ฟึ่บ!
ภาพสีหน้าของกุมภัณฑ์ยามนั้นทำเราเผลอกำดอกพิกุลทองในมือแน่น หากแต่เรากลับไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นต่อความโอหังของมันแม้แต่นิด
ที่เรารู้สึกถึงยามนี้คือการเจ็บกลางอุราเฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกในชั่วคืนนั้น จนถึงกระทั่งยามนี้เรายังไม่อาจล่วงรู้ถึงอาการเจ็บเหล่านั้นว่าเกิดขึ้นเพราะสิ่งใด เพราะกำลังจะสูญเสียทหารเอกคู่กายไปหรือเพราะหลังจากนั้นเรากับกุมภัณฑ์จักต้องตั้งตนเป็นศัตรูต่อกัน...
กึก...
เสียงย่ำเท้าหนักๆ จากทางด้านหลังทำเราหลุดออกจากภวังค์ความคิด เหลียวมองเจ้าของเสียงย่ำดังกล่าวเล็กน้อย ก่อนพบว่ามันผู้นั้นไม่ใช่ใคร หากแต่เป็นอนุชาคู่บุญของเราเอง
“วันนี้กลิ่นหอมของดอกพิกุลแรงพอที่จักพาท่านพี่เดินมาถึงประตูหลังวังเชียวรึ...” อสุราเอ่ยทักโดยบนดวงหน้าแย้มยิ้ม พร้อมกันนั้นก็ย่างเท้าเข้ามายืนขนาบข้างกายเราโดยก้มเก็บเศษดอกพิกุลที่ร่วงจนเกลื่อนพื้นหญ้าขึ้นมาไว้กับตัว “กลิ่นพิกุลทองยามนี้ คับคล้ายคับคลาเหมือนว่าน้องจักเคยเชยชมกลิ่นหอมหวานเช่นนี้มาก่อน”
เราไม่ได้ตอบรับคำเอ่ยกล่าวของน้องชาย เพราะล่วงรู้ว่าอสุราต้องการจะกล่าวถึงเรื่องอันใด ด้วยเหตุฉะนั้นเราจึงเงียบ เพราะท้ายที่สุดแล้วน้องชายเราก็เลือกที่จะพูดออกมาด้วยตนเองอยู่อีก
“เมื่อช่วงวานนี้ น้องมีโอกาสได้พูดคุยกับไอ้กุมภัณฑ์อย่างชิดใกล้ กลิ่นกายมันดูคล้ายกับกลิ่นหอมของดอกพิกุลต้นนี้เลย ท่านพี่คิดเช่นนั้นรึไม่?”
“งั้นรึ?” และนี่คงเป็นถ้อยคำตอบสั้นๆของเรา
“น้องคะเนว่าไอ้กุมภัณฑ์ในชาติภพนี้ แลดูจักเฉลียวฉลาดมิใช่น้อย ถึงได้กล้าปะทะฝีปากเอ่ยต่อรองขอชีวิตกับท่านพี่เช่นนี้…”
ครู่หนึ่งที่อสุราเหลือบมองหน้าเรา บนดวงหน้านั้นยังคงแย้มไว้เฉกเช่นเดิม เหตุผลที่ผู้น้องเอ่ยกล่าวเสมือนหยั่งรู้เช่นนั้นก็เพราะ เนื่องจากเราไม่เคยปกปิดเรื่องอันใดกับน้องชาย ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากเราจะนำความที่เกิด มาบอกเล่าให้น้องชายเพียงคนเดียวรับฟัง
“หากว่าไอ้กุมภัณฑ์ระลึกอดีตชาติของมันได้ พี่จักฆ่ามันในชาติภพใหม่ลงจริงรึ?”
“พี่มิมีวันเสียคำสัตย์ได้ น้องเองก็รู้...” เราพูดเช่นนั้น แต่ไม่ทันได้พูดจบ
“หากดอกศรยังมิปักกลางอุราของมัน พี่จักไม่มีทางหยุดศึกในครานี้ลง” ผู้ฟังดันเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนอย่างรู้ทัน ซึ่งคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เราเป็นผู้เอ่ยไว้อย่างหนักแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถ้อยคำถามยืดยาวต่อท้าย “หากว่ายามนี้ ไอ้กุมภัณฑ์มันเริ่มรับรู้ถึงกรรมเก่าและอดีตชาติของตัวมันเอง...”
“…”
“ท่านพี่จักแผลงศรปลิดชีวาไอ้ยักษ์เนรคุณมันบัดเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?”
สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวของผู้น้อง แต่เลือกจะทิ้งดอกพิกุลทองในมือลงแล้วใช้ฝ่ามือติดกลิ่นหอมตบลงบนบ่าของอสุราเบาๆเพียงเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นฝ่ายปลีกตัว หันหลังก้าวเท้าพาตัวเองเหาะเหินเดินอากาศด้วยอิทธิฤทธิ์ร้อยแปดประการที่มี เพื่อมุ่งสู่ดินแดนของพวกมนุษย์
สถานที่ที่เราพาตัวเองย่างกรายเหยียบยัดลงคือเรือนไทยหลังสวยตามดั่งที่จิตคำนึงถึงอริที่เราหมายหัว พร้อมกันนั้นเครื่องแต่งองค์บนตัวก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอาภรณ์เฉกเช่นปุถุชนในแดนมนุษย์ยามนี้นิยมสวมใส่ ก่อนพบเข้ากับไอ้กุมภัณฑ์ขณะร่ายรำด้วยชุดไทยเดิมเคียงคู่กับบุรุษในชุดเครื่องอาภรณ์ซึ่งดูคล้ายกัน
ทว่า เพียงไม่นานการร่ายรำดังกล่าวก็จบลง พร้อมกับการทิ้งตัวล้มลงของไอ้กุมภัณฑ์ด้วยกริยาเสแสร้ง
ฟึ่บ! ตุบ!
“หากในชาตินี้ ฮึก เราทั้งสองไม่อาจครองคู่กันได้ดั่งที่ใจหมาย...” เสียงของมันกำลังบอกถึงความเจ็บปวดได้เทียบเคียงกับถ้อยคำที่เอ่ย ขณะตะเกียกตะกายไปบนพื้นยื่นมือพยายามเอื้อมไขว้คว้าอากาศ โดยมีบุรุษหลายคนพยายามจับตรึงร่างไว้
ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในฐานะของนารีนามสร้อย
“หลังจากนี้ไม่ว่าจะอีกกี่ภพ อีสร้อยคนนี้จะขออยู่รับใช้ เคียงข้างคุณหลวงเช่นนี้ตลอดไปนะเจ้าคะ...”
แปล๊บ...
สิ้นถ้อยวลีมดเท็จสำหรับตบตา กลางอุราเรากลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไร้เหตุและผล จำต้องเผลอเลื่อนมือขึ้นกุมอุราฝั่งซ้ายเพื่อตรวจหาที่มา แม้ว่ายามนั้นจะมีเสียงอื่นดังแทรกพร้อมความโกลาหลก็ตาม
“คัต!!” ปุถุชนหลายสิบตนพากันเร่งรีบวิ่งเข้าเข้าไปดูความเรียบร้อยของหญิงสาวอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เมจ๊ะ เลิกกองวันนี้ไปดื่มด้วยกันไหม?”
“ที่ไหนเหรอคะพี่?”
“เดี๋ยวพี่ถามพี่ช้างให้อีกทีนะ...ตอนนี้เมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า มามะเดี๋ยวพี่พาไป” ด้วยเพราะการตามติดเป็นเงาดั่งคำมั่นซึ่งผูกพันธนาการกรรมระหว่างเรากับอริ ภาพที่เห็นด้วยสายตายามนี้จึงกลายเป็นเรื่องชินตา แต่เราก็มองภาพวุ่นวายเบื้องหน้าได้ไม่นานนัก เมื่อมีเสียงหนึ่งดังทักขึ้นจากด้านหลัง
กึก...
“เมรี...เล่นละครสมบทบาทใช่ไหมคะ คุณเรนทร์” พอเหลียวหลังมองจึงได้พบเข้ากับหญิงงามแปลกหน้า มีใบหน้างดงามดุจนางสวรรค์
ทันทีที่เรามีโอกาสได้สบสายตากันตรงๆ หญิงงามตรงหน้าก็ยกมือไหว้ในลักษณะย่อเข่าลงเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อยราวกับนางสวรรค์ขณะร่ายรำ ซึ่งนั่นมาพร้อมกับคำทักทายอีกหน
“สวัสดีค่ะคุณเรนทร์” นอกจากไอ้กุมภัณฑ์ที่มีกริยาอ่อนช้อยเวลาร่ายรำแล้ว ก็คงมีหญิงคนนี้อีกคน ซึ่งแม้ไม่ได้ร่ายรำ แต่ทุกท้วงกริยาล้วนแล้วเต็มไปด้วยความนิ่มนวลและอ่อนช้อย
“ครับ” และความอ่อนช้อยที่หญิงงามคนนี้แสดงให้เห็น มันก็พานให้เรารู้สึกคุ้นเคยได้อย่างน่าแปลก
“ดิฉันชื่อกรองขวัญนะคะ เป็นผู้จัดการของเมรี” รับรู้ได้ว่าเธอกำลังเอ่ยแนะนำตัวเอง “ยินดีที่ได้มีโอกาสพบกัน...อีกครั้งนะคะ”
“อีกครั้งงั้นรึ?” เราถามอย่างไม่เข้าใจความ แม้นว่าเราจะรู้สึกคุ้ยเคยกับกริยาอ่อนหวานของหญิงคนนี้ แต่เราก็ไม่ยักจำได้ว่าเราสองคนเคยมีโอกาสได้พบปะหรือพูดคุยกันมาก่อน ก่อนต้องรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อหญิงงามตรงหน้าเอ่ยขานนามเราด้วยชื่อซึ่งไม่น่ามีมนุษย์ตนใดล่วงรู้นอกเสียจากอริบนภพภูมินี้
“ใช่ค่ะ เราเจอกันอีกครั้งแล้วนะคะ ท่านท้าวอสุเรนทร์...”
-เมรี กล่าว-
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าของกองถ่ายเสร็จ งานในวันนี้ก็ดูจะเสร็จสิ้นตามไปด้วย แต่ก็ใช่ว่าละครทั้งเรื่องจะถูกถ่ายจนจบแล้วเสียที่ไหน เนื่องจากพี่ช้างมีคิวงานต้องบินไปต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมงานหนังระดับประเทศ เพราะอย่างนั้นการถ่ายทำละครดวงหทัยยักษ์จึงต้องหยุดกองชั่วคราวไปราวๆอีกหนึ่งอาทิตย์เต็ม
ด้วยเหตุนั้นหลังจากซีนสุดท้ายของวันนี้ถูกถ่ายจนเสร็จ คนในกองจึงมีแพลนที่จะออกสังสรรค์ด้วยกันในคืนนี้
“เมจ๋า พี่ถามพี่ช้างแล้วนะ ตอน ๓ ทุ่ม เดี่ยวเราไปเจอกันที่ผับนี้ได้ไหมจ๊ะ?” หนึ่งในทีมงามยื่นนามบัตรของผับชื่อดังแห่งหนึ่งส่งมาให้ ซึ่งฉันก็รับมาไว้กับตัวตามมารยาท
“๓ ทุ่มเหรอคะ...ได้สิ...”
“จ๊ะ...อย่าลืมลากเจ๊ขวัญมาเปิดหูเปิดตาด้วยนะ…” ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงบอกกล่าวของทีมงานในกองดี เสียงเข้มชวนหาเรื่องก็แทรกดังขึ้น พลอยให้ทั้งฉันและทีมงานต้องเหลียวมองด้วยความสงสัย
“เฮ้ๆ อะไรกัน...คืนนี้ยัยนี่ก็ไปเลี้ยงส่งพี่ช้างด้วยเหรอเนี่ย” ก่อนพบว่า ณภัทรซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วไม่ต่างกัน กำลังยืนกอดอกมองเราทั้งคู่อยู่ใกล้ๆ
ท่าทางเขาวันนี้ดูไม่ได้ตั้งท่าจะหาเรื่องเหมือนอย่างทุกที แต่ด้วยเพราะภาพลักษณ์แย่ๆกับสิ่งที่เขาทำใส่นั้นมันได้ติดตาฉันไปแล้ว ต่อให้วันนี้เขาจะมาดีก็ตาม แต่ฉันก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนแย่ๆคนหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ
“งั้น เมขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันที่งานเลี้ยงแล้วกัน” เพราะงั้นทางเลือกที่ฉันจะใช้โต้ตอบผู้ชายนิสัยแย่คนนี้กลับไปจึงเป็นการพาตัวเองเดินหลบเลี่ยงออกมา เพื่อกันการหัวเสียของตัวเองและการปะทะคำพูดแรงๆใส่เขา
ยิ่งด้วยเมื่อวานแม่พูดถึงข่าวที่ณภัทรน่าจะเป็นคนขายกินด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งไม่อยากเห็นหน้าเขาเข้าไปใหญ่
“เฮ้ๆ! เดี๋ยวสิคุณเมรี!” แต่คราวนี้มันต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ ณภัทรยังคงเดินตามฉันออกมา โดยใช้คำพูดซึ่งฟังดูให้เกียรติกันมากขึ้นกว่าทุกครั้งนักในการเรียก
“หยุดพูดไปเลยณภทัร ฉันรู้ว่าแกเอาข่าวฉันไปบอกพวกนักข่าว แกนี่มันเลวได้โล่จริง!” เพราะเลี่ยงที่จะประจันหน้าด้วยตรงๆ แต่เขาก็ไม่วายที่จะตามมา เพราะงั้นเมื่อรอบตัวปลอดคนฉันจึงพ่นคำต่อว่าออกไป ว่าเขาทั้งที่เท้ายังเร่งจ้ำเดินไวนั่นแหละ
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย คิดว่านักข่าวสายบันเทิงในประเทศนี้มีแค่ฉันคนเดียวหรือไง!?” ว่าแล้วเขาที่ไวกว่า ก็จ้ำเท้าเดินไวฉวยโอกาสคว้ามือฉันไว้ คล้ายกับต้องการรั้งตัวเพื่อคุย “เรามีเรื่องต้องคุยกันเมรี”
“แต่ฉันไม่มี!”
“เธอไม่มี แต่ฉันมี เข้าใจตรงกันนะ!” ตอนที่เหมือนว่าเรากำลังจะเริ่มทำสงครามประสาทและวาทีใส่กัน สายตาของณภัทรที่ตอนแรกเคยจ้องหน้าฉันด้วยแววตาจริงจังกลับเริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อจู่ๆเขาเลื่อนสายตาขึ้นแล้วมองผ่านไปทางด้านหลัง พลอยให้ฉันต้องเหลียวมองตามสายตาเขาไปโดยอัตโนมัติ ก่อนพบว่า สิ่งที่ณภัทรมองอยู่นั้น คือภาพของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งตามมาด้วยคำถามของณภัทรซึ่งฟังคล้ายกับจะตอกย้ำภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งกว่าเก่า
“คุณเรนทร์กับผู้จัดการเธอ...พวกเขาไปสนิทกันตอนไหน”
พอได้ยินคำถามเช่นนั้น มันก็อดคิดตามไม่ได้ ยิ่งด้วยสีหน้าของท้าวอสุเรนทร์ยามซึ่งกำลังพูดคุยกับเจ๊ขวัญเต็มไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างเป็นมิตร ดูต่างจากปกติด้วยแล้ว ในอกก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆขึ้นมา
“อ้าวเม!” แต่แล้วไม่นาน เจ๊ขวัญเหมือนจะรู้ตัวก่อน เธอซึ่งหันมาเห็นฉันเป็นคนแรกจึงเอ่ยปากเรียกพลางโบกมือโบกไม้เพื่อแสดงตัวให้เห็นว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันไปก้มหัวให้ท้าวอสุเรนทร์เล็กน้อย และเป็นฝ่ายก้าวเท้าเดินตรงดิ่งเข้ามาหา ซึ่งการทำเช่นนั้นเลยทำให้ชายหนุ่มตัวสูงข้างกายเธอ เหลียวมองมายังจุดที่ฉันกับณภัทรยืนอยู่ทันที
วินาทีที่มีโอกาสได้สบประสานตากับเจ้ากรรมนายเวรตรงๆ ครู่หนึ่งที่ท้าวอสุเรนทร์หรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกับต้องการพินิจพิจารณาอะไร และการถูกมองเช่นนั้นเลยทำให้ณภัทรซึ่งอยู่ใกล้ๆ เหมือนรู้สึกตัว ยอมที่จะปล่อยมือที่รั้งแขนฉันออกไปอย่างช้าๆ
แต่ทันทีที่ท้าวอสุเรนทร์เริ่มแสดงปฏิกิริยาเคลื่อนไหวร่างกาย ทำท่าเหมือนจะเดินมาทางเราตามหลังเจ๊ขวัญมาทางฉันนั้น ร่างกายก็เลือกตอบสนองการกระทำของคนตัวใหญ่ซึ่งตั้งท่าจะเดินเข้ามาด้วยการหันไปคว้ามือของอดีตนักข่าวสายบันเทิงที่เกลียดขี้หน้านักหนาไว้แน่น จนคนถูกกระทำสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยคำถามคล้ายกับตกใจ
“อะ อะไร?”
“ไหนบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับฉันไง?” ซึ่งฉันเองก็มีคำตอบที่พร้อมจะให้ณภัทรกลับไปในช่วงเวลานั้นเช่นกัน “ไปเถอะ”