CHAPTER 2
เขาคนนั้นคือ...
“เกมส์...”
พรมลิขิตมนุษย์ทุกคนล้วนอยากเจอเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งสวยงามมากแต่ใครจะไปรู้ว่าภายใต้คำๆ นี้อาจมีคำอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่และทั้งหมดนี้ก็คือความคิดของฉันเองเมื่อได้เจอเขาอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อนเก่า...
ปึก!
ในตอนที่เกมส์เผลอฉันจึงผลักเขาออกจากตัวเองและลุกขึ้นยืนเตรียมหนีผู้ชายคนนี้แต่มือใหญ่กับคว้าตัวฉันได้อีกครั้งหนึ่ง เกมส์ดันตัวฉันให้ถอยหลังให้ติดกับเสาต้นเดิมเพิ่มเต็มก็คือเขาดันเอาตัวเองเข้ามาแนบชิดกับร่างกายของฉันแม้กระทั้งใบหน้าถ้าฉันไม่หันข้างหลบป่านนี้ก็คง...
“เจอกันอีกครั้งนะขิม”
เขาจำฉันได้...
ลมหายใจร้อนๆ ผสมกับไอร้อนจากริมฝีปากของเขาแนบชิดไปกับต้อคอของฉันมากเหลือเกิน การพยายามใช้ฝ่ามือข้างเดียวดันตรงหัวไหล่ของเกมส์ออกฉันก็ทำไม่ได้ แรงไม่พอขนาดนั้นทำไมนะ ทำไมอะไรที่ขึ้นต้นด้วยการจากลามันมักลงท้ายด้วยการพบเจอเสมอเช่นเดียวกับฉันและเขา
พระเจ้าจะเล่นตกอะไรอีก ทำไมต้องทำให้ฉันเจอเขาอีกครั้ง...
“...”
“หยิ่งเสียด้วยสิ”
น้ำเสียงนิ่งพูดขึ้นไม่ต้องดูก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเกมส์เหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย ยิ้มแบบไม่มีความดีผสม ฉันไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้ที่ฉันเฝ้าดูเมื่อก่อนหน้าจะเป็นเกมส์ไม่อย่างนั้นแค่หางตาก็ไม่มีทางมองไป
ไม่มีทางสนใจขนาดทุ่มตัวลงไป
“ออกไป นายจะทำอะไร?” ความแนบชิดระหว่างฉันกับเกมส์มันเกินไปแล้วจึงไม่แปลกถ้าฉันจะเอ่ยแบบนี้ออกไป สภาพของตัวเองก็ใช่ว่าจะดีเด่นชุดนักศึกษาสีขาวเปียกน้ำแนบชิดลู่ไปกับร่างกายเห็นด้านในชัดเจนจะดีหน่อยก็คือฉันใส่เสื้อกล้ามตัวเล็กซับเอาไว้ “ฟังไม่ออกเหรอ บอกให้ออกไป”
“สภาพแบบนี้น่าจะดีใจนะที่เจอเพื่อนเก่าแบบฉันเพราะถ้าเจอไอ้พวกสวะสังคม... ผัวได้หลายคนแน่”
“ปากเสีย นาย...”
ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยปากพูดต่อแสงไฟสูงก็ส่องเข้ามาหาทั้งฉันและก็เกมส์เป็นจุดเดียว
แสงนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องหันใบหน้ากลับมาพร้อมทั้งหลับตาปี๋ไม่หันไปมองย้อนแสงอีกเพราะมันแยงสายตาแต่รู้ว่าร่างกายของตัวเองถูกจับเหวี่ยงเปลี่ยนทิศทางจากฝีมือเกมส์
เหมือนเขาเข้ามาแทรกกลางกั้นระหว่างตัวฉันกับแสงสว่างนั้น
กลิ่นน้ำหอมผู้ชายล่องลอยวนเวียนปลายจมูกก่อนที่ศีรษะจะถูกฝ่ามือใหญ่ออกแรงกดให้ใบหน้าฉันซุกลงแผ่นอกกว้างพอจะออกแรงดิ้นประท้วงก็มีเสียงครางออกมาจากลำคอของเกมส์
“ป้ายรถเมล์พวกมึงก็ไม่เว้นเหรอวะ?”
น้ำเสียงผู้มาใหม่ใช้โทนเสียงพูดเรียบๆ แต่มีความแขวะแอบแฝงได้แบบชัดเจนซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันใช่กลุ่มวัยรุ่นเที่ยวกลางคือแบบทั่วไปหรือเปล่า
การมาเจอสถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตตัวเองมีสีสันมีรสชาติแต่ในทางตรงกันข้ามกันกับรู้สึกความอันตรายที่กำลังจะได้เจอต่างหาก
“แล้วมีกฎด้วยเหรอ?” เกมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับดันศีรษะฉันลงไปในอ้อมกอดเขาอีกครั้งหนึ่งเมื่อฉันเริ่มคัดค้านมือใหญ่ของเขาก็เลยวางอยู่บนศีรษะฉันตลอดเวลาเรียกได้ว่าถ้าฉันขยับเขาก็พร้อมออกแรงกดลงมาทันทีอย่างไม่รีรออะไรให้มันมากความแต่แล้วสมองของฉันกับมีห้วงความคิดหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาแสดงว่าตอนที่เกมส์พูดตอบเขาไม่ได้หันใบหน้าไปมองคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ “หรือพวกมึงมีปัญหา?”
พวกมึง... แสดงว่าไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว
เดี๋ยวนะ ฉันยังไม่อยากโดนฆ่าตายตรงป้ายรถเมล์นะ เพราะแน่ล่ะถ้าอีกฝ่ายพูดแบบนี้ออกไปแล้วนึกเหรอว่าร้อยทั้งร้อยจะมีความสงบสุขเกิดขึ้นตามมาไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้เชียวล่ะ
“นินายพูดอะไร!”
ไม่ไหวที่ฉันจะยืนอยู่นิ่งๆ ทำจิตใจเป็นแม่พระแล้วจึงออกแรงดึงชายเสื้อยืดของเกมส์กระตุกให้เขารู้สึกตัวและสนใจในประโยคอันแสนเบาของตัวเอง
“เงียบ”
เกมส์ไม่ได้ตะคอกหรือว่าตะโกนออกมาดังๆ แต่พูดขึ้นช้าๆ แต่ราบเรียบชวนน่าขนลุกสยดสยองทำให้ฉันกลืนประโยคต่อมาลงลำคอไปทันที
“ไม่มีแต่เห็นแล้วมันขัดลูกตา”
“ขัดลูกตาพวกมึง?” ฉันรู้ว่าเกมส์ขยับตัวนิดหน่อยคงจะหันไปหาพวกนั้นแค่เพียงครึ่งใบหน้าเท่านั้นมั้งเพราะศีรษะฉันยังซบลงตรงหน้าอกเขาอยู่ “ขัดเยอะหรือขัดน้อยดีล่ะ?”
“ก็ขัด...”
น้ำเสียงปริศนาของคนพวกนั้นหยุดไปทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ สาเหตุมันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่เพราะจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงรถออกตัวจากไปจึงรีบผละออกจากตัวของเกมส์ทันทีโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้จะพูดอะไรทั้งนั้น นัยน์ตาสีนิลจ้องมองฉันเหมือนกับว่าพยายามหาสาเหตุ
“โดนทารุณมาอีกหรือไง?”
“ทารุณมันใช้กับสัตว์”
ความจริงแล้วไม่ใช่ใช้กับสัตว์หรอกเพียงแต่ว่าฉันไม่ชอบ มันเหมือนตัวเองดูไม่ใช่คนเมื่อใช้กับคำๆ นี้จะดูเหมือนเป็นของเล่นให้คนอื่นได้ใช้ระบายอารมณ์กับร่างกายของตัวเอง เขาพูดออกมาได้ยังไงผู้ชายคนนี้
“แต่สภาพที่เห็นตอนนี้เธอก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์นักหรอก” ที่มองมาก็เพื่อสำรวจแล้วเก็บรายละเอียดมาต่อว่าฉันสินะยอมคนจริงๆ สำหรับนิสัยของผู้ชายคนนี้ ฉันจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกตัวเองเอาไว้ “ปิดแค่ไหนก็ไม่มิด เคยได้ยินไหมช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิดอ่ะ”
“...”
โห... ไม่เจอกันมาตั้งนานนมเกมส์เจ้าสำบัดสำนวนมากขนาดนี้เชียวเหรอขัดกับภาพลักษณ์ที่แสดงออกมากเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไปทำอะไรให้พวกนั้นไม่พอใจอีกล่ะ?”
เกมส์พูดขึ้นต่อพร้อมกับเบือนใบหน้าไปมองทางอื่นไม่ได้มองฉันที่เป็นคู่สนทนาของเขา คำว่าพวกนั้นฉันรู้ดีว่าเกมส์หมายถึงอะไรถ้าไม่ใช่ป้าพา...
ใช่ เขารู้จักครอบครัวของฉันดี ดีมากเสียด้วยซ้ำไปเพราะฉะนั้นถ้าการที่ร่างกายฉันมีรอยเขียวช้ำสีม่วงๆ ให้เขาเห็นเมื่อไหร่หมอนี่จะต้องเดาถูกทุกครั้ง ตั้งแต่พวกเรายังเป็นเพื่อนกันสมัยเด็กแล้วบอกเลยว่าเกมส์ไม่ค่อยพอใจหรอกที่วันๆ เห็นฉันมีรอยถูกทำร้ายจากเบาๆ กลายเป็นหนักขึ้นทุกครั้งตั้งแต่แม่เสียไปก็อย่างก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนเขา...
ฉันไม่อยากพูดแล้ว
ไม่รู้จะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตอีกทำไมเพราะถึงนึกแทบตายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอย่างแน่นอนยิ่งไปกว่านั้นอาจทำให้ปวดหัวจนไมเกรนขึ้นแน่ๆ ฉะนั้นก็พอเถอะ
“ไม่ได้ทำ”
“หึ ถ้าไม่ได้ทำสภาพไม่อ่วมขนาดนี้หรอกมั้ง จะโกหกอะไรขอร้องช่วยให้มันเนียนๆ เหมือนเรียนมาหน่อย”
จบประโยคอันแสนร้ายกาจใบหน้าของเกมส์ก็หันมาแบบตรงก่อนที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเข้ามาเช็ดขมับซ้ายของฉัน ระดับมันอยู่ระหว่างกึ่งกลางของความนุ่มนวลและความรุนแรงยังไงซะก็ทำให้ใบหน้าของฉันบิดเบี้ยวได้เพราะรู้สึกปวดขึ้นมานิดๆ
“อือ...จะ”
“อยู่นิ่งๆ” ร่างกายของฉันยืนนิ่งตามคำสั่งของเขายอมให้เกมส์เช็ดคราบเลือดออกจากขมับซ้ายของตัวเองอย่างง่ายดาย สงสัยแผลนี้ได้มาจากสันหนังสือเล่มที่ป้าพาเหวี่ยงทิ้งมาแน่ๆ “ทำไมไม่โต้ตอบบ้าง?”
“พอเถอะ”
ฉันคว้าข้อมือใหญ่ของเกมส์ออกจากศีรษะของตัวเองโดยที่มีเสียงถอนหายใจออกมาจากเขา
“เหมือนเดิมสินะ”
ใช่เหมือนเดิม... ในเมื่อเขารู้คำตอบดีขนาดนั้นยังต้องถามฉันอีกทำไม
“นายเปลี่ยนไปมากเลยนะ”
ฉันอยากหลีกเลี่ยงความสนใจออกจากความคิดของเขาและไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองอีกแค่นี้ก็เครียดมากพออยู่แล้วจึงถามเกมส์ขึ้นบ้าง
ในสายตาของฉันเขาเปลี่ยนไปมากถึงมากที่สุดจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปเมื่อก่อนกลายเป็นแบดบอยที่ดูยังไงก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไปทั้งลุคการแต่งตัวใหม่มันราคาแพงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าทุกอย่างล้วนเป็นของแบรนด์ดัง สีหน้าท่าทางรวมไปถึงรอยสักตรงข้างที่ฉันจับอยู่ในขณะนี้ด้วย
“ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง”
เหมือนเดินกับผีอะไร!
คิดได้แบบนั้นฉันก็ยกข้อมือใหญ่ของเกมส์ที่มือของตัวเองยังไม่ปล่อยเคลื่อนเข้ามาระหว่างตัวเองกับเขาก่อนที่จะพลิกด้านที่มีรอยสักให้นัยน์ตาสีนิลมองดูแขนของตัวเขาเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้ผู้ชายกลัวเข็มแบบเกมส์เขาจะตัดสินใจทำอะไรได้ขนาดนี้
“สวยดีนะ”
สวยจริง
“อืม ดีหน่อยที่เธอชมมัน” ข้อมือใหญ่เบี่ยงออกจากการจับของฉันอย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่ภายในมือของเขายังมีผ้าเช็ดหน้าและรอยคราบเลือดอยู่ “รีบกลับบ้านไปทำแผลซะ กลางคืนอันตราย เธอไม่น่าออกมาจากบ้าน”
“เห็นฉันเป็นผู้หญิงกลางคืนหรือยังไง?”
ถ้าฉันไม่ถูกไล่ออกจากบ้านอย่างหมูอย่างหมาและไร้ความเป็นธรรมของป้าพาคงไม่มาใช้ป้ายรถเมล์และมาเจอกับเขาทั้งที่ไม่อยากเจอสักนิด
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่แต่ตอนนี้...”
“ฉันว่านายรีบไปดีกว่าส่วนตัวฉันจะไปเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เรื่องของนายหรอก ที่เจอกันมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละคิดอะไรมาก” ฉันก้าวเท้าเอาตัวให้ห่างจากเกมส์และมองเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจแกมหวาดระแวงซะด้วยซ้ำ
“โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญหรอกขิม ฉันแค่มาเอาของให้เพื่อน” เกมส์ก้าวเท้าตามเข้ามาหาฉันอีกครั้งทำให้ระยะห่างของเรามีระยะใกล้เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง “กลับบ้านเดี๋ยวไปส่งเอง”
“ไม่ ฉันจะกลับเอง”
ใบหน้าหล่อคิ้วขมวดเป็นเชิงสงสัยในการกระทำของฉัน เขาไม่ได้ปิดบังความสงสัยของตัวเองเอาไว้กับตัวทว่ากับแสดงออกมาแบบเต็มๆ
“หรือว่า...”
“ฉันกำลังรอแฟนมารับ นายรีบไปได้แล้ว”
“รอแฟนหรือโดนไล่ออกจากบ้านเอาดีๆ”
แฟน...
คำนี้ไม่ต้องสงสัยเพราะฉันใช้มันเข้ามาเป็นไม้กันหมาไล่เกมส์เฉยๆ อย่าว่าแต่แฟนเพื่อนผู้ชายสักคนแทบไม่มี จะมีก็แต่ผู้ชายแต่ใจเป็นหญิงอีกทั้งยังเป็นรุ่นน้องอีกต่างหาก
“...”
“ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?”