บทที่14.3 เมรีขี้เมา

1401 คำ
-ท้าวอสุเรนทร์ กล่าว- ใจเรากำลังเกิดอาเพศยามต้องยลภาพเรือนร่างของอริขณะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่าทางผิดวิสัยและแปลกประหลาด ทั้งสีหน้าหรือท่าทางที่คู่กรรมของเราแสดงให้เห็นล้วนแล้วแต่ สร้างความแปรปรวนทางความรู้สึก จำต้องทิ้งศักดิ์ศรี เป็นฝ่ายหลบลี้หนีออกมาจากสถานที่อึกทึกนั่นก่อน มือข้างถนัดเลื่อนขึ้นกุมอุราฝั่งซ้ายเล็กน้อย หมายจะหยุดการเต้นของดวงใจที่รุนแรงจนผิดแปลกไปจากเก่า หากแต่มันยากเหลือเกิน อีกทั้งยังดูยุ่งยากกว่าการออกศึกสงครามบนนครยักษ์เสียอีก สถานที่ที่เราหลบหนีมานั้นไม่ใช่ที่ไกลตัวอริเลยแม้แต่เพียงนิด หากแต่เป็นภายในเรือนพักผ่อนของมันนั่นแหละ เราเอนหลังยืนพิงผนังกำแพงภายในห้องเล็กเมื่อรู้สึกดวงใจเอาแต่เต้นแรงไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ และหลับตาลงเพื่อให้สติหวนคืนกลับมา ทว่า ภาพที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางความมืดและความคิดดันเป็นภาพของยักษ์หนุ่มอีกตนขึ้นมาเสียอย่างงั้น ‘ท่านอสุรายามนี้เปี่ยมล้นด้วยความสุข กระหม่อมเห็นแล้วก็อดรู้สึกเปรมปรีดิ์มิได้’ เสียงของไอ้กุมภัณฑ์เอ่ยขึ้น ขณะที่มันและเรานั่งอยู่ภายในสวนวัง พานให้เราอดที่จะเหลือบมองตามวิถีสายตาของมันไม่ได้ ก่อนพบว่าที่ใต้ต้นไทรใหญ่กลางสวนวังกำลังมีคู่ชายหญิงเพาะปลูกต้นรักอยู่ตรงนั้น หากจำไม่ผิด รู้สึกว่านั่นจะเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ไอ้กุมภัณฑ์จะแปรเปลี่ยนไป ‘อีกมินานนัก สรวงและนครยักษ์จักรวมกันเป็นหนึ่ง เมื่ออนุชาคู่บุญเราหมายหมั่นเคียงคู่กับนางสวรรค์นางนั้น’ ‘หากเป็นเช่นนั้นจริงได้โดยไว กระหม่อมเองนั้นชักอยากจักลองอุบัติเป็นสตรีบ้างสักคราว’ คำพูดติดตลกของทหารเอกคู่กายทำเราละลดสายตาจากภาพคู่รักใต้ต้นไทร มายังใบหน้าเจ้าของน้ำคำทันทีอย่างนึกขบขัน หากแต่นั่นดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ยักษ์หนุ่มข้างกายเอ่ยขึ้นหนที่สอง ‘หากเกิดเป็นสตรี...บางทีกระหม่อมอาจจะเชื่อมสายใยระหว่างแดนสรวงและนครยักษ์ของท่านท้าวได้ฉับไวยิ่งกว่านี้’ ‘ทำไมรึ? มึงจักเป็นนารีที่ฉุดอนุชาเราเข้าหอลงโลงรึอย่างไร?’ เพราะสิ่งที่ไอ้กุมภัณฑ์พูดนั้น ฟังดูเป็นเรื่องตลกขบขัน เราเองจึงนึกสนุกเอ่ยถามอย่างไม่คิดอะไร แต่ว่า ‘ถ้าในเพลาชั่วยามหนึ่ง กระหม่อมอุบัติเป็นนารีสวรรค์ขึ้นมาล่ะขอรับท่านท้าว ยามนั้นท่านท้าวจะทำเช่นไร?’ เพราะเรื่องขบขันยังคงพูดผ่านปากต่อปาก เราซึ่งไม่ทันคิดอะไรจึงตัดสินใจใช้หัวแม่โป้งและนิ้วชี้เอื้อมเข้าบีบปลายคางของยักษ์หนุ่มทหารเอกข้างกายอย่างไม่ถือตัว เรากวาดตามองสำรวจไปทั่วใบหน้าก่อนพบว่าฝ่ายถูกกระทำดูจะแสดงอาการตกใจนิดหน่อยที่เราถือโอกาสกระทำการเช่นนี้ ‘หากมึงเป็นหญิงจริงดั่งคำถาม ถึงคราวนั้นกูอาจจะตกหลุม ส่งมอบดวงใจกูให้มึงไว้ครอบครองก็เป็นได้’ ทั้งที่ยามนั้นเป็นเพียงเรื่องขบขันที่เรากับไอ้กุมภัณฑ์พูดกันสนุกปาก ทว่า ‘หากเป็นความประสงค์ที่ท่านจักมอบให้กระหม่อมดูแล ถึงชั่วยามนั้น กระหม่อมก็ยินดีจักดูแลดวงใจของท่านท้าวเช่นกันขอรับ...’ วินาทีที่มีโอกาสได้สบสายตาประสานต่อกันอย่างไม่หลบเลี่ยง มันก็กลายเป็นเราเสียเองที่เหมือนเสียศูนย์เป็นฝ่ายขยับโน้มใบหน้าเข้ามาทหารเอกคู่กายเสมือนว่าชั่วยามนั้นมันเป็นวีรสตรีตนหนึ่งเท่านั้น ‘ท่านพี่!’ ฟึ่บ! กึก! โชคดีที่ยามนั้นได้เสียงเรียกของอสุราหยุดทุกการเคลื่อนไหวลงเสียก่อน พลอยให้สิ่งที่เรากับไอ้กุมภัณฑ์กำลังร่วมกันทำผันเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะขบขันราวกับตลกอะไรนักหนา หากจำไม่ผิดรู้สึกว่าในชั่วที่เรากำลังขบขันการกระทำของตนเอง ดวงใจเราในชั่วยามนั้นก็ดูไม่ได้ต่างจากเพลานี้เลยสักนิด... กึก! กึก! เสียงกึกกักของบางสิ่งด้านนอกประตูทำเราสะดุ้งจากภวังค์ความคิดขบขันหากแต่น่าอายดังกล่าวให้กลับคืนสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน จนพลอยให้ได้ยินเสียโหวกเหวกโวยวายซึ่งดังตามมาหลังจากนั้นไปด้วย “ยืนดีๆดิวะ ทำไมเวลากินไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองบ้างฮะเมรี!” ความสงสัยทำเราตัดสินใจเดินย่างกรายผ่านบานประตูห้องออกไปด้านนอกเพื่อดูเหตุการณ์ก่อนพบว่าบริเวณหน้าประตูห้องด้านนอกมีร่างของคู่ชายหญิงกำลังยืนเคียงข้างกันอยู่ ลักษณะของฝ่ายชายดูมีอาการปกติหาใช่เรื่องที่น่าห่วงไม่ ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่โอนไปเอนมาไร้หลักยึด หมดคราบของหญิงสาวอวดดีที่เราคุ้นตาในฐานะอริสิ้นเชิง “ยืนนิ่งๆดิ!” “รีบๆเปิดเซ่ คีย์การ์ดอยู่ในกาเป๋า” อาจเพราะช่วงเวลาระหว่างนครที่เราอาศัยอยู่กับแดนมนุษย์มันไม่ตรงกันล่ะมั้ง การยืนหยัดอยู่ในแดนของพวกมนุษย์ทำให้เวลารอบตัวเราเดินไวเสียจนรู้สึกเหมือนกับว่าเราเพิ่งมาถึงห้องนี้ไม่เท่าไหร่ กึก! ไม่นานภาพทุลักทุเลของคู่ชายหญิงด้านนอกประตูก็สามารถเปิดประตูพาร่างของคนทั้งคู่เข้ามาภายในห้องได้เป็นผลสำเร็จ ถึงกระนั้นเราก็ยังคงได้ยินเสียงบ่นของตัวบุรุษที่มีต่อนารีขี้เมาไม่หยุดอยู่ดี “ดีนะ ที่พรุ่งนี้พักกอง ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไงถ้านักแสดงนำหญิงเมาแบบนี้” เราใช้อิทธิฤทธิ์ในการอำพรางกายให้รอดพ้นจากสายตาปกติของพวกมนุษย์ ยืนกอดอกมองภาพของปุถุชนทั้งสองอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล “ก็ไม่ด้ายมาวขนาดนั้นป่ะวะ!?” รับรู้ยลยินเห็นภาพและเสียงโวยวายของอริซึ่งถูกชายหนุ่มลากพาตัวตรงไปยังที่นั่งตัวยาวกลางห้องได้ชัดเจนดี หากเราจำไม่ผิดรู้สึกว่าบุรุษท่านนี้จะมีนามว่าณภัทร “เธอนี่มันน่าจริงๆเลยว่ะ พยายามรักษาภาพลักษณ์นางเอกหน่อยไม่ได้หรือไง?” มันถามเป็นหนสุดท้ายก่อนทิ้งตัวลงนั่งลงโซฟาตัวเดียวกันในระยะใกล้ชิด ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวปฏิเสธการนั่งข้างเบียดชิดของชายหนุ่มแต่อย่างใด “แล้วไงอ่ะ สุดท้ายนายก็ปล่อยข่าวแย่ๆของฉันอยู่ดีม่ายใช่หรือไงเล่า!” แม้ยามนั้นเธอจะโวยวายพลางใช้มือทุบเข้าใส่กลางอุราของชายหนุ่มที่พาเธอกลับมาเรือนพักแรมแห่งนี้ก็ตามที “นั่นมันตอนนั้นป่ะวะ...ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำ” ดูท่าแล้วทางฝ่ายบุรุษจะค่อนข้างใจเย็น แม้นว่าจะโดยต่อว่าเสียสี แต่เขาก็ไม่ได้ใช้กำลังตอบโต้หญิงสาวกลับไป ตรงกันข้าม เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มคนดังกล่าวทำน่ะ มันกำลังส่อสื่อไปทางเรื่องอื่น ฟึ่บ! “อะ...” เสียงหวานของเมรีดังขึ้นในจังหวะที่ข้อมือของเธอถูกรวบไว้ได้ทันก่อนที่จะทุบลงกลางอุราบุรุษชนได้เป็นหนที่สอง ซึ่งนั่นมาพร้อมกับความใจเย็นและน้ำเสียงแสดงความจริงใจ “ตอนนี้ฉันกำลังช่วยเธอ” หากชั่วยามนั้นมีเพียงแค่ถ้อยคำแสดงความจริงแต่เพียงเท่านั้นล่ะก็ เราคงไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่ใช่กับยามนี้ ยามที่มันกำลังสบประสานตากับนารีตรงหน้าตรงๆ ขณะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาอย่างช้าๆ คล้ายกับส่อแววปรารถนาจะทำยิ่งกว่าแค่การสบสายตา เพราะเห็นภาพดังกล่าวมาเนินนาน จนเกินที่จะยลชมได้อีกต่อไป รู้สึกตัวอีกที เราก็กำลังจ้องเขม็งไปยังภาพของชายหนุ่มแบบไม่วางตา พลางเหวี่ยงมือกระแทกใส่ผนังอย่างแรง จนให้ข้าวของภายในเรือนพักแรมเริ่มสั่นพานให้ของบางอย่างร่วงหล่นลงมาจากชั้นวาง ฟึ่บ! เพล้ง! หวังเพียงแค่หยุดทุกการกระทำจาบจ้วงขัดหูขัดใจตรงหน้าลงก็เท่านั้น!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม