เมื่อนั้น ท้าวยักษาเริ่มคิดหนัก
เห็นพระพักตร์นารีเผลอคิดหวน ถึงเหตุการณ์ต้นเหตุไม่สมควร
ถึงผิวพรรณเนื้อนวลแม่กานดา ว่าแล้วท้าวยักษาจึงพินิจ
ถึงเหตุถูกและผิดไม่น่าพิสมัย แต่เวรกรรมไม่เข้าออกตัวผู้ใด
“หรือเรานั้นไซร้ต้องใช้กรรมมิต่างกัน”
-ท้าวอสุเรนทร์ กล่าว-
ตึก... ตึก…
“ท้าวอสุเรนทร์ขอรับ!”
เสียงเหยียบย่างหนักๆ ทำเราซึ่งกำลังเดินลัดเลาะไปตามกำแพงวังแสนอลงกรณ์หยุดชะงักเท้าลงโดยพลัน เหลียวหลังมองย้อนไปทางต้นเหตุเสียงด้วยสีหน้านิ่งๆเพื่อรอฟังความจากผู้ซึ่งมีสถานะต่ำกว่า
ท่านนั้นคือมหาอุปราชรามสูร แม้นเมื่อหลายหมื่นชั่วโมงยามที่ผ่านมา ท่านมหาอุปราชรามสูรจะเคยก่อเรื่องวิวาทจนนครของเราร้อนเป็นไฟ ถึงกระนั้นท่านรามสูรนั้นก็ยังคงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชรับเรื่องดูแลนครยามที่เราไม่อยู่ปกครอง
ท่านรามสูรรีบคุกเข่าลงแทบเท้าเราโดยทิ้งระยะห่างออกไปเพียงเล็กน้อย หน้าก้มมองดินด้วยอาการรีบร้อนจนรู้สึกผิดแปลกวิสัย เห็นเช่นนั้นเราจึงถาม
“มีเหตุอันใดรึท่านรามสูร เหตุใดจึงโหวกเหวกรีบร้อนเช่นนี้?”
“กระหม่อมจักกราบทูลท่านท้าวว่า ทางแดนสรวงได้มีหมายฤกษ์พบปะท่านท้าวในอีกไม่กี่ชั่วยามพรุ่ง ท่านท้าวจักเดินทางไปพบด้วยตัวเองหรือจะให้กระหม่อมเดินทางทำหน้าที่แทนพระองค์งั้นรึขอรับ?”
“เราจักออกเดินทางไปด้วยตัวเอง ขอบคุณท่านมากท่านรามสูร”
“หามิได้ขอรับท่านท้าว” ท่านมหาอุปราชยกมือพนมขึ้นกราบไหว้เราเหนือหัวหลังสิ้นเสียงการพูดคุย นั่นเป็นสัญญาณบอกได้เป็นอย่างดี ว่าทั้งเราและท่านรามสูรหมดเรื่องที่ต้องโต้วจี เห็นกระนั้นเราจึงหันหน้ากลับไป เตรียมตั้งท่าที่จะก้าวเท้าเดินชมรอบวังให้สมหมาย ทว่า
“ท่านท้าวขอรับ!” เราก็มิอาจได้ทำดั่งที่ปรารถนา เมื่อท่านรามสูรเอ่ยขานนามเราออกมาอีกหนพร้อมด้วยคำถามแสนห่วงใย “กระหม่อมและชาวนครเป็นห่วงท่านท้าวมากนะขอรับ กระหม่อมทราบถึงเหตุที่ท่านท้าวต้องลงไปแดนมนุษย์ในทุกวี่วัน จักเป็นไปได้ไหมขอรับหากกระหม่อมจะขอติดตามลงไปช่วยเพื่อปราบปรามไอ้ยักษ์อัปรีย์เป็นคู่ศึกเคียงคู่ท่าน”
ได้ฟังแบบนั้น เราก็ถึงขั้นชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านมิต้องลงมาช่วยเราให้เสียแรงหรอกท่านรามสูร อยู่ปกครองนครแทน ในยามที่เราต้องลงสงครามเช่นนี้จักดีกว่า…” แต่ว่าคำปฏิเสธของเราก็มิสามารถได้เอ่ยอ้างได้จนสิ้นถ้อย เมื่อท่านมหาอุปราชเอ่ยแย้ง
“แต่นี้มันก็ผ่านมาหลายเพลาแล้วนะขอรับท่านท้าว การสงครามระหว่างท่านท้าวกับไอ้กุมภัณฑ์ยังมิเป็นอันยุติเสียที กระหม่อมว่าหากมันฤทธิ์เยอะนัก ท่านท้าวก็ควรจักหาคู่ศึกสักตนช่วยร่วมรบ สงครามระหว่างแดนยักษ์และแดนมนุษย์จักได้สิ้นสุดในเพลาอันใกล้”
“…” เนื่องเพราะเราคือท้าวยักษ์จ้าวเมือง คำโป้ปดใดจึงเป็นเรื่องต้องห้ามและไม่สมควรที่จะเอ่ยกล่าว ด้วยเหตุนั้นเราจึงยืนนิ่งเงียบตลอดระยะการเอ่ยข้อชี้แนะของท่านมหาอุปราช
“ยามนี้แดนนครยักษ์ ต้องการท่านท้าวกลับมาปกครองเมือง หากมิเป็นเช่นนั้นท่านปุโรหิตชมชิตทร์ได้กล่าวคำทำนายไว้ว่า นครยักษ์จักมีอันเป็นไป...แปรเปลี่ยน”
“เราจักวอดวายจากการรบคราวนี้งั้นรึ?” พอฟังมาถึงตรงนี้ เราก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“กะ กระหม่อมไม่กล้าเอ่ยอ้างคำนั้นหรอกขอรับท่านท้าว...ท่านปุโรหิตเองเพียงขานคำทำนายบ้านเมืองไว้เพียงเท่านั้น”
“หากเรามิวอดวายเพราะสงครามในแดนมนุษย์ ท่านมหาอุปราชก็มิจักต้องเป็นกังวลไปใย เราจะรีบคว้าชัย ปราบไอ้กุมภัณฑ์ เอาหัวมันกลับมาประจานในแดนนครเราให้จงได้”
“ขะ ขอรับท่านท้าว...” สิ้นเสียงถ้อยประกาศและรับคำ เราจึงตัดสินใจพาตัวเองย่ำเท้าตีตัวออกห่างท่านมหาอุปราชออกไปทันที เพราะบางทีการที่ต้องกล่าวถึงอริในแดนมนุษย์ต่อหน้าท่านมหาอุปราชบ่อยครั้งเช่นนี้ อาจทำเราพลาดพลั้งกลายเป็นจ้าวเมืองเสียสัตย์ได้ในสักครา
เราพาตัวเองย่างกายลัดเลาะกำแพงวังอลงกรณ์มายังขอบรั้วประตูวัง ก่อนหยุดลงบริเวณใต้ต้นพิกุลทองซึ่งกำลังส่งกลิ่มหอมหวนไปทั่วบริเวณ เดิมทีต้นพิกุลทองต้นนี้เคยปลูกอยู่บนสรวง ดินแดนที่ท่านพระภูเตศวรมหาเทพผู้เป็นหนึ่งในจักวาลดูแล หากแต่พระองค์ท่านได้พระราชทานไม้ยืนต้นต้นนี้มาเป็นของรางวัลหลังสงครามศึกยุติลง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราจำต้องหยุดเท้าลงที่ใต้ต้นพิกุลต้นนี้ ไม่ใช่เพราะมีประสงค์หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต แต่ว่า กลิ่นหอมหวานชวนหลงเสน่ห์ของดอกไม้พันธุ์นี้ มันดันเป็นกลิ่นเดียวกับเนื้อนวลของนารีชนคนหนึ่ง
‘หากปรารถนาของเรายามนี้ คือการชมเชยริมฝีปากอิ่มของเจ้าสักคราล่ะ...เจ้าจักทำเช่นไร?’ กลิ่นหอมหวานดังกล่าวยังคงติดอยู่บริเวณปลายจมูก โดยเฉพาะในยามที่เราแนบชิดสนิทกายเข้าหาเรือนร่างอรชรในยามนั้น กลิ่นหอมหวานล้นเสน่ห์ตามเนื้อนวล ทำอุราและดวงใจเราสั่นคลอนได้อย่างน่าแปลก
‘เราแค่เกี้ยวเจ้าเล่นเท่านั้น...’ โดยเฉพาะยามที่ริมฝีปากเราพลาดจรดแตะลงกับผิวปากนุ่มของอริ แม้จะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวและเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เรากลับพึงระลึกและล่วงรู้ได้ทันที ว่าบางทีช่วงยามนั้น เราอาจจะกำลังโป้ปดออกมาเป็นครั้งแรกในแดนมนุษย์อยู่ก็เป็นได้...
‘คิดว่าเราจักพลอดรักกับศัตรูเช่นนี้จริงๆรึ?’
วินาทีความคิดสิ้นสุดลง พิกุลทองดอกสวยก็มีอันร่วงหล่นลงมาดอกหนึ่งโดยมีฝ่ามือของเราคอยรองรับ กลิ่นหอมหวนชวนหลงใหลยามนี้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม จนอดไม่ได้ที่จะสูดรับเสน่ห์หอมหวานของดอกพิกุลทนแทนผิวพรรณขาวผ่องซึ่งยังติดอยู่ในห้วงคำนึง หากแต่สิ่งที่เวียนวนอยู่ในหัวเราตอนนี้ ดันไม่ใช่ภาพของนารีชนอดีตอริร่วมภพ แต่กลับเป็นทหารเอกผู้คอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เราในทุกคราวที่ตามองเห็น
แดนสรวงในยามนั้นปั่นป่วน เมื่อหนึ่งในนางสวรรค์ถูกยักษ์เลวลอบเข้าทำร้ายและลักพาตัวหลบลี้หนีหายลงมา ร้อนถึงเราผู้ซึ่งดูแลและปกครองแดนยักษ์ให้รีบจรลีมายังที่ที่เกิดเรื่อง
‘เหวย! ไอ้กุมภัณฑ์ เป็นถึงทหารเอกกู ไฉนมึงจึงกระทำการสิ้นคิดนัก!’
‘สิ่งใดเล่าที่ท่านหมายปองยามนี้ ท่านท้าวอสุเรนทร์!’ คำพูดโอหังอย่างไม่เกรงกลัว ไม่รู้สึกผิดต่อบาปโทษที่ตนกระทำ ดังก้องทั่วไพรสัณฑ์ เมื่อยามนั้นการพบหน้าระหว่างเรากับไอ้กุมภัณฑ์เกิดขึ้น ‘ถึงได้พาทัพบุกมาถึงพงไพรยามดึกยามดื่นเช่นนี้ได้ ฤาเพราะนารีในกำมือข้างั้นรึ!?’
ชั่วคืนเดียวในครานั้น ทุกสิ่งผันแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อคมศรจากมือเราถูกปล่อยเข้าปะทะเฉียดต้นแขนของอดีตทหารเอกเพื่อทวงคืนนางสวรรค์กลับสู่แดนสรวง
‘ท่านปรารถนาเคียงข้างอยู่คู่ชีวีกับนางสวรรค์ตนนี้ ถึงขั้นยกคันศรหมายชีวากระหม่อมถึงเพียงนี้เชียวรึท่านท้าว!’ เสียงเกรี้ยวกราดด้วยโทสะของไอ้กุมภัณฑ์ ยังคงติดตรึงหูเรามาจนถึงยามนี้ ‘หากท่านปรารถนาเช่นนั้นล่ะ ข้าจักคืนนางให้…’
ทั้งสีหน้าโกรธแค้น กับแววตาสะท้อนความสิ้นหวัง รวมถึงท่าทางยามที่มันยอมปล่อยมือจากนางสวรรค์เมื่อสงครามการปะทะระหว่างทัพยักษ์และยักษ์มารกลางพงไพรชั่วคืนนั้นสิ้นสุดลง หากแต่นั่นมาพร้อมเสียงประกาศก้องและสาปแช่ง
‘แต่ข้าขอทิ้งคำมั่นประกาศต่อหน้าดินฟ้า ว่านับแต่ชั่วยามนี้ไป…’ เสียงกระทืบเท้าดังกึกก้องไปทั่วไพรี ปลายนิ้วของมันชี้มายังเราด้วยท่าทางโอหัง ‘กูจักไม่ให้เทวดาฟ้าดิน ยักษี ยักษาตนไหนใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ กูจะระรานทุกชีวาบนผืนธรณีจนกว่าชีวีกูจักหาไม่ ทั้งแดนมนุษย์ แดนสรวง หรือนครยักษ์ จักต้องไม่พบพานซึ่งความสุขใดนับแต่นี้เป็นต้นไป!’