัดผมตัวเองแรงๆ ให้น้ำฝนที่เกาะเส้นผมยาวประบ่าของตนกระเซ็นไปถูกคนที่นั่งตรงข้าม             “ชอบตัวเหมือนแมวจริงๆ” ดร.อธิปัตย์หัวเราะออกมา           “หรือว่าอยู่ในเมืองนานจนเชื่องเหมือนแมวนะฌาน”             ‘ฌาน’ ชายหนุ่มเจ้าของความสูง 193 เซนติเมตรและใบหน้าคมเข้ม    ผมยาวประบ่าของเขามีสีน้ำตาลเข้มกว่าดวงตาเล็กน้อยที่ถูกซ่อนอยู่หลังแว่นตากันแดดทรงกลมสีชาที่เขาสวมอยู่      เขาดูเหมือนชายหนุ่มอายุสามสิบหกแต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าตัวเลขอายุเขาเท่าไหร่          ร่างใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายเมื่อกาแฟร้อนๆ มาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว             “จมูกคุณยังดีที่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน”    ดร.อธิปัตย์หยอกเล่นเมื่อเห็นเขายกกาแฟขึ้นจิบแล้ว “ดูไม่ออกว่าร่างกายคุณแย่ลงจนแจ้นมาหาผมถึงมหา’ลัยแบบนี้”             “มันไม่ได้แย่ลง” เขาโคลงศีรษะอย่างเบื่อหน่าย “มันเหมือนมีบางสิ่งที่มีอำนาจเหนือผมพยายามควบคุมผมอยู่”             “จะเป็นไปได้ยังไง”         คราวนี้ดร.อธิปัตย์ทำหน้าเครียด    “พวกมันอาจจะได้กลิ่นคุณจากตัวผมก็ได้”  “มันไม่ใช่อย่างนั้น”           ฌานครางในลำคออ่างอับจนถ้อยคำจะอธิบาย         และเพราะเหตุนี้ทำให้เขาต้องเดินทางหลายร้อยกิโลเมตรจากไร่เล็กๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีมาถึงกรุงเทพฯ เพียงเพราะอาการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในตัวเขา             “โอเค.เพราะแบบนี้คุณถึงมาหาผม”    ดร.อธิปัตย์วางนิ้วบนคีย์บอร์ดแล้วปิดโน้ตบุ๊ก     “ถ้าคุณอธิบายได้ก็คงแค่ส่งตัวอย่างเลือดมาให้ผมทางไปรษณีย์”             ฌานหัวเราะในลำคอแล้วลุกขึ้นช่วยดร.อธิปัตย์เก็บเอกสารบนโต๊ะ     มือหนึ่งของดร.มีแก้วกาแฟกระดาษในมือและหนีบเอกสารไว้ในซอกแขน   ในขณะที่หนุ่มใหญ่หน้าตาไปทางยุโรปช่วยหิ้วโน้ตบุ๊กให้เดินกลับเข้าในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง              “คืนนี้ดร.ไม่กลับหรือครับ”     รปภ.ที่เฝ้าหน้าตึกเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย                 “อยากกลับเหมือนกันแต่มีงานด่วน”     เขายิ้มแล้วเสียบบัตรผ่าน “นี่เพื่อนผมเองเขาจะมาสร้างความวุ่นวายให้ผม”             รปภ.หัวเราะกับคำพูดของดร.อธิปัตย์ซึ่งเขามักสนิทสนมกับคนทั่วไปแบบนี้เสมอๆ ความถือตัวแม้ว่าจะจบจากเมืองนอกหรือได้ดร.มาทำให้เป็นที่รักของคนทั่วไป    และในขณะเดียวกันก็ถูกมองว่า ‘เพี้ยน’ นิดๆ ด้วย             “ผมแทบจะกินนอนที่ห้องแล็บอยู่แล้ว”   ดร.อธิปัตย์พูดปนหัวเราะขณะพาร่างสูงใหญ่ก้าวเดินไปตามทางหินอ่อนที่ทอดตัวสู่ห้องทดลอง                    “ตอนอยู่อังกฤษดร.ก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”   ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก         เขาไม่ค่อยยิ้มบ่อยนัก       “แต่ก็ไม่ใครยอมให้ผมกินนอนที่แล็บนี่”    เสียงดร.อธิปัตย์ครางในลำคอเหมือนจะประท้วง “แต่ก็นั้นแหละไม่อย่างนั้นผมคงไม่เจอคุณหรอก ใช่ไหมฌาน”             “ผมเป็นคนช่วยชีวิตดร.นะ”                      “พวกฮีโร่เค้าจะไม่ทวงบุญคุณกันไม่ใช่เหรอ”          มือหนากดรหัสผ่านเข้าห้องทดลอง            เขาพยักเพยิดให้ฌานเดินเข้าไปด้านในพร้อมส่งแก้วกาแฟให้ช่วยถือก่อนที่ตัวเองจะหยิบเสื้อกราวนด์มาสวมทับแล้วเดินตามเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน          ฌานพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกและวางบนโต๊ะ ดร.อธิปัตย์ฮัมเพลงในลำคอขณะใช้เข็มเจาะท่อนแขนของฌานเพื่อนำตัวอย่างเลือดของชายหนุ่มออกมา “ความอยากอาหารของคุณเป็นปกติไหม”    ถามทั้งที่สายตายังวางอยู่ที่เครื่องมือทันสมัยราคาหลายล้านตรงหน้า            คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างรู้หน้าที่คำนวณค่าต่างๆ ในเม็ดเลือดออกมาเป็นตัวอักษรมากมายวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อาหารแบบไหนล่ะ” ดร.อธิปัตย์เลิกคิ้วแต่ไม่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ “ผมต้องถามคุณใช่ไหมว่ากระหายเลือดแค่ไหน” “อาจจะต้องเพิ่มว่า ‘กระหายเลือดมนุษย์’ แค่ไหน”  เขาเสริม “ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้หรือเปล่า” “มันกำลังจะเป็นอย่างนั้น” ดร.อธิปัตย์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วโคลงศีรษะไปมา     “ทุกอย่างยังปกติอยู่ แต่ผมจะทดสอบเผื่อว่าร่างกายคุณจะดื้อยาของผมและมันคงไม่เสร็จภายในห้านาทีหรอก” “มีอะไรก็พูดมาเถอะครับผมขี้เกียจอ่านใจดร.” “ถ้าผมมีความสามารถพิเศษอย่างคุณ ผมจะไม่’ขี้เกียจ’ หรอก”   ดร.อธิปัตย์หันมายิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง “ขอเจาะเลือดคุณอีกหน่อยแล้วก็ทดสอบตัวยากับเชื้อบ้าพวกนี้ด้วย” “ผมไม่ใช่หนูลองยานะดร.”          เขาประท้วงแต่ก็ยินยอมให้เข็มแหลมทิ่มแทงอีกครั้งแต่ปริมาณของเลือดมากกว่าเดิม ดร.อธิปัตย์รู้สึกถึงชีพจรที่เต้นแรงของอีกฝ่ายจนต้องเงยหน้าจากท่อนแขนแข็งแกร่งของชายหนุ่มดวงตาหลังแว่นกันแดดสีชาเหมือนจะเปล่งประกาย    มันอาจเป็นความรู้สึกที่อุปทานไปเองว่าเลือดในหลอดแก้วเต้นระริกรับคลื่นสัมผัสรุนแรง        ร่างของดร.ถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเขาปรายตาไปยังแก้วกาแฟกระดาษที่สั่นราวกับมีมือคนจับให้มันเขย่าขึ้นลงจนเสียงดังกึกกัก หลอดแก้วทดลองกระทบกันจนเกิดเสียงดังและตามมาด้วยเสียกระจกสั่นสะเทือน “ฌาน!” ฌานสะดุ้งเหมือนตื่นจากภวังค์      แล้วทุกสิ่งรอบตัวก็สงบนิ่งกลับคืนสู่สภาวะปกติ      มีแต่ใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยเหงื่อ     ดร.อธิปัตย์แตะไหล่เขาเบาๆ พลางถอนหายใจหนักๆ “ผมรู้สึกเหมือน ‘มัน’กำลังเรียกผมอยู่”  เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อ “คุณรู้ตัวเองหรือเปล่า มีสติไหม” “รู้แต่เหมือน ‘มัน’ พยายามจะควบคุมผมอยู่”  “ไม่น่าเชื่อ” ดร.อธิปัตย์ส่ายหน้าไปมา “คุณอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะควบคุมคุณได้         ตลอดสามปีที่คุณอยู่เมืองไทยทุกอย่างมันก็สงบเรียบร้อยมาตลอด” “มันก็ไม่ได้สงบนักหรอก”            เขายกมือขึ้นกุมขมับ        “แต่มันก็ควบคุมได้” “อย่าบอกนะว่าข่าวประหลาดๆ ในหนังสือพิมพ์นั่นเป็นฝีมือของคุณ!” “ข่าวอะไร”        ฌานเลิกคิ้วอย่างฉงน “ก็พบศพนิรนามตายประหลาดเลือดหมดตัวนะซิ”    ดร.อธิปัตย์รีบลุกขึ้นไปหยิบแฟ้มเอกสานที่เขาตัดข่าวเก็บไว้ส่งให้ฌานดู               “คุณจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า” “ไม่ใช่ผมนี่”       เขาขมวดคิ้วยุ่งแล้วเพ่งอ่านข่าวกรอบเล็กๆ ที่ไม่มีแม้กระทั้งรูปภาพ “ชานเมืองกรุงเทพฯ แต่ผมไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ หลายเดือนแล้วนะ” “ในระยะสามเดือนนี่พบสองศพที่มีลักษณะเดียวกัน             แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นคุณหรอก” “ทำไมดร.เชื่อใจผมขนาดนั้นละ” “ก็ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จริงก็คงแจ้นมาหาแบบนี้ตั้งแต่สามเดือนที่แล้วไง” “ผมไม่เคยอ่านข่าวพวกนี้เลย”       เขาพึมพำออกมา “มันแค่ข่าวกรอบเล็กๆ เท่านั้น”    ดร.ยื่นมือมาหยิบหนังสือพิมพ์เก็บเข้าที่ “แต่ประสาทสัมผัสของคุณไวมากถ้าเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับคุณจริง       คุณต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้วละ” “ก็ตอนนี้แหละที่ผมเริ่มรู้สึกไงละ”             ฌานรู้สึกว่านอกจากดร.อธิปัตย์แล้วเขาแทบไม่ค่อยได้พูดจากับใครแบบนี้นัก        จะว่าไปวันๆ หนึ่งเขาแทบไม่ได้เอ่ยปากพูดกับใครเลยด้วยซ้ำ  “สภาพคุณตอนนี้เหมือนคนติดเหล้ายังไงไม่รู้”       ดร.อธิปัตย์หัวเราะในลำคอพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิด           “คุณกลับไปพักที่คอนโดผมก่อนดีกว่า เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วผมจะตามคุณไป” สายตาที่ฌานมองมาเหมือนมีคำถามแต่ดร.โบกมือไปมาเหมือนไล่แมลงวันที่น่ารำคาญ “ผมชอบทำงานคนเดียวจะได้ใช้ความคิดได้มากหน่อย นี่กุญแจห้องผมคงไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าอยู่ที่ไหนแค่วันนี้คุณยังดมกลิ่นผมได้” “ถ้าเรื่องดมกลิ่นมันต้องพวก’วูลฟ์’ แต่แค่เรื่องง่ายๆ ที่ ‘แวมไพร์’ทุกตนทำได้” ดร.อธิปัตย์หัวเราะชอบใจแล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดของที่พักส่งให้เขา  “แต่สำหรับผมคุณคือซูปเปอร์ฮีโร่เลยล่ะ” “คงมีไม่กี่คนหรอกที่คิดแบบดร.”   เขาหัวเราะอารมณ์ดีขึ้นแล้วรับคีย์การ์ดมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ อร.อธิปัตย์มองดูนาฬิกาข้อมือของตนเอง    “ผมอาจจะกลับเช้าคุณก็ใช้ห้องผมได้ตามสบายแต่อย่าทำมันรกละ” “ผมว่ามันคงไม่รกกว่าที่มันควรจะเป็นหรอก”    ฌานเดินออกมาที่ประตูแล้วก็ถูกเรียกไว้ก่อน   มองด้วยหางตาก็ยกมือรับวัตถุที่โยนข้ามอากาศมาได้พอเหมาะ       เขาพลิกมือดูก็เห็นพวกกุญแจรถยนต์ “เอารถผมไปเถอะ อย่าทำตัวเป็นแบคแมนเลย” “ผมทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว” ฌานส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอขณะเดินออกมาจากห้องทดลองกลับออกมาทางเดิม              รปภ.คนเดิมเปิดประตูให้และทักทายเหมือนตอนขาเข้า    “ให้ผมกางร่มไปส่งไหมครับ” “ไม่เป็นไร ผมชอบฝน” ฌานยิ้มขอบคุณและเดินมาที่ลานจอดรถ     มือใหญ่กดปุ่มบนพวงกุญแจรถเสียงดัง ปิ๊ปๆ กับไฟกระพริบหน้ารถทำให้เขารู้จุดที่รถจอดแม้ว่าเขาอาจจะใช้ ‘สัญชาตญาณ’ นำทางก็ได้ สายฝนที่โปรยปรายลงมาสะท้อนกับแสงไฟจากแสงสีส้มของโคมไฟเป็นประกายระยิบระยับ   เขาชอบสายฝนยิ่งนักอาจเพราะมันช่วยพรางกลิ่นกายของเขาจากศัตรูได้   แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันให้ความรู้สึกที่ชุมชื้นแม้จะไม่ส่งถึงหัวใจที่แห้งผากของเขาก็ตามที มือใหญ่ขยับจับกระจกส่องหลังเห็นใบหน้าของตนเองแล้วก็เผลอยิ้มที่มุมปาก ผ่านมานานกว่าสามปีแต่รสชาติที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากยังคงหวานระเรื่อให้คิดคำนึงอยู่เสมอ     หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เติบเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตของเขา ไม่เจอกันสามปี  ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังคง ‘ฝัน’ ถึงเขาอยู่หรือเปล่านะ …………
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม