“หนาวหรือเปล่า” ไม่รอคำตอบจากปากได้รูปของเธอ เขาล้อมวงแขนกระชับร่างบางไว้ในอกอุ่น
“ได้ยินว่าคุณไม่สบายมาก...ทานยาบ้างหรือเปล่า” เธอถามทั้งๆ ที่แนบหน้าสูดดมกลิ่นอายของตัวเขา
“ก็...กินอยู่” เขาพยายามปรับน้ำเสียงเป็นปรกติ แต่เธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างรู้ทันคนโกหกไม่เก่ง
“จริง?”
“กินแล้ว” เขายิ้มแต่หัวเราะร่วน
“เมื่อไหร่ เมื่อวานหรือเมื่อสองวันก่อน” เธอยังจำมุกเด็กดื้อไม่ยอมทานยาของเขาได้ดี
“นานกว่านั้น” เขาตอบก้มลงพรมจูบที่เรือนผมหอมกรุ่นของเธออย่างทะนุถนอมรู้สึกแปลกกับสร้อยทองคำขาวเส้นเล็กน่ารักที่เธอสวมคล้องอยู่
“’เขา’ให้มาหน่ะ...” เธอตอบก่อนเขาตั้งคำถามและให้ดูจี้รูปหัวใจที่ห้อยอยู่มันสลักชื่อของเธอกับชายคนหนึ่งที่ของเธอกำลังจะแต่งงานซึ่ง...ไม่ใช่เขา
“ของขวัญก่อนหมั้นจริง” หญิงสบตากับเขาอยากเห็นแววตาอาวรณ์ปรารถนาจะเห็นเขาฉุดรั้ง หวังใจให้เขามาลักพาตัวเจ้าสาวหนีในวันวิวาห์
แต่สิ่งที่เธอเห็นคือความว่างเปล่า เช่นเดียวกับเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน ที่เธอเดินทางมาเขาอย่างยากลำบากแต่เขากลับมีให้เพียงความเย็นชา และมันกรีดลึกที่ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันจนเป็นริ้วรอยแผลเป็น เธอรักเขามาก...รักมากกว่าใครๆ ที่เคยมีมา แต่เธอไปจากเขาเพราะรักเหลือเกิน เธอไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง ความคิดของเขาดูกว้างกว่าฝืนฟ้า-มหาสมุทร, ความรักของเขาช่างยิ่งใหญ่หรือเปล่าว่าง เขาเหมือนมีความลับบางอย่างซุกซ่อนเธอและความลับนั้นเองที่ผลักไสให้เธอต้องออกจากชีวิตเขาไป
มันคงเวลาที่ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เธอก็อยากเคลียร์บางสิ่งที่ค้างคาใจออกให้หมดเพื่ออย่างน้อย...เธอจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และเหมือนเขาจะรับรู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเธอ เขาส่งการ์ดวันเกิดให้เธอพร้อมที่อยู่ของเขา นั้นมันจะมีความหมายอื่นใดนอกจากเขายินดีให้เธอก้าวเข้าในอพาท์เม้นท์เก่าๆ ห้องนี้ แม้ร่างกายเขาจะดูไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมแต่เขาก็เหมือนคนป่วย เขาอาจจะป่วยหนักและไม่ต้องการให้เธอรับรู้จึงออกจากชีวิตเธอไปเงียบๆ
‘ปล่อยให้เธอคิดอย่างนั้นแหละดีแล้ว’
ฌานพึมพำในใจไม่อยากกะพริบตาเลยสักครั้ง อยากจะเก็บภาพหญิงสาวที่เขารักไว้ให้นานที่สุด ชีวิตอมตะที่ได้มาพร้อมอำนาจที่ล่วงรู้จิตใจของอีกฝ่ายมันเป็นทั้งข้อดีและข้อร้าย เขารู้ว่าเธอปวดใจทั้งแต่เขาจากไปแต่การจากไปของเขาก็เพราะต้องการให้เธอได้ใช้ชีวิตปกติ ทำไมหัวใจเขาไม่เย็นชาเหมือนเลือดที่ไหลเวียนในกายบ้างนะ เขาอยากให้เธอรู้ว่าเขารักเธอมากเพียงใด รักมากจนไม่อาจทำให้เธอกลายเป็นแวมไพร์เหมือนเขา แค่การที่เขาปล่อยใจให้อ่อนไหวเปิดรับความรักจากเธอก็ผิดมากมายแล้ว
“คุณจะไม่พูดอะไรกับฉันใช่ไหม” น้ำเสียงสั่นเครือจนคนฟังปวดร้าว
“มีประโยคเดียวที่ผมอยากพูดกับคุณ” เขาดึงมือเธอมาแนบกับริมฝีปาก “เชื่อเถอะว่าผมปรารถนาจะเห็นคุณมีความสุข...”
“...นับจากนี้ฉันจะมีความสุข...” เธอเอ่ยพยายามไม่ให้น้ำใสๆ ไหลออกมา
“ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุข” เขาจุมพิตฝ่ามือของเธอและที่นิ้วนางข้างซ้าย “จากนี้ไปคุณจะมีความสุข”
เธอยกฝ่ามือของเขามาแนบแก้มปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลออกมาอย่างช้าๆ เหมือนฝนที่โปรยปรายนอกหน้าต่าง เขารั้งเธอมากอดจรดปลายจมูกที่เรือนผมนุ่มสลวย นี่คือสิ่งที่เธอต้องการก่อนจะเปิดประตูสู่รุ่งอรุณใหม่ เขาเองก็เช่นกันเพราะหลังจากนี้เขาจะเริ่มเข้าทดสอบการใช้ ‘ยา’ บางชนิดที่จะทำให้เขาสัมผัสแสงอาทิตย์ได้ และหากันไม่สำเร็จเขาก็ยินดีที่จะตายไปกับมัน หรือไม่เขาก็กลายเป็นยิ่งกว่าปีศาจร้าย
“ไม่ง่วงเหรอ อีกนานกว่าจะเข้า” ฌานเอ่ยขึ้นทำลายความคิดของเธอ หญิงสาวสะดุ้งเมื่อเขาผลักให้เธอลงนอนบนเตียงให้หนุนนอนที่ท่อนแขนฟังเสียงหัวใจที่เต้นแผ่ว หรือนี่เป็นวิธีอาลัยของเขา ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแนบเท่าที่หัวใจคิดถึง เขารู้ว่ามันไม่ดีแต่ก็อดภาวนาในใจไม่ได้อยากให้พายุกระหน่ำอย่างนี้ไปจนรุ่งเช้าหรือติดต่อไปอีกสักคืน...สองคืน...สามคืน เขายอมให้น้ำท่วมซะตรงนี้ถ้ามันจะขังเธอไว้ได้นากว่าอ้อมแขนของเขา แต่มันจะมีประโยชน์อะไรแต่ด้วยสภาพร่างกายของครึ่งคนครึ่งศพอย่างเขามันไร้อนาคตเกินกว่าจะคาดหวังสิ่งใดได้อีก แค่ความรักอย่างเดียว...ไม่พอหรอก
“หนาวมั้ย” เขาถามขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ตอบแต่กอดเขาแน่นขึ้น “เขาจะรู้มั้ย”
“ใคร” เธอกระซิบถามเหมือนคนใกล้จะหลับ
“คนรัก-คู่หมั้นคู่หมาย”
“ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคนรักของเขาหรอก” เธอหัวเราะเบาๆ นึกขำตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่
“มือนี่ซนจัง” เธอแสร้งทำเสียงดุมือหยาบกระด้างที่ลูบไล้แผ่นหลังของเธอ แม้จะฝืนหัวเราะน้ำตากลับไหลรินจนชื้นอกของเขา
“กาแฟล่ะ” เขาถามอย่างเพิ่งจะนึกได้
“ช่างเถอะ...อยากหลับ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว” เธอพริ้มตาตอบ เสียงฝนบางเบาลงจนรู้สึกใจหาย
ฌานรู้...เหมือนกับที่หญิงสาวก็รู้ ‘ความรักอย่างเดียวไม่พอ’ มันเป็นเหตุผลที่เขาให้เธอและเธอต้องใช้เวลากว่า 5 ปีที่จะยอมรับมัน แต่สิ่งที่เขาทำให้เธอได้คงมีแค่ภาพของเธอที่ติดแน่ที่กลางใจเขา เขารู้ว่าเธอก็คงเป็นเช่นเดียวกับเขา
“เดี๋ยวก็เช้าแล้ว….”
กริ๊งงงงงงงงงงง
ชายหนุ่มสะดุ้งลืมตาตื่นจากความฝันที่ยังมีกลิ่นหวานเศร้าลอยอยู่ในอากาศ เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็เอื้อมถึงโทรศัพท์สีดำที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะทำงาน
“แย่แล้วฌาน!! รีบมาเร็ว”
ราวกับเสียงแหลมเล็กนั้นทะลุทะลวงโสตประสาทอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นและความกังวลทำให้ชีพจรของอีกฝ่ายเต้นแรงจนชายหนุ่มรู้สึกได้ เขาไม่ถามรายละเอียดใดๆ อีกวางโทรศัพท์แล้วพุ่งตัวออกจากห้องทำงานแบบไม่เกรงใจฟ้าฝนที่พร่างพรมลงมา ชายหนุ่มใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงเรือนไม้หลังใหญ่เจ้าของ ‘ไร่ชงคา’ อยู่ในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนมอมแมมแต่ก็ยังพยายามจะพาร่างของตนเองไปที่รถยนต์โดยมีลูกน้องหลายคนฉุดทั้งแขนและเกาะทั้งขาเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น” เขาหลิวตามองขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ก็ลุงบูลย์นะซิ เมื่อกี้หกล้มขาแพลงแล้วยังจะขับรถออกไปข้างนอกอีก”
“หกล้ม? เมื่อไหร่กัน” เขาถามแล้วเดินเข้ามามองใบหน้าแสนดื้อรั้นของหนุ่มใหญ่วัยเฉียดห้าสิบ
“เมื่อกี้คะคุณฌาน ไม่รู้ไปเดินอีกท่าไหนหกล้มจนข้อเท้าแพลงได้” ฝ้าย-หญิงสาววัยยี่สิบห้าเป็นญาติห่างๆ กับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของคุณไพบูลย์ เธอรายงานทันทีและเธอก็เป็นคนโทรศัพท์หาฌานเอง
“เข้าไปพักด้านในก่อนเถอะครับ” เขาล็อกแขนเหมือนบังคับทำให้ ไพบูลย์หรือที่เรียกกันว่า ‘ลุงบูลย์’ ไม่สามารถต้านทานแรงของฌานได้
“เดี๋ยวค่อยพักก็ได้ลุงต้องไปรับหลานก่อน เขานั่งเครื่องมาคงจะมาถึงแล้วละ”
“หลาน?” ฌานเลิกคิ้ว “ผมอยู่กับลุงมาหลายปีไม่ยักรู้ว่ามีหลาน”
“มีซิ ฉันมีหลานสวยด้วยนะจะบอกให้” พูดด้วยความภูมิใจทั้งที่ไม่เจอกันมาเป็นสิบปีแต่เขาก็เชื่อว่าความน่ารักของเด็กสิบขวบที่เห็นตอนนั้นจะทำให้หลานเติบโตเป็นสาวสวยในวันนี้แน่ๆ
“ให้ใครไปรับก็ได้” เขาบ่นอาจเพราะความที่อยู่ด้วยกันมานจนสนิทสนมราวกับเพื่อนจึงพูดได้ไม่เกรงใจ
“ไม่ได้ๆ หลานฉันทั้งคน”
“ก็ได้ๆ ผมไปรับเอง ชื่ออะไรละครับ”
“ยิหวา...หลานสาวฉันชื่อยิหวา....”
ชื่อของหญิงสาวที่หลุดออกมาจากคุณไพบูลย์ทำให้เขาตะลึงงุนงงไปชั่วครู่ มันอาจเป็นเพียงความบังเอิญที่ชื่อคนซ้ำกันก็ได้