ตึก! ตึก! ตึก!
‘เหมือนว่ากุมภัณฑ์เองก็ชอบนางสวรรค์ตนนั้นเหมือนกัน ก็เลยผิดใจกับท้าวอสุเรนทร์น่ะ’ ตลอดเวลาที่เท้าทั้งสองข้างเร่งจ้ำดึงมือณภัทรให้เดินห่างออกจากบ้านเรือนไทย ในหัวฉันก็ดันนึกถึงคำพูดของทับทิมขึ้นมา
‘ที่แท้ก็แค่ผิดใจกันเพราะเรื่องผู้หญิงงั้นเหรอ?’ คำพูดซึ่งบอกถึงเหตุผลที่ทำให้ท้าวอสุเรนทร์ผิดใจกัน
‘ใช่ ทำไมอ่ะ เธอคิดว่าท้าวอสุเรนทร์กับกุมภัณฑ์ผิดใจกันเรื่องอะไร?’ ซึ่งนั่นรวมถึงการสาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่เพื่อตามแก้แค้นด้วยเช่นกัน
ไม่รู้หรอกว่าเวลานี้ฉันเดินไวแค่ไหน รู้อีกทีร่างทั้งร่างก็มีอันต้องสะดุดลง เมื่อใครอีกคนซึ่งถูกดึงให้เดินตามมาเลือกที่จะหยุดเท้าลงแล้วดึงตัวฉันไว้ให้หยุด
ฟึ่บ!
“จะพาเดินไปถึงไหน รถฉันไม่ได้จอดทางนั้น” และการที่หูได้ยินเสียงยียวนกวนประสาทของณภัทรในยามนี้ มันก็นับเป็นเรื่องดี เพราะเสียงของเขานั้นเหมือนช่วยทำให้คำพูดชวนหงุดหงิดในหัวถูกทำให้เลือนหายไป “คุยตรงนี้ก็ได้มั้ง ขืนจับมือกันนานกว่านี้ เดี๋ยวจะได้มีข่าวเพิ่มอีกข่าวหรอก”
เมื่อสบทั้งสติและโอกาส ฉันจึงสะบัดมือออกแล้วหันไปเท้าเอวมองหน้าเขาตรงๆ
“หน้าที่เขียนข่าวใส่ร้ายดาราคืองานหลักของนายอยู่แล้วนี่?”
“ให้ตายสิ! จะมองฉันเป็นคนดีบ้าง ไม่ได้เลยหรือไงครับ คุณเมรี!”
“จะมองให้ดีได้ยังไง ดูอย่างข่าวเมื่อวันก่อนสิ นั่นก็ฝีมือนายใช่ไหม?” พองัดหลักฐานเพื่อต่อว่า คนฟังกลับทำไขสือ อีกทั้งยังยอกย้อน
“ข่าวอะไร?”
“ก็ข่าวเรื่องฉันกับคุณเรนทร์นั่นไง ถามจริงเถอะ นอกจากอุบัติเหตุที่ห้องน้ำแล้ว นายเคยเห็นฉันคุยกับเขาในกองถ่ายหรือไงฮะ!?” พอให้คำตอบไป คนฟังก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายกับชอบใจอะไร จากนั้นก็พูด
“แปลว่าเคยคุยกับที่ห้องน้ำ กับนอกกองถ่ายอย่างเดียวใช่ไหม?”
“หมายความว่าไง?” ฉันย้อนอย่างไม่เข้าใจ นั่นจึงทำให้ณภัทรรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังเพื่อทำอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงยื่นส่งมาให้
“ดูเอาสิ ว่าในภาพนี่คืออะไร?”
ทันทีที่รับโทรศัพท์มือถืออีกฝ่ายมาไว้กับตัว จึงพบว่าภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของณภัทรในตอนนี้คือภาพแอบถ่ายจากในที่ไกลๆ จำนวนหลายภาพ
ทั้งหมดคือภาพซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเมื่อวานตอนที่ฉันขับรถเดินทางไปที่บ้านแม่ และสิ่งที่น่าตกใจซึ่งปรากฏอยู่ในภาพแอบถ่ายเหล่านั้นดูเหมือนเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งฉันมักคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดีในฐานะเจ้ากรรมนายเวรขณะนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับในท่าทางนั่งหลังตรงโดยที่ข้างกายเขานั้นมีฉันกำลังทำหน้าที่ของคนขับรถที่ดี
“หนะ นี่มัน...”
“พอดีเพื่อนนักข่าวฉันแอบขับรถตามเธอไป คงกะจะไปดักสัมภาษณ์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณเรนทร์ล่ะมั้ง แต่ดันบังเอิญถ่ายติดภาพพวกนี้ได้...” ณภัทรเอ่ยแทรกความสับสนที่ฉันมีอย่างลอยหน้าลอยตา จำต้องช้อนตามองหน้าเขาที และรูปในโทรศัพท์มือถือที ขณะหูยังคงเงี่ยฟัง “คราวนี้จะแก้ตัวยังไง เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคุณเรนทร์”
“ตะ ตัดต่อหรือเปล่า!?” ฉันแย้ง
“ไม่เอาน่าเมรี อย่าถามโง่ๆ”
“ไม่จริงอ่ะ เพื่อนนายจะถ่ายรูปพวกนี้ได้ยังไง ในเมื่อท้าวอสุเรนทร์น่ะเป็น...” เสียงของฉันเงียบลงในช่วงท้ายประโยค เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องแปลกๆออกมา หากแต่ท่าทางอึกอักดังกล่าวกลับกลายเป็นบ่วงซึ่งทำให้คนตัวใหญ่ตรงหน้าจับผิดมากขึ้นและย้อนกลับมา
“ท้าวอสุเรนทร์เหรอ?”
“หมะ หมายถึงคุณเรนทร์น่ะ”
“แล้วคุณเรนทร์เขาเป็นอะไร ทำไมเพื่อนฉันจะถ่ายรูปติดไม่ได้...ผีงั้นเหรอ?” และพอถูกต้อนหนักเข้า คนที่พูดอะไรมากไม่ได้มันก็ดันเป็นฉันเสียเอง เพราะงั้นโทรศัพท์เครื่องสำคัญจึงถูกส่งคืนเจ้าตัวอย่างใส่อารมณ์พร้อมกับเสียงและการโวยวายเพื่อตัดบท
“อยากจะทำอะไรก็ทำเลย ทั้งนายแล้วก็เพื่อนนั่นแหละ!” ไม่ใช่เพราะหงุดหงิดกับการตอบคำถามใดไม่ได้ แต่แสร้งทำ เพื่อให้ตัวเองหลุดรอดจากการถูกไล่ต้อนผ่านคำพูดถึงจะถูก
“เอ้าอะไรวะ สรุปนี่เธอบทนางเอกหรือนางยักษ์ จะวีนเพื่อ!?” ฉันไม่ได้อยู่รอฟังเสียงของณภัทรที่โวยวายตอบกลับตามนิสัยหรอกนะ เพราะเท้าที่เตรียมหนีอยู่ก่อนแล้วทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด รีบจ้ำอ้าวทิ้งระยะห่างออกมาแบบไม่สนใจ
วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน ทำไมเจอแต่เรื่องชวนหงุดหงิดแบบนี้ล่ะ!
๒ ชั่วโมงต่อมา...
หลังจากแยกกับณภัทร ฉันก็ไม่ได้เดินย้อนกลับเข้าไปในกองถ่ายหรอกนะแต่เลือกที่จะติดรถทีมงานคนหนึ่งออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่โดยสารสักคัน พาตัวเองกลับที่พักต่างหาก แม้ความจริงแล้วคนที่ควรจะพาฉันมาส่งยังที่พักวันนี้คือเจ๊ขวัญเหมือนทุกทีก็ตาม เพราะงั้นหากการกลับออกมาก่อนจะเรียกว่าหนีล่ะก็...มันก็คงจะไม่ผิดอะไร
และพอได้อยู่ลำพังภายในรถ ความคิดในหัวก็เริ่มทำงานของมันไปเรื่อยเปื่อย นึกถึงภาพสีหน้ายิ้มแย้มของผู้จัดการส่วนตัวขณะกำลังยิ้มหัวเราะอยู่ข้างๆท้าวอสุเรนทร์ขึ้นมา พอนึกถึงภาพของคนทั้งคู่ได้ ภาพอีกมุมมองหนึ่งของเจ๊ขวัญที่เกือบถูกเรื่องรอบตัวลบเลือนไปก็ผุดเข้ามา
ภาพที่เธอกำลังแตะลำต้นของต้นไทรในวันแรกที่เปิดกล้อง ก่อนจะร่ายรำด้วยท่าทางสวยงามไปรอบๆ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากถามเรื่องแปลกๆที่เธอแสดงออกในวันนั้นต่อหน้าเจ้าตัวอยู่ดี ว่าทำไมเธอถึงทำท่าทางแปลกๆแบบนั้น อีกทั้งยังรำสวยแม้ไม่ได้ผ่านการเรียนรำมา
กึก...
ความคิดทั้งหมดที่มีนับตั้งแต่ช่วงที่นั่งรถแท็กซี่โดยสารหยุดลง เมื่อเท้าสองข้างพาฉันกลับมาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าประตูห้องพักได้สำเร็จ คีย์การ์ดใบสำคัญจึงถูกหยิบออกจากกระเป๋าสะพายเพื่อเปิดประตูห้องเข้าห้องพักและทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เสียงเข้มแกมดุก็เอ่ยทักขึ้นทันทีในจังหวะเดียวกัน
“เหตุใดเจ้าจึงแสดงกริยาเมินหน้าหนีเราเช่นนั้น?”
มันก็เหมือนทุกครั้งที่กลับมาถึงห้อง ฉันจะต้องพบกับท้าวอสุเรนทร์ซึ่งเข้ามานั่งรอคอยล่วงหน้าแบบนี้บนโซฟาตัวยาวเสมอ เพราะเห็นจนชินตา มันเลยทำให้อาการตื่นตกใจที่เคยมีในช่วงแรกเริ่มลดลงไปคำตอบรับแบบส่งๆ ถูกพ่นออกไป
“ฉันก็แค่เซ็งๆอ่ะท่าน” แต่ดูเหมือนสิ่งที่เอ่ยออกไปนั้น จะไม่ใช่คำตอบที่คนตัวใหญ่ต้องการนัก เมื่อเขายังเอ่ยเร้าออกมาด้วยคำถามเดิม
“ทำกริยาเสมือนเจ้ามิพอใจ...เราทำสิ่งใดให้เจ้ามิพอใจงั้นรึ?”