ตอนที่9. ความทรงจำของวัยเยาว์

2229 คำ
เด็กชายลงจากรถแท็กซี่ แล้วเดินเบียดผู้คนที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นแอลกอฮอร์มาหยุดยืนเก้ๆ กังๆ มองดูป้ายหน้าผับแห่งหนึ่งบนถนนข้าวสาร    หน้าร้านแต่งสีสันด้วยหลอดไฟเป็นรูปร่างประหลาด  เขาไม่คุ้นกับสถานที่แบบนี้นัก     แต่ก็พยายามทำใจแกร่งเดินแทรกผู้คนมาที่หน้าเคาน์เตอร์พยายามส่งเสียงดังที่สุดแข่งกับเสียงเพลงที่กระหึ่มก้องในผับที่ดูรกและแคบแต่มันเป็นผับชั้นดีของเหล่าฮิปปี้เลยทีเดียว             “คิงอยู่ไหม ผมมาหาคิง”              อธิปัตย์ถามซ้ำหลายครั้งกว่าจะสื่อสารความต้องการให้บาร์เทนเดอร์เข้าใจ และพยักพเยิดเป็นเชิงให้เขาเดินไปตรงประตูหลังร้าน  เสียงเพลงเบาลงเมื่อเดินออกมาพ้นร้านได้ไม่ไกลนัก   เขาพบชายร่างใหญ่ยักษ์ยืนเฝ้าประตูเหล็กสนิมเขรอะ             “ผมมาหาคิง”  เขาพูดตะกุกตะกักรู้สึกหวาดกลัวหน้าเหี้ยมๆ ของคนตรงหน้า             “คิงกำลังยุ่ง”   อีกฝ่ายตอบเสียงดังคล้ายจงใจจะขู่ตะคอก ไม่นึกแปลกใจที่เห็นเด็กตัวเล็กเข้ามาในผับบาร์อย่างนี้    ราวกับดินแดนสกปรกรอต้อนรับเหยื่อผู้หลงผิด             “ผมมีธุระจริงๆ ครับ  ช่วยเอาสิ่งนี้ให้เขาดูก็ได้”    อธิปัตย์หยิบสร้อยสีเงินออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วส่งให้   คนรับดูท่าทางไม่เต็มใจรับแต่ก็เดินหายไปหลังบานประตูครู่หนึ่งก็ควักมือเรียกเขาเดินเข้ามาข้างในห้องหลังบานประตูเหล็กพร้อมคืนสร้อยเส้นสำคัญให้เขา             “คิง”     เด็กหนุ่มเผลอเรียกด้วยความดีใจ    แต่ก็หยุดคำพูดไว้เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าห้าปีกันกำลังโถมใส่ร่างเปลือยของสาวใหญ่คนหนึ่ง     เสียงลมหายใจหอบถี่ผสมเสียงครางกระเส่านั่นทำให้เขาหันหลังกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ     เพียงครู่ทุกอย่างเหมือนจบลง และเขาถูกเรียกให้เดินตามหลังมาอีกห้องหนึ่ง             “บุหรี่มั๊ย”             “ไม่...ไม่   เอ่อ...ขอบใจ”   อธิปัตย์เอ่ยตอบตะกุกตะกักแล้วมองหน้าคนที่ต้องการพบซึ่งนั่งสูบบุหรี่สบายอารมณ์เหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต  “บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพและคนรอบข้างนะ             “เออรู้แล้วก็เราอยากให้คนอื่นตายเป็นเพื่อนเราไง”   คิงหัวเราะร่าแล้วดับบุหรี่ทิ้ง         “มาที่นี่ทำไม มาหาข้อมูลทำการบ้านเหรอ...เอล”   คนถามปนหัวเราะจนอีกฝ่ายจับอารมณ์ของคนพูดไม่ได้ว่าประชดหรือว่าห่วงใย             “ก็นี่ไง” อธิปัตย์ยื่นการ์ดสีดำส่งให้ดู    เด็กหนุ่มเสยผมยาวระบ่าสีน้ำตาลไหม้อ่านข้อความก่อนระเบิดเสียงหัวเราะร่อนการ์ดกระดาษทิ้งไปไกลภายในห้องรกๆ ของเขา             “แต่...คิง”           เด็กหนุ่มผู้สวมแว่นบังนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนโยนสะดุดสายตากับการ์ดกระดาษลักษณะเดียวกัน       เขาหยิบมาอ่านดูข้อความเหมือนกันเพียงแต่ลงท้ายว่า ‘แด่ลูกแกะตัวที่3’             “ใส่ใจอะไรมากมาย รู้ๆ อยู่ว่าฝีมือใคร”    คิงหัวเราะร่าผิดกับเด็กชายที่เคร่งเครียดกับสิ่งที่กำลังเผชิญ “งั้น เรื่องของปอนกับชัย ที่ตกตึก”             “คนอย่างเรามันไม่มีอะไรให้เสีย เรามันต่างกับปอนหรือชัยหรือแม้แต่นาย      ถ้ากลัวนักพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไป  “      คิงหมายถึงการ์ดเชิญสีดำทั้งของเขาและอธิปัตย์             “เราไม่มีอดีตหรืออนาคตอย่างเอลหรอก”               น้ำเสียงบางเบาต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง      ทำให้เด็กชายรู้ว่าเพื่อนคนนี้ยังคงอ่อนโยนซ่อนอยู่ในท่าทางที่ก้าวร้าวไม่ต่างจากวัยเด็กที่เคยใช้ร่วมกันในบ้านหลังหนึ่ง     ก่อนที่วิถีชีวิตโชคชะตาจะพาให้แยกจากไปจนมีวันนี้ที่แตกต่างกัน             อธิปัตย์เดินกลับออกมาจากผับอย่างยากลำบาก  จนไม่สังเกตสายตาของใครบางคนที่บังเอิญพบเห็นเข้าพอดี   และอดตั้งคำถามให้กับสายตาที่เห็นไม่ได้ว่าเด็กขยันเรียนอย่างอธิปัตย์จะมาสถานที่แบบนี้ได้… …………………………….    นาฬิกาเรือนเก่าโบราณที่มุมห้องบอกเวลากว่าสามทุ่มแล้ว     อธิปัตย์ยังนั่งกำสร้อยคอสีเงินที่มีจี้เป็นแผ่นป้ายเล็กๆ สลักข้อความห้อยอยู่   เขากำมันแน่นจนเหงื่อชุ่มมือก่อนก้าวเท้าออกมาจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อผู้มีศักดิ์เป็นญาติยืนดักคอยอยู่หน้าห้อง     “จะออกไปไหนดึกๆ เหรอเอล”    ทศถามยิ้มๆแต่อีกฝ่ายตรงข้าม    “ไปหาเพื่อนครับ”    เขาตอบพยายามฝืนทำปกติที่สุด    “เหรอ...ให้พี่ไปส่งมั๊ย”     นายตำรวจหนุ่มโอบไหล่ญาติผู้น้องที่เขามาขออาศัยอยู่ชั่วคราวแล้วเดินตรงมาที่โรงรถ            เด็กชายอยากบอกปัดแต่ไม่กล้า      จำใจขึ้นนั่งรถบีเอ็มดับบิลป้ายแดงออกมานอกบ้านทั้งที่ยังไม่ได้บอกจุดหมายปลายทาง     “เรียนหนักทั้งวันหาเวลาพักผ่อนบ้างก็ดีนะเอล”     ทศชวนคุยขณะที่รถติดไฟแดง เด็กชายในรถคันหรูกระวนกระวายใจร้อนรน    แต่พอเหลือบไปมองเสียงเคาะกระจกรถข้างๆ เขาก็ตัดสินใจเปิดประตูออกจากรถแล้วกระโดดค่อมซ้อนท้ายรถชอปเปอร์คันใหญ่ที่จอดอยู่อย่างรู้ทัน    “เอล!! เอล!”      ทศตะโกนเรียกสุดเสียงแต่ก็ไม่ทัน รถชอปเปอร์คันใหญ่ฝ่าไฟแดงเลี้ยวโค้งลับสายตา  ทศเปลี่ยนเกียร์เพื่อตามให้ทัน แต่จังหวะที่รถเลี้ยว รูปขาว-ดำในซองสีน้ำตาลที่อยู่เบาะนั่งข้างๆ ที่อธิปัตย์เพิ่งนั่งเมื่อครู่ก็เทออกมาตามแรงเหวี่ยง พร้อมทั้งการ์ดเชิญสีแปลก    ทศหยิบมาดูด้วยความตกใจโดยเฉพาะรูปศพคนที่ฆ่าตัวตายเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง! …………………….              “นึกแล้วเชียว”    คิงพูดเสียงดังเมื่อบิดคันเร่งแซงรถพวง   อธิปัตย์หลับตาแน่นไม่กล้ามองแม้เข็มไมล์ที่กระดิกเกินร้อย ไม่นานนักรถชอปเปอร์คันเท่ห์ก็จอดนิ่งที่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งสภาพเก่าคร่ำครึ    แต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่าที่นี่เป็นที่ๆพวกเขาอาศัยเมื่อวัยเยาว์       แม้จะมาจากที่ต่างๆ กันแต่ก็รักกันราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน  ที่นี่เคยเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อน    ทว่าเพราะความละโมบโลภมากของผู้ดูแล        เขานำเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัวและเล่นการพนัน       เด็กๆ ต้องอยู่อย่างยากลำบากหลายปีกว่าที่เจ้าหน้าตำรวจจะตรวจสอบพบข้อเท็จจริงจากการร้องเรียนของชาวบ้าน    เมื่อผู้ดูแลถูกจับได้ก็ละอายต่อสิ่งที่ตนเองกระทำถึงกับฆ่าตัวตายและทำให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ปิดตัวลงในเวลาต่อ   เด็กๆ ต่างแยกย้ายกันอยู่ตามแต่ที่รัฐบาลจัดการแต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าเด็กกลุ่มหนึ่งแม้จะต่างวัยแต่เติบโตมาพร้อมกันยังคงติดต่อกันอยู่ เทียนเล่มขนาดต่างๆ กันจุดแสงสว่างนำทางให้เดินเข้ามาในบ้านได้อย่างสะดวก     ภาพเก่าๆ คล้ายฉายซ้ำอีกครั้ง      เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กชายห้าคนกำลังเล่นสนุกตามประสาเด็กคลออยู่ตลอดการย่างก้าวเข้ามาสู่ห้องที่สว่างที่สุดที่มีโต๊ะอาการสำหรับที่นั่งห้าคน   และที่หัวโต๊ะเจ้าภาพนั่งจิบเบียร์ราคาถูกคอยอยู่นานแล้ว “ขอต้อนรับกลับบ้าน”      น้ำเสียงคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานดังขึ้นทันทีที่ร่างของคิงและอธิปัตย์ยืนอยู่กลองห้องที่เต็มไปด้วยเทียนและด้านหลังของเขายังมีไม้กางแขนผุเกือบพังแขวนที่ผนังเหนือศีรษะขึ้นไป “เชิญนั่งซิคิง.. อธิปัตย์ เอ๊ะ! รึต้องเรียกคุณหนูมานูเอล  ลูกชายบุญธรรมของมหาเศรษฐีติดอันดับต้นๆของโลก”    น้ำเสียงประชดประชันทำให้คิงเดินกระแทกเท้าไปกระชากคอเสื้อของผู้ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร “แล้วนายละแมน พ่อนักข่าวอิสระผู้รักงานฆาตกรรมเป็นชีวิตจิตใจ”   คิงขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน “พวกเราเป็นลูกแกะที่ถูกเลี้ยงไว้เซ่นสรวงเพื่อล้างบาปไม่ใช่เหรอ จะกลัวอะไรกับการตายเพื่อรับใช้พระเจ้า” น้ำเสียงราบเรียบแต่เฉือนความรู้สึกคนฟังเหลือเกิน “งั้นปอนกับชัยก็ฝีมือนายเองหรือแมน”  เด็กชายถามเสียงสั่น “เปล่า แต่พวกมันสมควรตาย” “นายฆ่าพี่น้องเราเองรึแมน”   คิงตะคอกเสียงดัง “ก็มันจริงมั๊ยละ ไอ้ปอนมันกลายเป็นนักแสดงผู้โด่งดังมันไม่กล้าบอกใครว่าตัวเองเป็นใครมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า   ชัยก็เหมือนกันมันเป็นทำงานในบริษัทใหญ่โตแต่กลับกลับไม่กล้าบอกเจ้านายว่ามันเป็นเด็กที่เคยขโมยของเขามากินเดินเร่ร่อนคุ้ยขยะ   มันกลัวผอ.จะรู้ความจริงในอดีตแล้วไม่ยอมยกให้ลูกสาวแต่งงานกับมัน  ไม่มีใครยอมรับตัวเองเลยแม้แต่นายนะเอล  นายมันโชคดีที่ได้เป็นลูกบุญธรรมของเศรษฐี   แต่ฉันถูกขอไปเป็นเด็กค่อยรับใช้ให้ครอบครัวอื่น   นาย..ไอ้คิง! แกมันค้ายา  แกมันก็ไอ้ขี้ยา” หมัดหนักๆ ของคิงซัดเข้าไปที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของแมนจนล้มคว่ำ  โต๊ะอาหารกระจัดกระจายแก้วแตกจนบาดเข้าเนื้อตัวของแมน  คิงง้างมือขึ้นหมายจะซ้ำแต่เด็กชายรั้งไว้ “ฉันแค่กระตุ้นเตือนความทรงจำในอดีตให้ก็เท่านั้น   แต่สิ่งที่ไอ้ปอนกับไอ้ชัยมันก็สมควรแล้ว มันสำนึกได้ในความบาปของตัวเองถึงฆ่าตัวตายเองอย่างนั้น” “ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เรากำหนดทางเดินให้ชีวิตตัวเองได้ ใช้ชีวิตในแบบของของเรา   แต่นายจะเอาอะไร ตัวนายเองก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่รอถูกวันเชือดหรอก พวกเราทั้งห้ามีนายเป็นพี่ใหญ่ นายที่เคยปกป้องพวกเราจากเด็กเกเรกลุ่มอื่นๆ นายเป็นคนที่ให้พวกเรากลายเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่วันนี้แกกลับฆ่าเราตายกัน แกมันน่า..จะตายไปซะ!!” “ก็เอาซิ! ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านาย   ฉันจะชำระบาปของนายเองไงคิง!!” อธิปัตย์ถูกผลักออกอย่างแรกโดยมือของคิง  เป็นจังหวะเดียวกับที่แมนคว้าคอขวดที่ตกแตกเมื่อครู่แทงเข้าที่ชายโครงของคิงสุดแรง “คิง!”             เด็กชายตะโกนลั่นเมื่อเห็นเลือดสีเข้มๆไหลทะลักจากปากแผล   ร่างสูงของเพื่อนรักทรุดตัวลงนอนมือที่จับขวดปากฉลามนั่นสั่นระริกก่อนจะทิ้งมันลงด้วยมือที่อ่อนแรง   เลือดของลูกแกะตัวที่สามนองพื้นและบางหยดกระเซ็นเปรอะแก้มราวคราบน้ำตา             “เอลเกิดอะไรขึ้น!!”     เสียงทศดังขึ้น  เขาขับรถมาตามแผนที่ที่อยู่ในซองสีน้ำตาลนั้น ทศโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล     อธิปัตย์ประคองศีรษะของเพื่อนรักไว้ให้หนุนตัก   บาดแผลลึกและเลือดไหลไม่หยุดราวกับธารน้ำตาของคนที่ร้องไห้ไม่เป็น   แต่น้ำตาเด็กชายรดเปื้อนใบหน้าเพื่อนที่ชื่อคิง    ปากของคิงขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง    อธิปัตย์หน้าลงเอียงหูฟังเป็นจังหวะเดียวกับที่มองเห็นร่างที่ยืนตะลึงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม   แมนค่อยๆ ยกปืนขึ้นจ่อขมับดวงตาที่เลื่อนลอยค่อยๆปิดเปลือกตาและสนิทลงเมื่อสิ้นเสียงกระสุนปืนทะลุผ่านสมองไปอย่างรวดเร็ว   แต่ภาพที่เห็นกลับช้าและชัดเจนราวกับตอกย้ำให้เป็นฝันร้ายของผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ และบทสวดเพิ่งเริ่มต้นขึ้น “ไม่!!!!!” เด็กชายตะโกนสุดเสียงแต่ไม่ทันแล้ว   หัวใจเขาแทบหยุดเต้นและเหมือนหูอื้อไปทันที   มือเยียบเย็นแตะที่ไหล่เขาจนทำให้เด็กชายหันไปมอง   ร่างสูงใหญ่ของพ่อบุญธรรมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและดึงร่างของเด็กชายมากอด “ผมไม่อยากเห็นใครตาย” เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น   ทศปล่อยให้ทั้งคู่ปลอบกันเอง   เขาไม่คิดว่าแผนการที่หลอกอธิปัตย์ว่าพ่อบุญธรรมจะไปต่างประเทศจะใช้ได้ผลจนออกมาเป็นรูปแบบนี้ “พูดจริงหรือเปล่าเอล” เด็กชายเงยหน้ามองพ่อบุญธรรม   “จริงครับ  ผมไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว” “เธอเป็นเด็กอัจฉริยะนะเอล   และพรสวรรค์ของเธอจะช่วยคนอื่นให้รอดพ้นจากความตายได้” “จริงหรือครับ”  ดวงตาที่ฉ่ำน้ำตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ผมต้องทำยังไง” “ทำตามที่พ่อบอกก็พอแล้ว”   เขาลูบศีรษะเด็กชายอย่างปลอบโยน     และพาเดินกลับมาขึ้นรถเก๋งที่จอดรออยู่ไม่ไกล เด็กชายมองบ้านหลังนั้นที่เคยอยู่มาจน ๗ ขวบอีกครั้ง      นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงแล้ว            เขาไม่เหลือใครที่นี่อีกแล้ว เขามีแต่อนาคตเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม