กังยูเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ เพิ่งยกน้ำดื่มได้ครึ่งแก้วยิหวาก็เดินลงบันไดมาพอดี ใบหน้าที่เคยอมทุกข์เมื่อสองวันก่อนเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หรืออาจเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัวของยิหวาก็ได้และมันช่างแสนจะดึงดูดสายตาของเขาจนไม่อาจมองใครได้อีก
“ขอบใจที่มารับนะกังยู” ยิหวาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมา กังยูรีบเข้าไปช่วยทันทีแต่ยิหวาโบกมือไล่ก่อน
“แน่ใจแล้วเหรอหวา” คุณช่อแก้วมองกระเป๋าเดินทางของลูกสาวก็ทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ ‘จัดกระเป๋าเหมือนจะไปอยู่เป็นปีแต่จะอยู่ได้สักกี่วันเชียวหนอ ยิหวายิ่งมีนิสัยขี้เบื่อด้วยซิ’
“อ้าว...ก็แม่คุยกับลุงไพบูลย์แล้วไม่ใช่เหรอคะ” ยิหวาลากกระเป๋าเดินทางไว้ใกล้ประตูทางเข้าออก
“เรื่องทางโน้นน่ะไม่มีปัญหาหรอก ลุงเขาดีใจจะตายที่หวาจะไปหา” คุณช่อแก้วมองกระเป๋าเดินทางสลับไปมากับหน้าใสๆ ของลูกสาว “แต่แม่กลัวหวาทนอยู่แบบนั้นไม่ไหวนะซิ”
“แม่เห็นหวาเป็นคนแบบไหนเนี้ย” ยิหวายกมือเท้าเอว “ก็หวาจะไปพักผ่อนชั้นเฟิร์สคราสราคาประหยัดไงคะ หรือแม่อยากให้หวาไปเที่ยวเมืองนอกหรือไปเข้าป่าเข้าดงไปเลย”
“เอาเถอะๆ แม่รู้แล้วว่าหวาโตแล้วตัดสินใจได้แล้ว” คุณช่อแก้วหยิบถุงคุ้กกี้ส่งให้ยิหวา “ของฝากให้ลุงไพบูลย์จ๊ะ”
“แล้วหวาจะโทรมาบ่อยๆ นะคะ”
ยิหวายกมือไหว้ลามารดาแล้วหันไปพยักหน้ากับกังยูและปลายรุ้ง ชายหนุ่มช่วยลากกระเป๋ามาใส่ท้ายรถแล้วเดินอ้อมมาหมายจะเปิดประตูรถให้ยิหวานั่งด้านหน้า แต่ยิหวากลับดันหลังปลายรุ้งให้นั่งข้างหน้าแทนแล้วเธอก็เปิดประตูนั่งด้านหลัง ปลายรุ้งยิ้มเขินๆ ให้กังยูนิดๆ ชายหนุ่มยิ้มตอบแล้วรีบทำหน้าที่เป็นพลขับพายิหวามาสนามบิน ทั้งสามมาถึงก่อนเวลาเครื่องบินขึ้นเกือบชั่วโมงจึงนั่งเล่นในร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านหนึ่ง
“ขอบใจกังยูกับปลายมากๆ ที่มาส่งหวานะ” ยิหวาเอ่ยออกมาแล้วเช็คตรวจเครื่องบินอีกครั้ง เธอเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรแล้วต้องลงมือทำเลย นี่ถ้าไม่ถูกมารดาเบรกไว้ก่อนเธอคงมาตั้งแต่วินาทีที่คิดได้แล้วละ
“ถ้าหวามีอะไรก็โทรมานะ ถ้าเหงาอยากให้ปลายไปอยู่เป็นเพื่อนก็ได้” ปลายรุ้งเป็นห่วงเพื่อนมากจนกังยูยิ้มด้วยความประทับใจ
“ขอโทษทีนะกังยู นานๆ กังยูจะได้มาเมืองไทยทีแต่พวกเราไม่อยู่ร่วมแก็งค์กันครบทีม” ยิหวาหันไปคุยกับชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะ
“ไม่เป็นไรเอาความสบายใจของหวาเป็นหลักเถอะ” เขาได้แต่เกาปลายจมูกตัวเองเล่น
“ขอบใจที่เข้าใจหวานะ หวานี่โชคดีจังที่มีเพื่อนดีๆ อยู่ใกล้ๆ ตั้งสองคนแหนะ” ยิหวาจับมือกังยูและปลายรุ้งข้างละมือ เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องทำให้ยิหวาพอดี ปลายรุ้งเรียกพนักงานเก็บเงินค่าเครื่องดื่ม กังยูช่วยลากกระเป๋าเดินทางของยิหวาไปส่งตรงทางเข้า
“พักผ่อนให้สนุกนะ” ปลายรุ้งกับกังยูเอ่ยออกมาพร้อมกัน ยิหวามองใบหน้าสองคนสลับไปมาแล้วหัวเราะร่า
“จ้า! ทั้งสองก็เหมือนกันแหละ หวาไม่อยู่ก็เป็นกางขวางคอแล้วไปหละ” เธอโบกมือลาเพื่อนทั้งสองแต่จังหวะที่หมุนตัวออกมาเกือบปะทะเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหุ่นนายแบบ
“ขอโทษค่ะ อุ๊ย! Sorry !”
ชายหนุ่มร่างสูงผมรองทรงสีทองเป็นประกายสวมชุดสูทสีเข้มมาดเท่ห์ราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นระดับโลก ร่างกายที่สูงใหญ่ทำให้ยิหวาต้องแหงนหน้ามอง ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดสีดำสนิทเอียงคอมองหญิงสาวชาวไทยเล็กน้อย ปลายจมูกขยับนิดๆ เหมือนได้กลิ่นคุ้นเคยแต่เบี่ยงตัวหลีกทางให้หญิงสาวเดินผ่าน
“หล่อมากๆ เลยยัยปลาย!!” ยิหวาเอ่ยปากชมอย่างไม่เกรงใจหนุ่มกังยูเลยสักนิด
“หวาชอบผู้ชายสไตล์นั้นเหรอครับ”
“เปล่าแค่บอกว่าเขาหล่อมาก” ยิหวาส่ายหน้า “เอาล่ะ ไม่ต้องส่งแล้วกังยูดูแลปลายด้วยนะหวาไปล่ะแล้วจะโทรมาบ่อยๆ”
ยิหวาลาเพื่อนอีกครั้งแต่เมื่อเห็นชายหนุ่มคนเดิมยืนมองเธออยู่ หญิงสาวก็ก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางขึ้นเครื่องบิน โดยที่ไม่มีโอกาสได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นเผลอหลุดปากออกมาเลยสักนิด
“ฌาน...แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ...แกชอบทิ้งกลิ่นให้ฉันตามหาจริงๆ”
เพลง Because of you โดยเสียงร้องของ Kelly Clarkson เล่นซ้ำหลายครั้งในขณะที่คนฟังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องทำงาน สายฝนที่โปรยปรายด้านนอกทำให้เขาทำตัวเหมือนแมวเกียจคร้านกาแฟที่เคยส่งกลิ่นหอมตอนนี้เย็นชืดหมดแล้ว ชายหนุ่มหายใจเบาๆ ปล่อยใจล่องลอยไปกับห้วงความคำนึงในความทรงจำ มันผ่านมานานหลายปีจนเขาไม่จำไม่ได้แล้วนานเท่าไหร่ ทว่าทุกภาพในความความรู้สึกยังชัดเจนในใจเสมอ
มันเป็น ‘ภาพร่างของความรู้สึก’ ที่เด่นชัดไม่เจือจางในกาลเวลา
หญิงสาวนั่งหวีผมยาวสลวยอยู่ตรงนั้นที่หน้าโต๊ะกระจกในห้องนอนของชายหนุ่ม เสียงพายุฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้หัวใจของหญิงสาวนั้นสับสนว้าวุ่นอยู่ภายในใบหน้าที่เรียบ ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อยู่กับหญิงสาวดวงตาโศกคนนี้ แต่ความรู้สึกแปลกและแตกต่างเช่นนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นกับเธอและเขา เธอไม่เคยขาดความมั่นใจอย่างนี้สักครั้งตั้งแต่รู้จักกับเขามาก็ร่วม 5 ปี
แต่มันเป็น 5 ปีที่แสนประหลาด ในขณะที่เธอเปลี่ยนแปลงไปตามวัยแต่เขายังคงเดิมเหมือนที่เคยเป็น หญิงสาวลอบถอนหายใจเบาๆ กลัวว่าเขาจะเห็นความสับสนในดวงตาของเธอ ไม่กล้ามองแม้ในเงากระจกที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่เธอเห็นเขานั่งมองเธออย่างสงบในบานกระจกนั้น...
“กาแฟมั้ย” ฌานถามแล้วลุกขึ้นยืน ไม่รอคำตอบแต่เดินตรงไปที่กระติกน้ำร้อนและเสียบปลั๊กไฟกลับมานั่งที่เดิมพร้อมฮาโมนิก้าสีเงินวาววับในมือ
เสียงเพลงหวานเศร้าบรรเลงขึ้นทันทีที่คนหนุ่มจรดริมฝีปากกับหีบเพลงสีเงิน ชายหนุ่มปิดเปลือกตาพริ้มฝัน ขณะที่เพลงแผ่วหวานนั่นบรรเลงคล้ายปลอบหัวใจคนเหงาเสียงฝนกระหน่ำฟังคล้ายเสียงเร้าย้ำความเป็นจริงของกาลเวลา เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเล็กหน้าโต๊ะกระจกมานั่งใกล้ๆ เขาบนเตียงตัวเก่าที่คุ้นเคยมาแสนนาน หากแต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาในขณะนี้มันแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก เขาลืมตาขึ้นมองเธอแววตาอาลัยฉายเด่นเต็มดวงตาของเขาจนเธอต้องหลบวูบ
ไม่ได้นะ!!! จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!!! หญิงสาวพยายามเตือนสติตัวเอง แต่เขากลับหยุดบรรเลงแล้วลูบไล้เรือนผมของเธอเบาๆ
“ผมยาวขึ้นนะ” เขาเอ่ยเหมือนชวนคุย มือไล้ที่ต้นคอเปลือยเปล่าของเธออย่างระมัดระวัง กลัวผิวขาวบอกบางนั้นจะช้ำเพราะมือหยาบกร้านของเขา
“ก็ไม่ได้ตัดตั้งแต่ไปจากกัน” เธอเน้นคำชัดเจน ย้ำสถานะภาพปัจจุบันของตัวเองและตัวเขาด้วย
“อยู่กับเขา...คงสบายดี” เขาเอ่ยเบาๆ ย้ำกับตัวเองมากกว่าที่จะถามหาคำตอบ
“ก็เป็นอย่างที่เห็น” เธอฝืนยิ้มกับคนรักใหม่ของเธอเข้ากันได้ดี แต่เธอก็ไม่ลืมคนรักแรกในหัวใจ
“ดีแล้ว” เขาสอดมือไปใต้ผมยาวเนียนนุ่มของเธอ ความรู้สึกเก่าๆ กลับมาทวงถามทั้งโหยหาและสุดแสนทรมาน
“ผอมลงไปมาก” เธอตบท้องเขาเบาๆ แต่เสื้อกล้ามสีหม่นที่เขาใส่มันยิ่งเน้นชัดถึงร่างกายที่ผ่ายผอมลงไป
“พักผ่อนบ้างอย่าทานเหล้ากับบุหรี่ให้มากนัก วันๆ คงทำแต่งาน….” เธอเสมองดูรอบๆ ห้องรกๆ เต็มไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมัน ภาพร่างแรเงา ทั้งภูเขา ทะเลหมอก รุ้งพรายที่ปลายฟ้า แต่ส่วนมากเป็นรูปหญิงสาวผมยาวสยาย ร่างเปลือยเปล่าอยู่ในอิริยาบถที่ต่างๆ กันไป
“ฝนตกหนักมาก....คืนนี้” ฌานมองตามสายตาเธอแต่คาดเดาความหมาย เธอสะดุ้งและเพ่งมองภาพพายุที่พัดยอดสนไหวเอนราวกับจะล้มลง