เด็กชายลงจากรถแท็กซี่ แล้วเดินเบียดผู้คนที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นแอลกอฮอร์มาหยุดยืนเก้ๆ กังๆ มองดูป้ายหน้าผับแห่งหนึ่งบนถนนข้าวสาร หน้าร้านแต่งสีสันด้วยหลอดไฟเป็นรูปร่างประหลาด เขาไม่คุ้นกับสถานที่แบบนี้นัก แต่ก็พยายามทำใจแกร่งเดินแทรกผู้คนมาที่หน้าเคาน์เตอร์พยายามส่งเสียงดังที่สุดแข่งกับเสียงเพลงที่กระหึ่มก้องในผับที่ดูรกและแคบแต่มันเป็นผับชั้นดีของเหล่าฮิปปี้เลยทีเดียว
“คิงอยู่ไหม ผมมาหาคิง”
อธิปัตย์ถามซ้ำหลายครั้งกว่าจะสื่อสารความต้องการให้บาร์เทนเดอร์เข้าใจ และพยักพเยิดเป็นเชิงให้เขาเดินไปตรงประตูหลังร้าน เสียงเพลงเบาลงเมื่อเดินออกมาพ้นร้านได้ไม่ไกลนัก เขาพบชายร่างใหญ่ยักษ์ยืนเฝ้าประตูเหล็กสนิมเขรอะ
“ผมมาหาคิง” เขาพูดตะกุกตะกักรู้สึกหวาดกลัวหน้าเหี้ยมๆ ของคนตรงหน้า
“คิงกำลังยุ่ง” อีกฝ่ายตอบเสียงดังคล้ายจงใจจะขู่ตะคอก ไม่นึกแปลกใจที่เห็นเด็กตัวเล็กเข้ามาในผับบาร์อย่างนี้ ราวกับดินแดนสกปรกรอต้อนรับเหยื่อผู้หลงผิด
“ผมมีธุระจริงๆ ครับ ช่วยเอาสิ่งนี้ให้เขาดูก็ได้” อธิปัตย์หยิบสร้อยสีเงินออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วส่งให้ คนรับดูท่าทางไม่เต็มใจรับแต่ก็เดินหายไปหลังบานประตูครู่หนึ่งก็ควักมือเรียกเขาเดินเข้ามาข้างในห้องหลังบานประตูเหล็กพร้อมคืนสร้อยเส้นสำคัญให้เขา
“คิง” เด็กหนุ่มเผลอเรียกด้วยความดีใจ แต่ก็หยุดคำพูดไว้เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าห้าปีกันกำลังโถมใส่ร่างเปลือยของสาวใหญ่คนหนึ่ง เสียงลมหายใจหอบถี่ผสมเสียงครางกระเส่านั่นทำให้เขาหันหลังกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ เพียงครู่ทุกอย่างเหมือนจบลง และเขาถูกเรียกให้เดินตามหลังมาอีกห้องหนึ่ง
“บุหรี่มั๊ย”
“ไม่...ไม่ เอ่อ...ขอบใจ” อธิปัตย์เอ่ยตอบตะกุกตะกักแล้วมองหน้าคนที่ต้องการพบซึ่งนั่งสูบบุหรี่สบายอารมณ์เหมือนกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต “บุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพและคนรอบข้างนะ
“เออรู้แล้วก็เราอยากให้คนอื่นตายเป็นเพื่อนเราไง” คิงหัวเราะร่าแล้วดับบุหรี่ทิ้ง “มาที่นี่ทำไม มาหาข้อมูลทำการบ้านเหรอ...เอล” คนถามปนหัวเราะจนอีกฝ่ายจับอารมณ์ของคนพูดไม่ได้ว่าประชดหรือว่าห่วงใย
“ก็นี่ไง” อธิปัตย์ยื่นการ์ดสีดำส่งให้ดู เด็กหนุ่มเสยผมยาวระบ่าสีน้ำตาลไหม้อ่านข้อความก่อนระเบิดเสียงหัวเราะร่อนการ์ดกระดาษทิ้งไปไกลภายในห้องรกๆ ของเขา
“แต่...คิง” เด็กหนุ่มผู้สวมแว่นบังนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนโยนสะดุดสายตากับการ์ดกระดาษลักษณะเดียวกัน เขาหยิบมาอ่านดูข้อความเหมือนกันเพียงแต่ลงท้ายว่า ‘แด่ลูกแกะตัวที่3’
“ใส่ใจอะไรมากมาย รู้ๆ อยู่ว่าฝีมือใคร” คิงหัวเราะร่าผิดกับเด็กชายที่เคร่งเครียดกับสิ่งที่กำลังเผชิญ
“งั้น เรื่องของปอนกับชัย ที่ตกตึก”
“คนอย่างเรามันไม่มีอะไรให้เสีย เรามันต่างกับปอนหรือชัยหรือแม้แต่นาย ถ้ากลัวนักพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไป “ คิงหมายถึงการ์ดเชิญสีดำทั้งของเขาและอธิปัตย์
“เราไม่มีอดีตหรืออนาคตอย่างเอลหรอก”
น้ำเสียงบางเบาต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง ทำให้เด็กชายรู้ว่าเพื่อนคนนี้ยังคงอ่อนโยนซ่อนอยู่ในท่าทางที่ก้าวร้าวไม่ต่างจากวัยเด็กที่เคยใช้ร่วมกันในบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่วิถีชีวิตโชคชะตาจะพาให้แยกจากไปจนมีวันนี้ที่แตกต่างกัน
อธิปัตย์เดินกลับออกมาจากผับอย่างยากลำบาก จนไม่สังเกตสายตาของใครบางคนที่บังเอิญพบเห็นเข้าพอดี และอดตั้งคำถามให้กับสายตาที่เห็นไม่ได้ว่าเด็กขยันเรียนอย่างอธิปัตย์จะมาสถานที่แบบนี้ได้…
…………………………….
นาฬิกาเรือนเก่าโบราณที่มุมห้องบอกเวลากว่าสามทุ่มแล้ว อธิปัตย์ยังนั่งกำสร้อยคอสีเงินที่มีจี้เป็นแผ่นป้ายเล็กๆ สลักข้อความห้อยอยู่ เขากำมันแน่นจนเหงื่อชุ่มมือก่อนก้าวเท้าออกมาจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อผู้มีศักดิ์เป็นญาติยืนดักคอยอยู่หน้าห้อง
“จะออกไปไหนดึกๆ เหรอเอล” ทศถามยิ้มๆแต่อีกฝ่ายตรงข้าม
“ไปหาเพื่อนครับ” เขาตอบพยายามฝืนทำปกติที่สุด
“เหรอ...ให้พี่ไปส่งมั๊ย” นายตำรวจหนุ่มโอบไหล่ญาติผู้น้องที่เขามาขออาศัยอยู่ชั่วคราวแล้วเดินตรงมาที่โรงรถ เด็กชายอยากบอกปัดแต่ไม่กล้า จำใจขึ้นนั่งรถบีเอ็มดับบิลป้ายแดงออกมานอกบ้านทั้งที่ยังไม่ได้บอกจุดหมายปลายทาง
“เรียนหนักทั้งวันหาเวลาพักผ่อนบ้างก็ดีนะเอล” ทศชวนคุยขณะที่รถติดไฟแดง
เด็กชายในรถคันหรูกระวนกระวายใจร้อนรน แต่พอเหลือบไปมองเสียงเคาะกระจกรถข้างๆ เขาก็ตัดสินใจเปิดประตูออกจากรถแล้วกระโดดค่อมซ้อนท้ายรถชอปเปอร์คันใหญ่ที่จอดอยู่อย่างรู้ทัน
“เอล!! เอล!” ทศตะโกนเรียกสุดเสียงแต่ก็ไม่ทัน
รถชอปเปอร์คันใหญ่ฝ่าไฟแดงเลี้ยวโค้งลับสายตา ทศเปลี่ยนเกียร์เพื่อตามให้ทัน แต่จังหวะที่รถเลี้ยว รูปขาว-ดำในซองสีน้ำตาลที่อยู่เบาะนั่งข้างๆ ที่อธิปัตย์เพิ่งนั่งเมื่อครู่ก็เทออกมาตามแรงเหวี่ยง พร้อมทั้งการ์ดเชิญสีแปลก ทศหยิบมาดูด้วยความตกใจโดยเฉพาะรูปศพคนที่ฆ่าตัวตายเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง!
…………………….
“นึกแล้วเชียว”
คิงพูดเสียงดังเมื่อบิดคันเร่งแซงรถพวง อธิปัตย์หลับตาแน่นไม่กล้ามองแม้เข็มไมล์ที่กระดิกเกินร้อย ไม่นานนักรถชอปเปอร์คันเท่ห์ก็จอดนิ่งที่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งสภาพเก่าคร่ำครึ แต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่าที่นี่เป็นที่ๆพวกเขาอาศัยเมื่อวัยเยาว์ แม้จะมาจากที่ต่างๆ กันแต่ก็รักกันราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน ที่นี่เคยเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อน ทว่าเพราะความละโมบโลภมากของผู้ดูแล เขานำเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัวและเล่นการพนัน เด็กๆ ต้องอยู่อย่างยากลำบากหลายปีกว่าที่เจ้าหน้าตำรวจจะตรวจสอบพบข้อเท็จจริงจากการร้องเรียนของชาวบ้าน เมื่อผู้ดูแลถูกจับได้ก็ละอายต่อสิ่งที่ตนเองกระทำถึงกับฆ่าตัวตายและทำให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ปิดตัวลงในเวลาต่อ เด็กๆ ต่างแยกย้ายกันอยู่ตามแต่ที่รัฐบาลจัดการแต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าเด็กกลุ่มหนึ่งแม้จะต่างวัยแต่เติบโตมาพร้อมกันยังคงติดต่อกันอยู่
เทียนเล่มขนาดต่างๆ กันจุดแสงสว่างนำทางให้เดินเข้ามาในบ้านได้อย่างสะดวก ภาพเก่าๆ คล้ายฉายซ้ำอีกครั้ง เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กชายห้าคนกำลังเล่นสนุกตามประสาเด็กคลออยู่ตลอดการย่างก้าวเข้ามาสู่ห้องที่สว่างที่สุดที่มีโต๊ะอาการสำหรับที่นั่งห้าคน และที่หัวโต๊ะเจ้าภาพนั่งจิบเบียร์ราคาถูกคอยอยู่นานแล้ว
“ขอต้อนรับกลับบ้าน”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานดังขึ้นทันทีที่ร่างของคิงและอธิปัตย์ยืนอยู่กลองห้องที่เต็มไปด้วยเทียนและด้านหลังของเขายังมีไม้กางแขนผุเกือบพังแขวนที่ผนังเหนือศีรษะขึ้นไป
“เชิญนั่งซิคิง.. อธิปัตย์ เอ๊ะ! รึต้องเรียกคุณหนูมานูเอล ลูกชายบุญธรรมของมหาเศรษฐีติดอันดับต้นๆของโลก” น้ำเสียงประชดประชันทำให้คิงเดินกระแทกเท้าไปกระชากคอเสื้อของผู้ที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร
“แล้วนายละแมน พ่อนักข่าวอิสระผู้รักงานฆาตกรรมเป็นชีวิตจิตใจ” คิงขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน
“พวกเราเป็นลูกแกะที่ถูกเลี้ยงไว้เซ่นสรวงเพื่อล้างบาปไม่ใช่เหรอ จะกลัวอะไรกับการตายเพื่อรับใช้พระเจ้า” น้ำเสียงราบเรียบแต่เฉือนความรู้สึกคนฟังเหลือเกิน
“งั้นปอนกับชัยก็ฝีมือนายเองหรือแมน” เด็กชายถามเสียงสั่น
“เปล่า แต่พวกมันสมควรตาย”
“นายฆ่าพี่น้องเราเองรึแมน” คิงตะคอกเสียงดัง
“ก็มันจริงมั๊ยละ ไอ้ปอนมันกลายเป็นนักแสดงผู้โด่งดังมันไม่กล้าบอกใครว่าตัวเองเป็นใครมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ชัยก็เหมือนกันมันเป็นทำงานในบริษัทใหญ่โตแต่กลับกลับไม่กล้าบอกเจ้านายว่ามันเป็นเด็กที่เคยขโมยของเขามากินเดินเร่ร่อนคุ้ยขยะ มันกลัวผอ.จะรู้ความจริงในอดีตแล้วไม่ยอมยกให้ลูกสาวแต่งงานกับมัน ไม่มีใครยอมรับตัวเองเลยแม้แต่นายนะเอล นายมันโชคดีที่ได้เป็นลูกบุญธรรมของเศรษฐี แต่ฉันถูกขอไปเป็นเด็กค่อยรับใช้ให้ครอบครัวอื่น นาย..ไอ้คิง! แกมันค้ายา แกมันก็ไอ้ขี้ยา”
หมัดหนักๆ ของคิงซัดเข้าไปที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของแมนจนล้มคว่ำ โต๊ะอาหารกระจัดกระจายแก้วแตกจนบาดเข้าเนื้อตัวของแมน คิงง้างมือขึ้นหมายจะซ้ำแต่เด็กชายรั้งไว้
“ฉันแค่กระตุ้นเตือนความทรงจำในอดีตให้ก็เท่านั้น แต่สิ่งที่ไอ้ปอนกับไอ้ชัยมันก็สมควรแล้ว มันสำนึกได้ในความบาปของตัวเองถึงฆ่าตัวตายเองอย่างนั้น”
“ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เรากำหนดทางเดินให้ชีวิตตัวเองได้ ใช้ชีวิตในแบบของของเรา แต่นายจะเอาอะไร ตัวนายเองก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่รอถูกวันเชือดหรอก พวกเราทั้งห้ามีนายเป็นพี่ใหญ่ นายที่เคยปกป้องพวกเราจากเด็กเกเรกลุ่มอื่นๆ นายเป็นคนที่ให้พวกเรากลายเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่วันนี้แกกลับฆ่าเราตายกัน แกมันน่า..จะตายไปซะ!!”
“ก็เอาซิ! ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านาย ฉันจะชำระบาปของนายเองไงคิง!!”
อธิปัตย์ถูกผลักออกอย่างแรกโดยมือของคิง เป็นจังหวะเดียวกับที่แมนคว้าคอขวดที่ตกแตกเมื่อครู่แทงเข้าที่ชายโครงของคิงสุดแรง
“คิง!”
เด็กชายตะโกนลั่นเมื่อเห็นเลือดสีเข้มๆไหลทะลักจากปากแผล ร่างสูงของเพื่อนรักทรุดตัวลงนอนมือที่จับขวดปากฉลามนั่นสั่นระริกก่อนจะทิ้งมันลงด้วยมือที่อ่อนแรง เลือดของลูกแกะตัวที่สามนองพื้นและบางหยดกระเซ็นเปรอะแก้มราวคราบน้ำตา
“เอลเกิดอะไรขึ้น!!”
เสียงทศดังขึ้น เขาขับรถมาตามแผนที่ที่อยู่ในซองสีน้ำตาลนั้น ทศโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล อธิปัตย์ประคองศีรษะของเพื่อนรักไว้ให้หนุนตัก บาดแผลลึกและเลือดไหลไม่หยุดราวกับธารน้ำตาของคนที่ร้องไห้ไม่เป็น แต่น้ำตาเด็กชายรดเปื้อนใบหน้าเพื่อนที่ชื่อคิง
ปากของคิงขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง อธิปัตย์หน้าลงเอียงหูฟังเป็นจังหวะเดียวกับที่มองเห็นร่างที่ยืนตะลึงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม แมนค่อยๆ ยกปืนขึ้นจ่อขมับดวงตาที่เลื่อนลอยค่อยๆปิดเปลือกตาและสนิทลงเมื่อสิ้นเสียงกระสุนปืนทะลุผ่านสมองไปอย่างรวดเร็ว แต่ภาพที่เห็นกลับช้าและชัดเจนราวกับตอกย้ำให้เป็นฝันร้ายของผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ และบทสวดเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
“ไม่!!!!!”
เด็กชายตะโกนสุดเสียงแต่ไม่ทันแล้ว หัวใจเขาแทบหยุดเต้นและเหมือนหูอื้อไปทันที มือเยียบเย็นแตะที่ไหล่เขาจนทำให้เด็กชายหันไปมอง ร่างสูงใหญ่ของพ่อบุญธรรมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและดึงร่างของเด็กชายมากอด
“ผมไม่อยากเห็นใครตาย” เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น ทศปล่อยให้ทั้งคู่ปลอบกันเอง เขาไม่คิดว่าแผนการที่หลอกอธิปัตย์ว่าพ่อบุญธรรมจะไปต่างประเทศจะใช้ได้ผลจนออกมาเป็นรูปแบบนี้
“พูดจริงหรือเปล่าเอล”
เด็กชายเงยหน้ามองพ่อบุญธรรม “จริงครับ ผมไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว”
“เธอเป็นเด็กอัจฉริยะนะเอล และพรสวรรค์ของเธอจะช่วยคนอื่นให้รอดพ้นจากความตายได้”
“จริงหรือครับ” ดวงตาที่ฉ่ำน้ำตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ผมต้องทำยังไง”
“ทำตามที่พ่อบอกก็พอแล้ว” เขาลูบศีรษะเด็กชายอย่างปลอบโยน และพาเดินกลับมาขึ้นรถเก๋งที่จอดรออยู่ไม่ไกล
เด็กชายมองบ้านหลังนั้นที่เคยอยู่มาจน ๗ ขวบอีกครั้ง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงแล้ว เขาไม่เหลือใครที่นี่อีกแล้ว
เขามีแต่อนาคตเท่านั้น