“ทำกริยาเสมือนเจ้ามิพอใจ...เราทำสิ่งใดให้เจ้ามิพอใจงั้นรึ?”
“เปล่านี่...” ฉันใช้เสียงโทนเดียวในการตอบ ขณะจัดการถอดรองเท้าแล้วเก็บเข้าที่ ทว่า หลังสิ้นเสียงตอบ มันก็เป็นท้าวอสุเรนทร์เองนั่นแหละที่เงียบไป
ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นฉันจึงอาศัยโอกาสในตอนที่ต้องเดินผ่านไปยังโซฟาตัวยาว แอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนตัวใหญ่เล็กน้อยเพื่อดูท่าที ก่อนต้องตกใจเมื่อพบว่า อีกฝ่ายกำลังประสานมือเท้าศอกลงกับหน้าตักตัวเองและจ้องฉันตาเขม่ง
“เราได้ยินว่า คืนนี้เจ้าจักเข้าร่วมงานรื่นเริงกับปุถุชนพวกนั้นรึ?” ซ้ำร้ายยังใช้โอกาสในตอนที่ฉันหลบเลี่ยงสายตาไม่พ้นในการเอ่ยถาม
“อื้อ ท่านจะไปไหมอ่ะ?”
“เราจักไปด้วยเหตุอันใดได้เล่า” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนกับว่าตลอดเวลาที่ท้าวอสุเรนทร์เอ่ยปากพูดคุยยามนี้ ก็เพียงเพื่อหาเรื่องชวนคุยไปอย่างงั้น รู้สึกได้ถึง ความไม่เป็นตัวของตัวเองขณะอีกฝ่ายพูด คล้ายกับว่าการชวนคุยคือเรื่องที่ยักษ์จ้าวเมืองอย่างเขาไม่ค่อยสันทัดนัก
“เที่ยว ดื่ม เต้น...สถานที่เที่ยวสมัยนี้เขามีไว้ทำแค่นี้แหละ” ฉันอธิบาย โดยเลือกที่จะหยุดยืนเยื้องห่างจากจุดที่คนตัวใหญ่นั่งเล็กน้อย และดูท่าว่าคนฟังเองก็ไม่ได้คิดจะเอ่ยหรือถามอะไรต่อจากนั้น เพราะงั้นฉันจึงใช้โอกาสที่มีในการพูดสิ่งที่คิดออกมา “ฉันไม่รู้ว่าท่านกำลังเล่นตลกอะไรนะ แต่วันนี้มีคนเอารูปถ่ายมาให้ดู พวกเขาแอบถ่ายฉันขณะขับรถ แต่ในรูปถ่ายน่ะ ดันมีรูปของท่านติดมาด้วย”
“รูปงั้นรึ?” เขาย้อน
“ใช่รูป”
“รูปที่เจ้าว่าคือสิ่งใดงั้นรึ?” แต่พอถูกถามแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงต่อ จำต้องรีบเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองเพื่อหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเปิดโปรแกรมถ่ายภาพ จากนั้นก็เดินตรงดิ่งไปยังโซฟา พลางยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าเพื่อขออนุญาต
“ขออนุญาตค่ะท่าน…” สิ้นเสียงฉันก็ไม่รอให้คนตรงหน้าได้เอ่ยปากตอบรับคำขอใด รีบทิ้งตัวลงนั่งข้างกายเขาอย่างถือวิสาสะพลางยื่นมือขึ้นกดถ่ายภาพคู่ระหว่างเราหนึ่งช็อต ก่อนยื่นส่งให้ยักษ์หนุ่มข้างกายดู หากแต่การกระทำที่รวดเร็วและไม่ได้รอให้อีกผ่านตั้งตัวรับ ทำให้เขารีบขยับตัวถอยห่างออกไปเอง ถึงกระนั้นยักษ์หนุ่มก็ใช่จะไม่มองภาพบนหน้าจอที่ฉันส่งให้เขาดูที่ไหน
“เหตุใดเจ้าจึงจำแนกแยกร่างเข้าไปอยู่ในกระดานชนวนส่องแสงได้เช่นนี้ หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้ายังคงเหลืออิทธิฤทธิ์!?”
“ไม่! นี่น่ะ เขาเรียกว่ารูป” ฉันแย้ง ทว่า พอลดสมาร์ทโฟนกลับมาไว้กับตัว สิ่งที่พบบนหน้าจอคือภาพถ่ายของตัวเองเพียงลำพังเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น ทั้งที่ตอนกดถ่ายน่ะ ฉันแทบจะนั่งสิงเข้าไปอยู่ในตัวเขาอยู่แล้วแท้ๆ
และเหมือนว่าคนตัวใหญ่คงจะจับผิดผ่านทางสีหน้าออก เมื่อเห็นเงียบไป เขาเลยกล่าวขึ้น
“เหตุที่เจ้าแสดงกริยาคล้ายกับมิพอใจ เป็นเพราะเหตุนี้เองหรอกรึ?” คำถามดังกล่าวทำฉันเลื่อนสายตาจากหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือมองหน้าคนตัวใหญ่ ซึ่งเวลานี้กำลังยกยิ้มมุมปากคล้ายกับชอบใจอะไร จนอดถามกลับไม่ได้
“ท่านจงใจให้คนพวกนั้นถ่ายรูปท่านติดเหรอ!?”
“เรามิรู้” เขาตอบ
“ถ้าคนพวกนั้นถ่ายติดได้ ทำไมฉันถึงถ่ายท่านไม่ติดล่ะ!?”
“บุญบารมีเจ้าอาจจักมีไม่มากพอ เหยียบฟ้าดินราญรอนทั่วธรณิน ยามนี้ความชั่วจึงติดตัวบดบังบุญที่เคยสั่งสมจนมิด” ฉันกัดฟันกรอดเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังถูกคนตรงหน้าต่อว่า รีบลุกพรวดพราดออกจากโซฟาแสดงความไม่พอใจออกไปทันที ทว่า ยังไม่ทันต่อว่า เขาก็ว่าออกมาอีก “กริยากระโดกกระเดกไม่สมนารี หาได้ดูมีคุณค่าไม่ ทำไมเจ้ามิคิดทำตัวอ่อนหวาน อ่อนช้อยให้สมหญิงหน่อยเล่า?”
“ใช่ซี่! ใครจะไปเหมือนนางสวรรค์ของท่านล่ะคะ ท่านท้าวอสุเร๊นทร์!” ฉันจงใจลากเสียงสูงแหลมปี๊ดในช่วงวลีสุดท้าย จนคนฟังแสดงท่าทีฉงน พานให้สิ่งที่เคยวนเวียนอยู่ในหัว ค่อยๆทยอยรอดผ่านปากออกมาเป็นคำพูดยืดยาว
โดยระหว่างพูดฉันก็แสร้งทำท่าทำทางเพื่อเป็นอรรถรสให้แก่คนฟังไปด้วย
“นางสววรค์ตนนั้นคงจะสวย เลิศ กริยาอ่อนหวาน อ่อนช้อย โดนใจท่านมากสินะคะ ถึงได้ตั้งตัวทำสงครามกับกุมภัณฑ์เพื่อแย่งชิงผู้หญิงกันน่ะ”
“...” ยิ่งด้วยอีกฝ่ายเงียบลงไม่ปริปากโต้เถียงใดๆออกมาด้วยแล้ว ปากฉันก็ยิ่งขยับรัวคำพูดออกมาไม่หยุด
“โถ๊ะ โถ! ไอ้เราก็นึกว่าผิดใจกันเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องผู้หญิง ยี๊!” ว่าจบฉันก็รีบสะบัดหน้าเดินตรงดิ่งเข้าสู่ห้องนอนทันที ไม่สนหรอกว่าไอ้ที่พูดออกไปเมื่อกี้น่ะ จะทำให้คนฟังไม่พอใจหรือเปล่า แต่ถ้าได้พูดแบบนั้นแล้วมันทำให้รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง ฉันก็จะทำ
เท้าสองข้างพาฉันเดินก้าวตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เพื่อหาเสื้อผ้าดีๆสำหรับใส่ไปปาร์ตี้เลี้ยงส่งคืนนี้ ทว่า ขณะกำลังรื้อหาเสื้อผ้า จู่ๆพื้นที่ว่างข้างกาย ก็ปรากฏร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มให้รู้สึกได้แม้จะไม่หันไปมอง เพราะนั่นมาพร้อมคำพูดซึ่งบอกได้ชัดว่าเขากำลังหาเรื่อง
“อย่างน้อยเราก็หมายตานารีกริยางาม หาใช่นารีกริยาหยาบคายเช่นเจ้า จึงไม่ผิดแผกอันใด หากเราจักทำสงครามเพื่อขอตัวนางสวรรค์คืน แต่กับเจ้าหากเราต้องทำเช่นนั้น คงเป็นการเสียเวลาดูแลนครยักษ์สิ้นดี”
มือซึ่งกำลังรื้อหาเสื้อผ้าถึงขั้นหยุดชะงักลง เมื่อคำต่อว่าสิ้นสุดลง
ฉันรีบตวัดหางตามองเจ้าของคำพูดตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์นัก ตรงกับข้ามกับท้าวอสุเรนทร์ซึ่งกำลังขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ทำลอยหน้าลอยตาเสมือนว่าตัวเองถูกเสียเต็มประดา
และถ้าคิดว่าฉันจะยอมล่ะก็ บอกเลยว่ายาก!
“แล้วไงอ่ะ ท่านมาจากภพไหนสมัยไหนฉันไม่รู้หรอกนะ แต่นี่มัน พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว จะให้มานั่งอ่อนช้อยรอผัวเลี้ยงมันเป็นไปไม่ได้เว้ยท่าน ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาหัดทำงานเองแล้ว เผลอๆ เป็นฝ่ายหาเงินไปขอผู้ชายเองด้วย!”
“งั้นรึ?” สองวลีสั้นๆย้อนกลับมาอย่างใจเย็นพร้อมรอยยิ้มร้ายๆ บนหน้า นัยน์ตาคมของเขากำลังกวาดสำรวจไปทั่วร่างกายฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จากนั้นก็พูดบางสิ่งออกมา “หากมีกริยากระโดกกระเดกดั่งเช่นเจ้าว่า จักทำให้ได้ผัว...”
“...”
“แล้วยามนี้ผัวเจ้าอยู่หนใดเล่า?”