บทที่15.1 แนบชิดติดอุรา

1386 คำ
เมื่อนั้น ท้าวยักษานึกใจกล้า พลั้งอิงแอบแนบติดชิดอุรา หมายสบตานารีมิลี้ไกล พลางประคองดวงใจไม่ไกลห่าง เชยพระปรางหอมหวานให้สมหมาย พระที่นั่งโอฬารร้อนดั่งไฟ เฝ้าชิดใกล้แนบน้องประคองเคล้า สองเต้าตึงคลึงด้วยกรด่วนฉับไว พระโอษฐ์ไซร้จุมพิตกลางใจนาง ครั้งเมื่อยามลมพายุโหมเข้าใส่ ยอดดวงใจบิดกายคิดหลบหนี แต่ฟ้าฝนใช่จักคิดปรานี อสนีบาตเกรี้ยวกราดฟาดลงกุนที “ผืนปถวีเลื่อนลั่นสั่นสะเทือน” ฟึ่บ! เพล้ง! เสียงของข้าวของร่วงหล่นแตก ทำเอาชายหนุ่มผู้ไม่คุ้นชินกับเหตุการณ์วิปลาสภายในเรือนพักแรมสะดุ้งตัวโยน รีบผละตัวออกห่างจากเรือนร่างอริเราในอาการรีบร้อนเคล้าตกใจ หากแต่นั่นก็ใช่จะทำให้มันรีบย้ายตัวเองออกไปจากห้องหับเสียที่ไหน “เกิดอะไรขึ้นวะเม?” มันยังคงถามผู้เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนด้วยสีหน้าและท่าทางคล้ายกับสงสัย ทว่า ฟึ่บ! “กลับออกไปเลยไป!” สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือเสียงขับไล่ เมื่อเจ้าของเรือนตั้งตัวรับกับเรื่องที่เกือบเกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ทันการณ์ แม้นว่าท่าทางยังดูไม่ค่อยสู้ดีเพราะฤทธิ์น้ำจัณฑ์มากนักก็ตามที สังเกตเห็นได้ว่าแก้มของอริในร่างนารียามนี้กำลังแดงจัดไม่ต่างจากชายหนุ่มข้างกายนัก หากต้องเดาคงไม่แคล้วเรื่องที่ทั้งคู่ถูกเนื้อต้องตัวเมื่อครู่เป็นแน่ ยิ่งได้ยลเหตุการณ์เบื้องหน้า มันก็คล้ายกับเป็นตัวเราเองที่ทนไม่ไหว เฉกเช่นร่างกายซึ่งเผลอทำตามใจชอบกระทืบเท้าหนึ่งทีเพื่อแสดงอาการที่เป็นอยู่ให้ชนธรรมดาได้รู้สึกและรับรู้ การสะเทือนเล็กน้อยของพื้นที่ทั่วบริเวณภายในห้องหับ ทำเอาผู้เป็นเจ้าของห้องรับรู้ถึงการมาและมีอยู่ของเราดี รีบลุกออกจากแท่นนั่งตัวยาวอาการรีบร้อน พร้อมกันนั้นก็ฉุดดึงร่างของชายหนุ่มให้ลุกตามออกมาด้วย “กลับไปด้ายแล้ว!” อีกหนที่เจ้าหล่อนออกปากขับไล่ผู้หวังดีให้กลับไป ใช้เรี่ยวแรงตามประสาขี้เมาในการผลักดันกายคนตัวใหญ่กว่าให้เดินไปยังประตูห้อง ยามนี้เราไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดของปุถุชนทั้งสอง ไม่แม้จะล่วงรู้ถึงความคิดของตัวเราเองด้วยซ้ำ ว่ากำลังใคร่ครวญถึงสิ่งใดอยู่ หากแต่ที่เจนชัดมากที่สุดในยามนี้ก็คงเป็นภาพของอรินารีขณะปิดประตูห้องด้วยอาการโรยแรงหลังจากขับไล่ผู้มาเยือนออกไปได้สำเร็จเท่านั้น “ท่านท้าวอสุเรนทร์ ท่านอยู่ที่นี่ใช่ม้าย!?” อีกสิ่งที่ชัดเจนไม่ต่างกันก็คงเป็นเสียงขานเรียกเราจากนารีขี้เมาตรงหน้าขณะกวาดสายตามองไปรอบห้องหับคล้ายกับพยายามมองหา ซึ่งเสียงเรียกดังกล่าวนั้นเอง ที่ทำให้เรายินยอมอำพรางตัวตน ปรากฏกายต่อสายตานารีตรงหน้าตามเสียงเรียกขาน และในชั่ววินาทีที่เรามีโอกาสสบประสานกับนัยน์ตาคู่สวยของอริ ทุกอารมณ์ซึ่งเคยสั่งสมมาตลอดภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นภายในเรือนพักแห่งนี้ก็มีอันต้องอุบัติ “เหตุใดเกิดเป็นนารี เจ้าจึงไม่รู้จักพกยางอาย!?” ทั้งที่เราเกรี้ยวกราดจนสามารถบันดาลพายุฟ้าฝนให้บังเกิดขึ้นภายในเรือนหลังนี้แท้ๆ แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ได้แสดงทีท่าหวาดเกรงบารมีหรือฤทธิ์อำนาจที่เรามีแม้แต่น้อย กลับกัน “ท่านเนี่ย เกรี้ยวกราดใส่ฉ้านอีกแล้วนะ...” เมรีอดีตอริคู่แค้นกลับหัวเราะพลางโบกไม้โบกมือทำทีท่าเหมือนเห็นว่าสิ่งที่เราตะคอกกล่าวออกมานั้นเป็นเรื่องตลกขบขัน ซ้ำร้ายยังกล่าวยอกย้อน “ฉ้านก็บอกท่านไปแล้วงาย ว่าแค่กระดิกนิ้วผู้ชายก็เข้าหาแล้ว” “กริยาเช่นนั้นหาใช่เรื่องที่ดีไม่!” แม้ว่าเราจะตวาดเสียงเกรี้ยวกราด แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้อีกฝ่ายยอมสิโรราบหรือรู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างใด ยังคงเถียงคำไม่ตกฟาก ยอกย้อนไม่รู้จักที่ต่ำสูง “แล้วท่านล่ะ ตอนอยู่ในผับฉ้านเต้นของฉันดีๆ แล้วท่านมองฉ้านทามมาย...” มิหนำซ้ำถ้อยคำทุกวลีที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นยังยอกย้อนได้ทุกเม็ด อีกทั้งยังตบอกยืนกรานหนักแน่น อย่างไม่รู้จักเกรงกลัว “ฉันก็แค่อยากทำให้ท่านรู้ไว้ว่า ท่านจะต่อว่าหรือดูถูกใครก็ดูถูกไป แต่คนๆนั้นต้องไม่ใช่ฉัน นังเมรีคนนี้เข้าจายไหมท่าน?” “เมาเยี่ยงหมา เหตุใดจึงกล้าโอหังอวดดี ยอกย้อนเรานัก!” ซึ่งกริยาทั้งหมดที่อรชรตรงหน้าแสดงให้เห็นยิ่งเพิ่มความเกรี้ยวกราดให้แก่เราเพิ่มทวีคูณขึ้นเป็นหลายเท่าตัว นวลนางได้ยินฟังคำต่อว่ากลับไม่ยักสลด เดินก้าวเท้าไม่ตรงเลนเข้ามาหาทำหูทวนลมคล้ายกับไม่ได้ยินมันเสียอย่างนั้น แต่ก่อนจะเดินผ่านไปยังไม่วายที่จะหยุดชะงักเท้าลง และพ่นวาจาขัดหูให้ได้ยิน “ก็ท่านอยากเห็นไม่ใช่เหรอ ว่าการยั่วยวนผู้ชายของฉ้านเป็นยางงาย...” คล้ายกับยั่วโทสะในกายเราให้ลุกโชนยิ่งขึ้นดั่งถูกไฟสุม “ก็นี่ไง อย่างที่ฉ้านทำให้ท่านเห็นนั่นแหละ เขาเรียกว่ายั่วยวนน อ๊ะ...” ฟึ่บ! ไวกว่าที่สติสัมปชัญญะจะคิดไตร่ตรองเหตุและผล มือข้างถนัดก็พุ่งเข้าฉวยข้อมือเล็กของร่างบางตรงหน้าเอาไว้จนมั่นพร้อมแรงบีบซึ่งอัดแน่นด้วยโทสะอย่างเปี่ยมล้น ฉุดกระชากเรือนร่างอรชรเหวี่ยงกระแทกลงกับผนังเรือนอย่างไม่ยั้งแรง ตึง! “หากกริยาไร้ยางอายที่เรามีโอกาสได้ยลเป็นขวัญตา คือสิ่งพิสูจน์ให้เราได้รู้ถึงวิธีการดั่งวาจาที่เจ้าว่าไว้...” ที่รวดเร็วไม่ด้อยไปกว่ามือในยามนี้ ดูท่าจะเป็นปากและร่างกายที่รีบสมทบทาบทับกักขังอริไว้ในอ้อมกาย หยัดฝ่ามือทาบชิดติดผนัง ใช้วงแขนแทนกรงขัง โดยมีนัยน์ตาสองข้างของเราในกายเฝ้าจับผิดความผิดในตัวอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ “หมายความว่ากริยาไม่สมเป็นนารีเช่นนั้น เจ้าหมายจักยั่วยวนเราให้หลงกลเสน่หาอย่างงั้นรึ?” “ทะ ท่านอย่ามาพูดบ้าๆนะ หลงตัวเองนะ!” “หากมิให้คิดเช่นนั้น แล้วสิ่งใดคือเรื่องที่เจ้าต้องการเอ่ยบอกเราเล่า!?” พอถูกยอกย้อน วูบหนึ่งที่เจ้าของใบหน้าสะสวยก็เริ่มแสดงทีท่าอึกอัก คล้ายกับคิดหาคำตอบ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างจากสีหน้า “กะ ก็ไอ้ณภัทรงาย ทะ ..ท่านก็เห็นนี่ว่าเขามาส่งฉ้านถึงห้อง...” ชั่วคราหนึ่งที่ใบหน้ารูปไข่ล้นเสน่ห์ตรงหน้าขณะโหวกเหวกให้การปฏิเสธด้วยสีหน้าเครียดตึง ปรากฏขึ้นเป็นภาพซ้อนของอดีตทหารยักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ราวกับเป็นการเตือนใจ ให้เราท่องจำให้ขึ้นว่า อรชรนางนี้คืออดีตยักษ์มารที่เราหมายปลิดชีวา หากแต่ภาพซ้อนทับของไอ้กุมภัณฑ์ ก็ไม่อาจทำให้เรารู้สึกสนใจคำเตือนดังกล่าวได้มากเท่ากับความรู้สึกที่เรามี หลังได้ฟังถ้อยวลีอึกอักไม่หนักแน่นของหญิงตัวเล็กตรงหน้า กึก... “คราวนี้ก็เลิกหลงตัวเองสักทีนะท่าน แล้วก็ปล่อยฉ้านสักที...อื้อ..” ร่างกายตอบรับเสียงปฏิเสธของเรือนร่างอรชร ด้วยการทิ้งน้ำหนักลงกับฝ่ามือซึ่งหยัดกับผนังเรือนที่พักไว้ ขณะโน้มหน้าลงเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไร้การครุ่นคิดไตร่ตรอง ก่อนจัดการปิดทุกเสียงร้องไล่อื้ออึงทั้งหมดที่อีกฝ่ายกระทำ ให้เงียบลงด้วยริมฝีปากเดียวที่เรามี เพลาในชั่วยามนี้ ต่อให้เจ้าของเรือนร่างอรชร จะเป็นเพียงนารีชนคนสามัญนามว่าเมรีหรือเป็นอดีตทหารเอกอริที่เราหมายราญรอนชีวาให้วอดวายอย่างไอ้กุมภัณฑ์ก็ตาม ขอประกาศด้วยคำมั่นว่า เราไม่สน...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม