ดร.อธิปัตย์เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อกระดาษออกมาจากเครื่องปริ๊ตเรียบร้อย มือหนาก็หยิบออกมาอ่านดูอีกครั้งก่อนใช้ดินสอวงกลมจุดสำคัญไว้แล้วพับใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“อยู่จนเช้าอีกแล้ว” ดร.หนุ่มวัยสี่สิบห้าบ่นอุบอิบแล้วลุกขึ้นยืน “โชคดีวันนี้ไม่มีสอน ไม่งั้นไม่ได้อาบน้ำอีกแหงๆ”
ชายหนุ่มผมสีดอกเลาหยิบหูโทรศัพท์ต่อสายถึง รปภ.อย่างคุ้นเคย “เรียกรถแท็กซี่ให้ผมหน่อยซิ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”
“อ้าว! แล้วรถของดร.ละครับ”
“ผมให้เพื่อนยืมไปใช้” ดร.ถอนหายใจกับความสอดรู้สอดเห็นของรปภ. “ไม่เกินสิบนาทีผมจะลงไป และหวังว่าจะมีรถมารอผมแล้ว”
ชายหนุ่มขยับปลดเนกไทออกแล้วหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กออกมาจากห้องวิจัย ลิฟต์เคลื่อนมาพอดีทำให้เขาไม่ต้องรอนาน ปกติเขาไม่ค่อยใช้ลิฟต์ขาลงเท่าไหร่นัก เขาชอบเดินลงบันไดและคิดอะไรไปเรื่อยๆ แต่วันนี้เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วความวุ่นวายของระบบการจราจรในเมืองหลวงเริ่มต้นขึ้น ถ้าไม่ติดว่ามีคนคอยอยู่ที่คอนโดเขาคงหลับสักงีบแล้วรอให้สายหน่อยค่อยกลับที่พัก เมื่อออกมาจากลิฟต์ก็พบแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว เขาผิวปากออกมานึกชม รปภ.อยู่ใน ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งนึก ‘ด่า’ ความสอดรู้สอดเห็นของรปภ. คนนี้ มนุษย์เราดื่มกินความอยากรู้เรื่องของผู้อื่นราวกับอาหารว่างนั่นเป็นเรื่องที่เขาทำใจมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
“ขอบใจ” ดร.อธิปัตย์เอ่ยเมื่อ รปภ. คนเดิมวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาขึ้น เขาบอกจุดหมายปลายทางย้ำอีกครั้งเอนหลังพิงเบาะรถแล้วหลับตาลง
ชายหนุ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของรถยนต์ เขาไม่ได้ง่วงนอนนักแต่เพราะไม่อยากสนทนากับชายหนุ่มหน้าโหดผู้ควบคุมพวงมาลัยรถอยู่ เขาเรียนรู้ว่าการแสร้งหลับเป็นการตัดบทสนทนาอย่างมีมารยาท เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับแท็กซี่ถึงได้ชวนผู้โดยสารคุยเก่งเสียทุกคน ตั้งแต่เรื่องการเมือง,เศรษฐกิจ,สภาพดินฟ้าอากาศหรือตลาดหุ้น แต่ที่บ่อยที่สุดคือความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้โดยสารเป็นใคร แต่ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่ใช่เหรอ เขาถึงได้มาเป็น ดร.อย่างทุกวันนี้ ดร.อธิปัตย์หัวเราะเบาๆ ในลำคอทั้งที่หลับตาอยู่เขาเคยชินกับความอยากรู้อยากเห็นที่คนอื่นมาต่อเขามาตั้งแต่ 6 หรือ 7 ขวบได้ เขาเป็นเด็กชายที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า
“เด็กอัจฉริยะ”
มันน่าตลกตรงที่เขาในวัยเด็กออกจะแปลกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อเขา แต่เรียกเขาว่าเด็กอัจฉริยะจนเขาเผลอคิดไปแล้วว่าเป็นชื่อของเขาเอง ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้เป็นเรื่องที่ชวนตื่นเต้น เขารู้แค่ว่าเขาจะขนมของกินเป็นของรางวัลถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์หรือทำสูตรฟิสิกส์ได้ได้และต่อมาก็มีใครต่อใครมาพาเขาเดินทางไปโน้นนี่นั้น! เด็กกำพร้าอย่างเขาไม่มีความจำเป็นต้องคิดอะไรมากมาย แค่มีที่ซุกหัวนอนมีข้าวให้กินอิ่มทุกมื้อก็แสนวิเศษแล้ว จนเมื่อเขาอายุ 12 ปีมีครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีภรรยาเป็นชาวไทยรับอุปการะเขาอย่างเป็นทางการ บุญคุณที่เขาต้องระลึกอยู่เสมอตอบแทนด้วยการทำโครงการวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับพันธุ์กรรมและเลือด พ่อบุญธรรมหรือผู้มีพระคุณของเขาเป็นโรคประหลาดไม่สามารถให้ผิวกายสัมผัสแสงอาทิตย์ได้เลย เขาจะเจอท่านแค่หลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น
“รถติดมากเลยครับ” เสียงคนขับแท็กซี่เอ่ยอย่างเกรงใจทำให้ดร.หรี่ตาขึ้นแต่ไม่ขยับตัว
“จะให้ผมลงเดินหรือ?”
“เปล่าครับ ผมถามความสมัครใจของผู้โดยสารเผื่อว่าจะไปใช้เส้นทางอื่นอย่างรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน”
“ไม่เป็นไร ผมไม่รีบมากและอีกอย่างบ้านผมไม่มีทั้งรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินผ่านหรอกนะ ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอหลับรำลึกความหลังหน่อยนะ”
“อ่า...ครับๆ” คนขับแท็กซี่มองผู้โดยสารผ่านกระจกส่องหลังแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เขาเอนหลังพิงเบาะหลับไปแล้ว เอาเถอะ! มีปัญญาจ่าค่าโดยสารก็พอแล้ว
...................
กรุงเทพฯ 33 ปีที่แล้ว
บนยอดตึกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในมหานครใหญ่ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีดำกำมะหยี่แต่สายลมแรงดุจจะก่อให้เกิดพายุฝนใหญ่ แสงฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ไกลๆ แต่ก็พอทำให้เห็นร่างเป็นเงาตะคุ่มๆ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตึก สายลมพัดแรงจนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมใส่ปลิวสะบัดในสายลม เท้าเปลือยเปล่าก้าวมายืนอยู่สุดขอบ มือสองข้างยื่นไปตรงหน้าคล้ายไขว่คว้าบางสิ่งที่โหยหาทั้งชีวิต ในความว่างเปล่าของอากาศแต่กลับจุดรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาคล้ายได้พบในสิ่งที่ต้องการ
แม้เปลือกตาจะปิดและจะเป็นการปิดตลอดไป เมื่อร่างของเขาทิ้งตัวร่วงราวกับใบไม้ถูกสายลมปลิวขั้ว พริบตาเดียว! สีแดงสดที่จิตกรใดก็ผสมสีให้งดงามเท่าสีเลือดไม่ได้ก็สาดกระจายเต็มถนน บนวิถีทางที่ใครต่อใครเคยเหยียบย่ำ
“…ข้าแต่พระเจ้า ของทรงพระเมตตาข้าพระองค์ด้วย พระกรุณาของพระองค์ ขอทรงลบล้างความผิดของข้าพระองค์ ขอทรงชำระล้างข้าพระองค์จากความอธรรมให้หมดสิ้นไป และทรงชำระความผิดบาปให้หมดมลทิน…”
บทสวดคำอธิษฐานเพื่อให้กลับใจเสียใหม่ยังไม่ทันจบดีนัก คนหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ลดกล้องส่องทางไกลลง จากจุดที่เขายืนอยู่ห่างไกลร่างของคนที่เคยยืนอยู่บนยอดตึกเมื่อครู่และเขาเองก็รู้ว่าก่อนร่างจะร่วงดิ่งลงมานั้น เขากำลังสวดอธิษฐานบทเดียวกับชายผู้นั้นแม้มันจะไม่จบบทก็ตาม…
เสียงไซเรนตำรวจและรถพยาบาลดังขึ้นกรีดกลางคืนไม่ให้เงียบสงบปลุกคนที่นั่งอ่านตำราแพทย์เล่มหนาริมหน้าต่างนั้นสะดุ้ง ‘อธิปัตย์’ วางหนังสือเล่มนั้นแล้วขยับผ้าม่านลูกไม้ฝรั่งเศสแง้มออกดูที่ถนนหน้าบ้านผ่านสนามหน้ากว้างราวกับสนามฟุตบอล รู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ แต่เขาก็ขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้าเดินกลับมานั่งที่เก่า
ตั้งใจจะล้มตัวลงนอนแต่มือกลับค้นเอาสร้อยเงินเส้นหนึ่งที่ห้อยจี้เล็กๆสีเงินเป็นแผ่นบางๆเริ่มเก่าตามกาลเวลาสลักหลังคำว่า “ลูกแกตัวที่ 5” ความทรงจำเก่าๆ เริ่มแทรกเข้ามาในความคิด แต่เพียงภาพรางๆปรากฏ เขาก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้นแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่มที่วัยเด็กเขาไม่เคยได้สัมผัส
…………………….
“รู้สึกว่ามีคนฆ่าตัวตายกันเยอะนะช่วงนี้”
ประโยคคำถามนั่นทำเอานายตำรวจหนุ่มยิ้มเจื่อนๆแทนคำตอบ เพราะเขาเองก็หัวหมุนกับคดีแบบนี้เยอะ แม้ว่าเพิ่งจะย้ายมารับหน้าที่ในพื้นที่นี้ได้เพียงแค่สองสัปดาห์ก็ตาม
“พักผ่อนบ้างนะทศ” เสียงเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่เอ่ยขึ้นแล้วตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ แล้วสายตาของเขาก็เหลือบขึ้นมองไปทางเด็กชายวัยสิบสองที่กำลังเดินเข้ามา
“อ้าวมานูเอล!กลับมาแล้วรึ” ผู้เป็นพ่อทักทันทีที่ร่างผอมบางเดินถือตำราหลายเล่มเข้ามาในบ้าน
อธิปัตย์ หรือ มานูเอล เพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วขยับแว่นสายตากรอบหนาสีดำสนิทให้กระชับใบหน้า ก้มศีรษะให้ชายหนุ่มนิดหนึ่งพอเป็นมารยาทเขาเคยเจอกันอยู่ไม่กี่ครั้งแต่ก็ถูกแนะนำว่า ทศมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ซึ่งเป็นนายตำรวจ ร่างผอมทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขก เด็กชายไม่ค่อยชอบชื่อใหม่ของตัวเองนักหรอก เพราะอดคิดไปถึงบรรดาอาบอบนวดในกรุงเทพฯ ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหาของผู้อุปการะเขา ชีวิตเด็กกำพร้าที่อดมื้อกินมื้อมาตลอดทำให้เขาไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ให้รกสมองนัก ที่สำคัญหลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆเสร็จ เขากำลังจะย้ายไปอยู่ลอนดอนในอีกไม่กี่เดือนแล้ว
เขากำลังจะฝั่งอดีตของตัวเองไว้ที่นี่เพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศใหม่เสียที!!!
“เพิ่งกลับมากห้องวิจัยเหรอ” ทศเอ่ยถามลูกบุญธรรมของถามพลางเก็บรูปถ่ายจากคดีคนที่โดดตึกฝั่งตรงข้ามกับคฤหาสน์ใหญ่เมื่อคืนเก็บเข้าแฟ้ม
“ครับ” เด็กชายตอบแล้วหันไปสบตากับพ่อบุญธรรมที่ยิ้มอย่างภูมิใจ
“คุณหนูคะ จดหมายของวันนี้ค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนนำจดหมายหลายฉบับมาส่งให้ลูกบุญธรรมเจ้าของบ้าน
“มีของสาวๆหรือเปล่าเอล” ญาติผู้พี่เย้าแหย่เล่นตั้งใจคลายอารมณ์ขุ่นมัวจากงานหนัก
คนถูกถามส่ายหน้าก่อนขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัวไปเก็บซ่อนสีหน้าประหลาดใจกับซองเอกสารสีน้ำตาลหม่นมีรอยประทับตราลงทะเบียนด่วนพิเศษ เมื่อแน่ใจว่าห้องปิดสนิทแล้ว เด็กชายก็แกะซองปริศนาออกดู
แล้วใบหน้าของอธิปัตย์ก็ซีดเผือดเมื่อมองรูปขนาดสี่คูณหกนิ้วที่เทออกมาจากซองสีน้ำตาล ไม่รู้ว่าเป็นเทคนิคหรือความจงใจอย่างไรรูปขาว-ดำ แต่เหมือนจงใจให้คราบเลือดสีแดงสดในรูปเด่นชัด สภาพศพแหลกเหลวเพราะตกจากที่สูง เมื่อเขาสังเกตดูดีๆ จึงรู้ว่าศพนั้นนอนอยู่ที่ทางเท้าใกล้ๆ บ้านเขานี่เอง
“คุณหนูค่ะ คุณหนู”
เด็กชายสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบเก็บซ่อนรูปไว้ใต้ผ้าคลุมเตียงก่อนเร่งเท้ามาเปิดประตูตามเสียงเรียกของคุณแม่บ้าน
“คุณผู้ชายจะไปอิตาลี่เย็นนี้ ท่านให้มาเรียนถามว่าคุณมานูเอลต้องการอะไรเป็นพิเศษมั้ยค่ะ”
“ไม่ครับ เอ่อ ผมต้องเตรียมทำเขียนโครงการวิจัยฝากเรียนคุณพ่อด้วยที่ไม่ได้ไปส่ง” เขาเอ่ยราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา เขาได้ยินมาจากแม่บุญธรรมซึ่งเป็นคนไทยของเขาว่าพ่อบุญธรรมเป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศเดินทางบ่อยจนไม่จำเป็นต้องไปส่ง
เด็กชายพยายามทำสีหน้าปกติแล้วรีบปิดประตู การ์ดกระดาษสีดำที่มีตัวอักษรสีแดงอยู่ในมือเขา เขาอ่านมันคร่าวๆ แล้วกระชากประตูออกอย่างแรงอย่างเพิ่งนึกได้ เขาชะโงกหน้ามาถามแม่บ้านที่ตกใจเสียงประตูห้อง เด็กชายยิ้มจางๆ ปรับสีหน้าให้ปกติ
“คุณพ่อจะไปกี่วันครับ”
“สักสองสัปดาห์เหมือนทุกครั้งกระมังคะ”
“ขอบคุณครับ”
เขาปิดประตู ก้มอ่านการ์ดในมือเพื่อความมั่นใจอีกครั้งก่อนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บการ์ดกระดาษไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดีและหอบซองสีน้ำตาลไปด้วย ที่มุมซองวงเล็บด้วยลายมือหวัดที่เขารู้สึกคุ้นตาดี
( แด่..ลูกแกะตัวที่ 5 )