CHAPTER 3

1636 คำ
CHAPTER 3  สายตาของฉันเบิกกว้างกว่าปกติมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้ ไม่นึกว่าไอ้ประโยคนี้แบบนี้จะออกมาจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนเก่า คนที่ชื่อว่าเกมส์... ทั้งน้ำเสียงบวกกับท่าทางที่ดูง่ายๆ ของเกมส์นั้นทำเอาฉันอึ้งไม่น้อย แต่สิ่งต่อมามันก็คือความคิดในแง่ลบต่างๆ นานาตามมาเป็นขบวนราวกับถูกกำหนดเอาไว้แล้วเป็นฉากๆ จากสมองของตัวเอง ไม่มีผู้ชายคนไหนชวนผู้หญิงไปอยู่ด้วยโดยไม่คิดอะไรชั่วๆ ไม่มีผู้ชายคนไหนชวนผู้หญิงไปอยู่ด้วยโดยไม่มีแผนสำรองใดๆ ถึงแม้จะเคยเป็นเพื่อนกันมาก็ตาม เพราะนั่นมันนานมาแล้ว ข่าวก็ออกกันโครมๆ ว่าสมัยนี้จะไว้ใจใครได้ยากแม้แต่คนในครอบครัวก็ตาม “ไม่” แน่นอนว่าการปฏิเสธเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองภายในตอนนี้ พอเกมส์ออกไปค่อยคิดว่าจะเอายังไงต่อ ให้ตายยังไงก็ไม่ไปกับเขาแน่ “อ๋อ... จะนอนที่นี่งั้นสิ?” สายตาของเกมส์หันไปมองรอบๆ ป้ายรถเมล์แบบสำรวจด้วยแววตาแกมสมเพชมากกว่าที่เห็นฉันไม่มีที่ไป “จะนอนที่ไหนก็เป็นเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับนายสักนิด” เป็นนาทีเดียวกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเกมส์สั่นไหว เขาล้วงเข้าออกมาก่อนกดรับ นิ้วชี้เรียวขาวชี้มาทางฉันเป็นเชิงบอกว่า ‘รอ’ “อืม ว่าไง...” จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าจะกรอกน้ำเสียงแบบไหน พูดอะไรบ้างทั้งที่นัยน์ตาสีนิลจับจ้องมาทางตัวเองไม่เคลื่อนสายตาไปไหน ไม่ก้าวเท้าขยับด้วยซ้ำ ทำไมความซวยซ้ำซวยซ้อนถึงมาเยือนตัวเอง ความตกต่ำของชีวิตถึงอยู่ในรูปแบบนี้ด้วย ฉันรู้ตัวเองดีว่า.... อวดดีทั้งที่ไม่มีดีให้อวด อวดเก่งทั้งที่ในใจกลัวแทบตาย “เออ แล้วกูจะเข้าไปให้มึง” จบประโยคเกมส์ก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ริมฝีปากคล้ำขยับพูดนิ่งๆ ไม่ยินดียินร้ายอะไรเหมือนเดิม “จะเอายังไงขิม?” นี่เขาไม่ได้ยินฉันปฏิเสธอย่างงั้นเหรอหรือว่าตั้งใจกวน “ไม่ไป” ได้ยินชัดหรือเปล่า คงได้ยินนะ “ตามใจแต่ถ้าพวกนั้นย้อนกลับมาเธอไม่ใช่คนโง่คงรู้นะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง” เกมส์พูดทิ้งท้ายเพียงแค่นี้ก่อนเดินจากไปทิ้งฉันเอาไว้เพียงลำพังกับป้ายรถเมล์ บรรยากาศในตอนกลางคืนเย็นลงจนฉันห่อตัวกอดกับตัวเองก่อนย่อตัวนั่งพิงเสา ฉันไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ นะ ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ ไม่มีคนช่วยเหลือ แม้แต่คนสุดท้ายที่ดีกับตัวเองเขาก็ยังไป นัยน์ตาสีนิลอันแสนคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก มือคู่นั้นที่คอยปกป้องตัวเองจากคนรังแกบ่อยๆ แต่พอมาเจอะเจออีกครั้งกลับกลายเป็นความเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง เขาไม่ใช่คนเดิม... นิสัย การกระทำก็ไม่ใช่แบบเดิม... เกมส์ไม่ใช่คนเดิมเหมือนหลายปีมากก่อน เขาต้องเกลียดฉันมาก เกลียดที่ตอนนั้นกล้าปฏิเสธการการสารภาพรักของเขา “ขิม จบมอหกแล้วแต่งงานกันมั้ย?” น้อยนักที่จะมีใครพูดต่อหน้าผู้หญิงทั้งทีตัวเองยังแต่งชุดนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย วันที่เกือบสุดท้ายของปลายภาคการศึกษา ที่ทั้งฉันและเขากำลังจะจบมอหก แต่ผู้ชายตรงหน้าฉันเลือกทำ ไม่มีการลุกเข่าโชว์แหวนขอแต่งงานใดๆ ให้เป็นพิธีทั้งสิ้น มีเพียงแค่นัยน์ตาสีนิลสวยคู่นั้นที่จับจ้องมายังใบหน้าของฉันด้วยความจริงจัง ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม “เรายังเด็ก” “พูดแบบนี้ไม่แต่งสินะ” เกมส์ประชดฉัน แววตาของเขาดูสลดลงเด็กน้อยทั้งท่าทางก็เหมือนดูห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัดเจน “งั้นเป็นแฟนกันได้มั้ย?” “...” “คบๆ กันไปถึงเวลาแล้วค่อยแต่ง เราไม่อยากให้ขิมโดนทำร้ายอีกแล้วนะ เราจะปกป้องขิมจากคนพวกนั้นเอง” “ขิมอยากมีแค่แม่...” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายในอดีตที่ฉันเลือกทำ... คำพูดที่โคตรเห็นแก่ตัว ไม่ผิดอะไรถ้าในตอนนี้เกมส์จะทำแบบนี้กับตัวเอง ก้าวเดินไปไม่เท่าไหร่เขาก็เข้าไปอยู่ในรถสปอร์ตสีน้ำเงินเข้มคันหรูเพียงเสี้ยววินาทีที่หางตาคู่นั้นจะเบี่ยงมามองฉันผ่านกระจกรถที่กำลังถูกเลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ หางตานั้นช่างว่างเปล่ายิ่งกว่าอะไรดีกระทั่งกระจกเลื่อนขึ้นปิด รถหรูก็ออกตัวไปจากตรงนี้ ตรงที่ฉันนั่งมอง... จนไฟท้ายรถลับสายตาไป ทำไมอีกฝากหนึ่งของจิตใจฉันยังเผลออยากให้เขากลับมาหานะ กลับมายืนนิ่งดั่งรูปปั้นจะเย็นชาแค่ไหนถึงจะไม่ถามอะไรสักประโยคก็ยังอุ่นใจมากกว่าที่ไม่มีเขาอยู่ด้วยแบบนี้ กลับมาถามอีกครั้งหนึ่งก็ยังดี เพราะถ้าเขากลับมาถาม คำตอบมันอาจเปลี่ยนไปจากเดิมแน่ ฉันจะตกลงไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น แต่คำว่า ‘สายไป’ คอยตอกย้ำฉันอยู่เนืองๆ หนูจะทำยังไงดีค่ะแม่... ขิมจะทำยังไงดี น้ำตาที่หยุดไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาอีกครั้งพร้อมกับอาการสะอึกสะอื้น ฉันกอดเข่าแน่นคิดเสียว่ามันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจากนั้นก็โน้มตัวก้มลงไปจนหน้าผากกระทบกับหัวเข่า ขิมเจอเขา ขิมเจอเกมส์อีกครั้งแล้วค่ะ เสียงพึมพำของตัวเองดังขึ้นเงียบๆ ออกมาเรื่อยๆ ความอ่อนล้าทางร่างกายไม่เท่าความอ่อนล้าภายในจิตใจ มันกัดเซาะเกาะกินจิตใจของฉันไปทีละนิดๆ และคืนนี้บรรยากาศก็ยิ่งแปรปรวนมากขึ้นมีสายฝนปรอยๆ หล่นลงมาจากท้องฟ้าทีดำ แสงสว่างเกิดขึ้นเป็นเส้นแล้วเส้นเล่าน่ากลัวจากนั้นก็มีเสียร้องคำครามตามมา ลมพัดมาทีหนึ่งความหนาวเย็นก็เข้ามาปะทะร่างกาย หนาว... สั่นสะท้านไปหมด เหมือนจะไม่สบาย ซวยซ้ำมันเข้าไป เกือบสองชั่วโมงที่ฉันนั่งงอตัวเหมือนกุ้งอยู่ในจุดเดิมไม่คิดออกไปไหน นานๆ ครั้งมีรถแล่นผ่านก็ต้องทำตัวให้ลีบเล็กเหมือนกับจะแทรกตัวเข้าไปในเสาเพื่อที่ไม่อยากให้ใครเห็นแต่ทว่าขณะนี้ร่างกายของฉันเหมือนจะไม่ไหวแล้ว จะพยายามฝืนแค่ไหนก็ไม่ดีขึ้น ทั้งส่ายศีรษะไปมา พยายามนวดเค้นขมับ พยายามตบใบหน้าก็เท่านั้น ไม่ได้... จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ฝืนไว้ขิม แกต้องฝืนไว้ สายตาพล่ามัวไปทีละนิดๆ อาการปวดหัวตุบๆ บริเวณขมับทั้งซ้ายและขวาเกิดขึ้นอย่างไม่มีคำความปรานีทั้งนี้ยังปวดเมื่อยไปหมด ตึก ตึก เสียงของฝีเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเรียกสติของฉันถึงจะมีเพียงน้อยนิด ไม่คบถ้วนนักทั้งที่พยายามมากเท่าไหร่ก็ได้แค่นี้กระทั่งมันหยุดลงพร้อมกับปลายรองเท้าปรากฏตรงหน้า พอฉันเงยขึ้นไปแสงไฟจากเครื่องมือสื่อสารก็ส่องจ้ากระทบสายตาตัวเองแทบมองไม่เห็นบุคคลนั้นเลย จน... หมับ! ฝ่ามือใหญ่เย็นเฉียบรับศีรษะของฉันที่กำลังจะกระทบพื้นได้อย่างทันถ่วงทีเพียงข้างเดียว ฉันจึงเห็นเสี้ยวใบหน้าของเขาที่เล็ดลอดออกจากความมืดแบบชัดเจน “เกมส์...” เช้าวันต่อมา ปวดหัว... ปวดจนไม่อยากตื่นนอนหรือแม้กระทั่งลืมตาขึ้น การนอนนิ่งของตัวของเพื่อขอตั้งสตสักนิดกับไม่เป็นผลมากเท่าไหร่เนื่องจากอาการปวดหัวยังโจมตีแทบไม่หยุดยั้งทั้งนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยร่างกาย เจ็บคอและปวดหน่วยๆ ตรงช่วงหน้าท้องร่วมอยู่ด้วย แต่การปวดหัวนี่คงหนักสุด มือเล็กของตัวเองที่อยู่ข้างลำตัวถูกส่งออกมานวดขมับเบาๆ ทั้งซ้ายและขวาสลับกัน ในเมื่อลืมตาไม่ขึ้นฉันก็หลับตานวดแบบนั้น เพื่อหวังว่าอาการจะทุเลาเบาบางลงบ้าง จริงสิ! แต่แล้วอีกความคิดหนึ่งก็แล่นแทรกเข้ามาในหัวสมองอย่างรวดเร็วราวกับจรวด เรื่องที่ก่อนหน้าฉันอยู่ตรงป้ายรถเมล์แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพราะขณะนี้ด้านหลังแผ่นหลังเป็นฟูกนุ่มๆ รองรับร่างกายของตัวเอง ที่นี่ไม่ใช่ป้ายรถเมล์แน่ๆ ก่อนหน้าเมื่อคืนรู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย หนาวมาก ปวดหัวมาก ก่อนหน้าที่จะหมดสติลงเหมือนกับว่าเจอเกมส์เป็นคนสุดท้าย เกมส์เหรอ... พอคิดได้แค่นั้นร่างกายของฉันก็ดีดเด้งลุกขึ้นนั่งอย่างอัตโนมัติเป็นเหตุให้สายตาพล่ามัวไปชั่วขณะเนื่องจากการลุกเร็วเกินเหตุและดูท่าว่าตอนนี้ฉันต้องทิ้งตัวหงายหลังนอนลงโดยไม่สนว่ามันจะกระทบกับฟูกเตียงแรงแค่ไหน ร่างกายของตัวเองคงอยู่ในช่วงขาลงเสียแล้ว หมับ! คงอีกนิดเดียวมั้งที่แผ่นหลังจะกระทบกับฟูกหรือไม่ศีรษะอาจจะฟาดกับหัวเตียงกับมีอะไรบางอย่างเข้ามารองรับตัวฉัน มันแข็งแกร่งโดยมีความนุ่มผสมไปในตัว มีกลิ่นหอมโชยมาแบบอ่อนๆ ไม่ฉุน ฉันจึงนั่งอยู่แบบนั้นสักพักหนึ่งพยายามตั้งสติที่ดูเหมือนมีแค่เล็กน้อยเท่านั้น “อย่าฝืน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม