ความหนาวเย็นของอากาศในฤดูหนาว ปลุกผักกาดให้ตื่นเช้ามาเกาะขอบหน้าต่าง ชมม่านหมอกบางๆ นอกสำนักงาน ได้นอนเต็มอิ่ม ใบหน้าขาวซีดของผักกาดผ่องใส เก็บที่นอนเสร็จแล้ว ผักกาดออกมานั่งแกว่งเท้าหน้าสำนักงานตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงเจ็ดโมงเช้า ไม่มีวี่แววว่ากลวัชรจะมา
ผ่านมาถึงแปดโมงเช้า มีพนักงานในออฟฟิศขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดใกล้ๆ แต่เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือใคร รีบตีวงเลี้ยวเอามอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ไกลโพ้น
“ไม่ได้เป็นปอบสักหน่อย...”
ผักกาดนั่งรอกลวัชรอยู่ตรงนี้จนถึงแปดโมงครึ่ง แดดส่องไปทั้งตัวก็ยังไม่ขยับเข้าร่ม พนักงานในออฟฟิศเดินหลบไปเข้าประตูหลัง ถึงเวลาทำงานแล้วแต่ไม่มีใครเปิดประตูหน้าต่าง แออัดกันหลังประตูกระจกแอบมองข้างหลังผักกาด
กำเงินยี่สิบบาทรอเขาตั้งแต่หกโมงเช้า เขามาถึงตั้งใจว่าจะยื่นให้ จ่ายค่ามาม่าที่กินไปสองกระปุก
ผักกาดยืนขึ้น พนักงานกลุ่มนั้นแตกตื่น ผักกาดไม่อยากหันไปมอง เดินคอตกออกจากสำนักงานไร่ชาอรุณรุ่ง ไปตามขอบถนนตั้งใจจะกลับไปเอาจักรยานที่กระต๊อบน้อยปั่นไปหายาย กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ให้กับความเดียวดาย
ยายจ๋า ไม่มียายแล้วกาดไม่เหลือใคร
โฟล์วีลยกสูงคันสีดำแล่นตัดเนินเขามาแต่ไกล แม้จะมองไม่เห็นป้ายทะเบียนแต่ผักกาดจำได้ว่าเป็นรถของใคร ต่อมาใบหน้าที่ใครหลายคนต่างหวาดกลัวเปลี่ยนจากเศร้าหมองมามีรอยยิ้ม อุ่นใจ ที่ไม่ถูกกลวัชรทอดทิ้ง
“ปิ่นโตอยู่เบาะด้านหลัง ย่าฝากมาให้ หิวก็เอาออกมากินได้”
เสียงพูดของเขาค่อนข้างหยิ่ง ยังหงุดหงิดไม่หายที่ต้องมาเป็นเบ๊ให้ไอ้เด็กหน้าตาน่ากลัว แถมยังต้องทนเห็นเสื้อผ้าของตัวเองไปอยู่บนร่างกายผ่ายผอม รอผักกาดส่งคืนเมื่อไหร่ เขาจะเอาไปเผาทำลายทิ้ง ไม่ให้เหลือเศษซากไว้เป็นอนุสรณ์ให้ไอ้ไม้ล้อเลียน
“ส่วนนี่ รายการเอกสารของยายที่เธอต้องเอาติดตัวไปด้วย เราต้องไปเอาหนังสือรับรองการตายที่โรงพยาบาลก่อน ค่อยไปทำใบตายที่อำเภอ รับไปสิ ขับรถอยู่ เดี๋ยวพาหักพวงมาลัยลงข้างทางซะหรอก จะมองทำไมนักหนา หรือเธออ่านหนังสือไม่ออก”
คนหล่อหันมาทำหน้าหงิกใส่ ผักกาดส่ายหน้าเร็ว เผลอมองเพลินไปหน่อย เพราะเขาใจดี
“กาดอ่านได้ กาดเรียนจบ ม.6”
“อ่านได้แน่เหรอ ไหน ลองอ่านให้ฟังซิ”
“บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรยายอยู่กับกาด แต่สำเนาทะเบียนบ้านอยู่ที่บ้าน ต้องกลับไปเอา”
“รู้แล้วน่า ไม่เห็นเหรอว่าตบไฟเลี้ยวกำลังจะกลับรถ”
ถูกบ่น แต่ผักกาดก็ยังมองว่ากลวัชรใจดีอยู่ดี
“กาดไม่รู้มาม่ากระปุกละเท่าไหร่ กาดกินไปสองกระปุก”
“บ้าปะ โซเดียมเกินได้เป็นโรคไตตายห่ากันพอดี เขาให้กินอย่างมากวันละหนึ่งกระปุกก็พอแล้ว แล้วก็ห้ามซดน้ำ อย่าบอกนะว่า...”
“เกลี้ยงกระปุกเลย” พูดจบ แล้วผักกาดก็ยิ้ม
กลวัชรเผลอมองรอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสของยายเด็กผีปอบนานจนลืมเลี้ยวรถ ดีว่าถนนเส้นนี้อยู่ในไร่ ไม่ค่อยมีรถจึงไม่เป็นอันตราย
เขาสะบัดหน้า ไม่สนใจจะรับเงินและไม่สนใจจะมองหน้ายายเด็กผักกาด เห็นเธอวางธนบัตรสีเขียวไว้ให้ก็วางมาดเฉย อยากจะจ่ายเงินหรือไม่จ่ายก็แล้วแต่
เหตุการณ์ในวันวานย้อนเข้ามาในหัวเหมือนแฟลชแบ็ค ไอ้ไม้ขับกระบะยกสูงไล่ตามจักรยานผักกาดมาตามเส้นทางนี้ จอดอยู่ตรงนี้ ก่อนผักกาดจะเคาะกระจกให้เขาตามไปส่งถึงหน้ากระต๊อบน้อย
ตอนนี้ฟ้าสว่าง เขาคงไม่ต้องไปเป็นเพื่อนยายเด็กคนนี้แล้วมั้ง
แต่... เดี๋ยวก่อน
ทำไมยายเด็กผักกาดไม่ยอมลงจากรถสักที
เขาปลดล็อกให้นานแล้วนะ กลวัชรชำเลืองหางตาไปมอง
“ไปเป็นเพื่อนกาดหน่อยสิ กาดกลัว”
แม่งเอ๊ย บ้านตัวเองแท้ๆ แล้วคิดว่าเขาไม่กลัวหรือไง
“ใกล้ๆ แค่นี้ ไปเองสิวะ แค่ขับรถพามาก็น่าจะเกินพอแล้ว”
“จบงานศพยาย กาดจะทำผัดเผ็ดปลาดุกที่อร่อยที่สุดให้กิน”
กลวัชรกำลังจะอ้าปากด่า ได้ยินเสียงใสพูดถึง ผัดเผ็ดปลาดุก เขาเก็บปากแทบไม่ทัน
เป็นบ้าเหรอ ทำไมต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะอยากกิน ไปซื้อกินที่ร้านอาหารก็ได้มั้ง อาจจะอร่อยมากกว่า
“ไม่คาวด้วยนะ กาดหาปลาเอง เอามาจากลำน้ำท้ายไร่”
“ตกลง”
จบเห่ เขาเห็นแก่กินมากกว่ากลัวผีผักกาด
กลวัชรจอดรถชิดขอบทาง เผื่อมีรถไถนาสวนมาจะได้ไม่ขูดข้างรถ
ให้ยายเด็กผักกาดเดินนำ ส่วนเขาเดินตามแต่เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปใกล้มากเกินไป เหลียวมองสองข้างทาง ข้างหนึ่งเป็นคูน้ำสายเล็กๆ ซึ่งชาวนาใช้น้ำนี้เพื่อทำการเกษตร ส่วนอีกด้านเป็นที่นาของชาวบ้าน ความเขียวขจีของทุ่งนาช่วยให้กลวัชรหายกลัว ชมวิวเพลินๆ ไม่นานนักเดินเข้ามาถึงหน้ากระต๊อบน้อย
ถุงใสบรรจุปลาดุกตัวอวบอ้วนเขาลืมเอาออกจากแฮนด์จักรยาน มันเด๊ดสะมอเร่ไปแล้ว นอนเหยียดยาวแห้งตายอย่างน่าอนาถ กลวัชรเวทนาปลาดุกวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ
“ลูกพ่อ! ไปขึ้นสวรรค์ซะแล้ว แล้วพ่อจะหาตัวใหม่จากไหนมาผัดเผ็ด”
เขาดึงสายตาไปทางยายเด็กผักกาดที่ทำหน้างง หน็อยแน่ จะหาว่าเขาเพี้ยนเหรอ กลวัชรรีบเก๊กหล่อ
“มองอะไร มาเอาเอกสารก็รีบไปเอาสิ เดี๋ยวเปลี่ยนใจให้ปั่นจักรยานไปโรงพยาบาลเองซะหรอก”
“กาดไม่รู้ยายเอาทะเบียนบ้านเก็บไว้ไหน รอหน่อยนะ อย่าไปไหนไกล”
“จะให้ไปไหนไกลเล่า มองไปรอบๆ มีแต่ไร่นากับแปลงผัก หรือจะให้ฉันเข้าไปวิ่งเล่นในเล้าไก่”
“ถ้าเล่นกับเป็ดกับไก่ครบทุกตัวแล้ว กาดฝากโยนข้าวเปลือกให้พวกมันกินด้วยนะ”
นี่... ยายเด็กผีปอบใช้งานเขางั้นเหรอ เห็นเขาใจดีเข้าหน่อยใช้ใหญ่เลยนะ
“เปลี่ยนชุดด้วยนะ อย่าคิดใส่ชุดฉันไปเดินเพ่นพ่านในเมือง!”
เด็กผักกาดทำหูทวนลม หายลับเข้าไปในกระต๊อบหลังน้อย
กลวัชรอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เดินผ่านแปลงผักไปทางเล้าเป็ดเล้าไก่ เหม็นมาก ไร่เขามีสัตว์หลายประเภท แต่เป็ดกับไก่ไม่มีแน่นอน ไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยว
เขาเหลือบไปเห็นถุงข้าวเปลือก เปิดหูออกแค่ข้างเดียวกำเอาข้าวเปลือกขว้างเข้าไปในเล้า เจ้าพวกหิวโหยตีปีกบินพร้อมกันเป็นฝูงเข้ามารุมจิกกินบนผืนดิน กลวัชรกลัวพวกมันไม่อิ่ม หว่านเพิ่มอีกหลายครั้งสำรองให้พวกมันกินอิ่มไปถึงตอนเย็น
“มีไข่ไก่ด้วยแฮะ”
ย้ายมาอยู่เล้าข้างๆ แม่ไก่นั่งกกไข่ผิวเนียนไว้
อู๊ด อู๊ด อู๊ด
มียันหมู!
“เชี่ย นี่มันบ้านคนหรือสวนสัตว์วะ”
ให้อาหารเป็ดอาหารไก่ครบแล้ว ลามมาให้อาหารหมูตัวอ้วน ยายเด็กผักกาดยังไม่ออกมาจากบ้าน เขารอนานแล้ว ไปเปิดก๊อกน้ำลากสายยางมารดน้ำต้นพริก ค้างถั่วฝักยาว บวบ ไปถึงกอตะไคร้ กอข่า รดให้จะหมดบ้านแล้วยายเด็กผักกาดยังไม่ออกมา
“นี่ยายเด็กผีปอบ เธอจะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่...”
กระต๊อบน้อยไม่ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน เดินผ่านประตูเข้ามาก็แทบจะมองเห็นความเป็นอยู่ภายในบ้านทั้งหมด ผักกาดกำลังเปลี่ยนเสื้อเปลือยหน้าอกหันกลับมามองตามต้นเสียง เด็กสาวอาย วิ่งไปหลบหลังตู้เสื้อผ้า
กลวัชรหน้าแดง เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สาวเท้าถอยไปปิดประตูกระต๊อบน้อยให้ผักกาดตามสบาย ส่วนเขากลับไปอยู่กับเป็ดกับไก่น่าจะปลอดภัยมากกว่า