“แล้วยามนี้ผัวเจ้าอยู่หนใดเล่า?”
“ท่าน!!!” ฉันหวีดเสียงอย่างเหลืออดต่อคำพูดตอกกลับของคนตัวใหญ่ แต่เชื่อได้เลยว่าวันนี้เป็นวันที่น่าหงุดหงิดที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยก็ว่าได้ ทว่า ยิ่งกรีดร้องแสดงความไม่พอใจใส่เขาเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่า อีกฝ่ายจะยิ่งดูชอบใจมากเท่านั้น ซ้ำร้ายยังถูกเขาแขวะ
“หาได้มีผัวเป็นตัวตนไม่...”
“ท่านปากเสีย!” แม้ว่าจะแย้งด้วยคำต่อว่า แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้ลดละสีหน้าหรือท่าทางชอบใจลงเลยสักนิด
“หรือเจ้าจักแย้งเราเล่า? เอาสิ” ยิ่งต่อปาก ฉันก็ยิ่งค้นพบว่าว่าตัวเองเหมือนคนพ่ายแพ้ เพราะไม่ว่าจะพละกำลังหรือคำพูดคำจา ดูท่าแล้วคงไม่มีทางไหนที่จะเอาชนะยักษ์ตนนี้ได้เลยสักทาง เพราะงั้นฉันจึงเลือกจะพูดออกไปตามตรง
“ไม่แย้ง...เพราะตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะมีแฟน”
“แฟนรึ?” เขาย้อนยิ้มๆ หากแต่ในรอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและเยาะเย้ยรวมอยู่ด้วย
“หมายถึงผัวน่ะ ฉันยังไม่คิดจะมี ก็เลยไม่ขวนขวายที่จะหา”
บ้าฉิบ! นี่มันใช่เวลาต้องมาพูดเรื่องผัวๆเมียๆหรือไงนะ!
“แต่ท่านเชื่อเถอะว่าคนอย่างฉันน่ะ แค่กระดิกนิ้วเรียก ผู้ชายก็วิ่งเข้าหาเป็นขบวนแล้ว” แต่ไม่ว่าจะพยายามพูดให้ตัวเองดูเหนือกว่าคำดูถูกดังกล่าวเท่าไหร่ คนตัวใหญ่ก็ยังคงแสดงสีหน้าเดิมไว้ เดาไม่ออกว่าเขากำลังเยาะเย้ยหรือ ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินกันแน่ จนกระทั่งท้าวอสุเรนทร์เป็นฝ่ายถาม
“กริยาเฉกเช่นที่เจ้าถึงเนื้อถึงตัวเข้าหาบุรุษก่อนอย่างงั้นน่ะรึ?”
และถ้าเดาไม่ผิด ดูเหมือนเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ฉันดึงณภัทรเดินหนีออกจากกองถ่ายวันนี้นั่นแหละ แต่พอรู้สึกเหมือนได้ช่องทางเพื่อหาข้ออ้างพูดให้ตัวเองอยู่เหนือคำดูถูกของยักษ์ตรงหน้าได้ ฉันก็ไม่รอช้าที่จะรัวคำพูดออกไปแบบไม่คิดอะไร ทว่า...
“ถ้าท่านจะพูดแบบนั้น มันก็ใช่ ผู้ชายน่ะเข้าหาง่ายจะตาย แค่ฉันไม่อยากทำเท่านั้นเอง...อะ” ยังไม่ทันได้พูดแอบอ้างสรรพคุณจอมปลอมของตัวเองจนจบสิ้นประโยคดี เสียงของฉันก็มีอันต้องแปรเปลี่ยนไปในช่วงท้าย เมื่อจู่ๆคนฟังจงใจใช้มือปิดประตูตู้เสื้อผ้าลง แล้วขยับกายเข้ามาใกล้แบบไม่ให้ตั้งตัว โดยใช้ร่างกายในการไล่ต้อนจนแผ่นหลังฉันชิดนาบลงกับตู้เสื้อผ้า ก่อนใช้วงแขนในการกักขังฉันไว้อีกแรงพร้อมด้วยคำถาม
“หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเหตุใดแก้มเจ้าจึงแดงนักหนา ยามใกล้ชิดเราเช่นนี้?”
สิ่งที่ได้ฟังทำฉันรีบใช้มือสองข้างจับแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติ โดยคงสายตาไว้ที่ใบหน้าคมคายของคนตรงหน้าแบบไม่ลดละสายตา เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ท้าวอสุเรนทร์จงใจแกล้งจู่โจมใส่กันแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะครั้งแรก ครั้งนี้ หรือครั้งไหน ฉันก็ไม่มีทางชินกับเรื่องบ้าๆแบบนี้อยู่ดี
“ทะ ท่านพูดอะไร...ฉันไม่ได้แก้มแดงสักหน่อย”
“ยามนี้ยัง...” ซึ่งเขาก็พูด พลางใช้มือข้างที่เหลือจับมือฉันข้างหนึ่งบีบบังคับให้ลดลงไปอย่างช้าๆ ก่อนเปลี่ยนมาใช้นิ้วหัวแม่มือเลื่อนขึ้นมาแตะลงบริเวณมุมปาก “เจ้าคิดว่าหากเราทำเกินกว่านี้ แก้มเจ้าจะแดงหรือไม่?”
สิ้นเสียงถาม คนตัวใหญ่ก็ทำมันจริงๆ เคลื่อนโน้มใบหน้าเข้ามาหาอย่างช้าๆ ทั้งที่ตาของเราทั้งคู่ยังสบประสานกัน แต่เพราะก่อนหน้านี้ เขาเคยเอาคืนฉันด้วยวิธีนี้มาแล้วหนหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้ฉันจึงไม่พลาดเป็นหนที่สอง รีบใช้สองมือผลักอกคนตัวใหญ่อย่างเต็มแรง ต่อให้ไม่รู้ว่าแรงที่ส่งผ่านไปจะช่วยหยุดการกระทำบ้าๆของเขาลงได้หรือเปล่าก็ตาม
ฟึ่บ!
แต่ว่า ครั้งนี้ดูเหมือนแรงผลักที่แสดงออกจะได้ผล เมื่อคนตัวใหญ่ยอมที่จะเคลื่อนตัวออกห่างตามแรงที่ฉันผลักไส ไปพร้อมกับหัวแม่โป้งมือ ทันทีที่ระยะห่างของเรากว้างขึ้น ฉันจึงต่อว่าทันที
“ทะ ท่านเป็นยักษ์ประสาอะไรฮะ! บะ บ้ากาม!” ว่าจบฉันก็รีบจ้ำเท้าเดินหนีเขาออกมาจากจุดเกิดเหตุทันทีโดยไม่ลืมคว้าชุดสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงติดมืออกมาด้วย และดูเหมือนว่าครั้งนี้ ท้าวอสุเรนทร์จะไม่ได้ตามมากวนประสาทเหมือนอย่างเช่นทุกที
เมื่อหันมองกลับไปจึงพบว่าเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใช้อำนาจอันตรธานร่างสูงใหญ่ของตัวเองหายไปไหนเหมือนครั้งก่อนๆ โดยเป้าหมายสายตาเขาในตอนนี้มันก็คือตัวฉันเองนั่นแหละ และพอเห็นเขายืนมองอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าแบบนั้น มันก็อดแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะเย้ยใส่ไม่ได้
คิดว่าจะปั่นหัวกันได้เป็นหนที่สองงั้นเหรอ
ฝันไปเถอะย่ะ!
เวลา ๒๑.๑๐ นาฬิกา
ผับดังแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ
นับตั้งแต่ช่วงที่หนีกลับจากกองถ่ายมาก่อนโดยไม่รอเจ๊ขวัญเหมือนอย่างทุกที ทำให้คืนนี้ฉันต้องพาตัวเองมายังผับชื่อดังสถานที่จัดงานเลี้ยงเพียงลำพังโดยไร้การติดต่อกลับจากผู้จัดการส่วนตัว ถึงอย่างนั้นก็พอคาดเดาได้ว่าเจ๊ขวัญน่าจะรับรู้เรื่องการมาร่วมงานเลี้ยงของฉันได้ไม่ยาก
“คุณเมรีคะ ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะ!”
“ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะคุณเมรี!” ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีบริเวณหน้าผับ เมื่อรถโดยสารแท็กซี่ซึ่งโดยสารมาจอดลงที่หน้าผับอย่างไร้วี่แววของผู้จัดการส่วนตัวอยู่เคียงข้าง
“ทำไมวันนี้คุณเมรีมาคนเดียวละคะ คุณกรองขวัญผู้จัดการไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ?” และเพราะคราวนี้ฉันไม่สามารถหลบเลี่ยงการถูกสัมภาษณ์ของนักข่าวได้เหมือนอย่างวันอื่นๆ ฉันจึงต้องยอมจำนน
“เจ๊ขวัญน่าจะตามมาทีหลังน่ะค่ะ พอดีนัดกันเอาไว้แล้วว่าให้มาเจอกันที่นี่”
“คุณเมรีคะ คุณเมรี! แล้วไม่ทราบว่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณเมรีและคุณเรนทร์ตอนนี้อยู่ในขั้นไหนแล้วคะ!?”
“เมกับคุณเรนทร์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกันเลยค่ะ แค่เจอกันผ่านๆบ้างในกองถ่ายแค่นั้น” รู้สึกได้เลยว่าพอไม่มีเจ๊ขวัญอยู่ข้างๆเวลาต้องตอบสัมภาษณ์นักข่าวแบบนี้ มันก็ค่อยข้างจะอึดอัดและพูดยากอยู่เหมือนกัน
“แล้วที่ว่าคุณสองคนเคยนั่งรถไปบ้านคุณแม่คุณเมรีด้วยกัน นี่เรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”
“อ๋อคือเรื่องนั้นน่ะมันไม่...” ขณะให้สัมภาษณ์นักข่าวเพื่อปฏิเสธทุกคำถามอยู่นั้น จังหวะเดียวกันกลับมีเสียงของใครอีกคนเอ่ยแทรกขึ้นแบบไม่รอให้ฉันได้พูดจนจบ
“จริงครับ!” พานให้ทุกสายตานักข่าวรวมถึงเลนส์กล้องเบี่ยงเบนความสนใจจากฉันไปยังเจ้าของคำตอบดังกล่าวเป็นตาเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายรวมถึงสายตาฉันด้วยเช่นกัน
ก่อนพบว่าห่างจากจุดที่ฉันและนักข่าวยืนอยู่นั้น กำลังปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งดูคุ้นตา กำลังเดินก้าวเท้าตรงมายังบริเวณหน้าทางเข้าผับพร้อมด้วยคำพูดกล่าวเสริม
“วันก่อน...เราเพิ่งเดินทางร่วมกันไปยังบ้านอีกหลังของเมรี...”
ตึก.. ตึก...
การแต่งกายของเขาวันนี้ดูแปลกตาไปจากปกติ ไม่ใช่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำหรือเครื่องทรงยักษ์ในแบบที่ฉันเคยเห็นบ่อยจนชินตา แต่คืนนี้เขาแต่งกายสุภาพเหมือนมนุษย์ปกติด้วยเสื้อสูทสีทึบ ภายในสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัดกับเน็คไทค์สีเดียวกับสูทตัวนอก
กึก...
และการที่เขาเอ่ยปากต่อหน้านักข่าวแบบนั้นมันก็เลยพลอยให้ทุกความสนใจเบี่ยงเบนไปยังเขาเป็นจุดเดียวทันทีที่เท้าของคนตัวใหญ่ก้าวเข้ามาหยุดลงขนาบข้างกายฉันได้สำเร็จ
“สรุปแล้วความสัมพันธ์ของคุณเรนทร์กับคุณเมรีเป็นอย่างไรกันแน่คะ?” สิ้นเสียงถาม คนตัวใหญ่ก็เหลือบหางตามองมายังฉันเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก พร้อมขยับปากตอบ
“เจ้ากรรมนายเวรครับ...”