“อ้าวเหรอ งั้นเข้าไปนั่งคุยกันข้างในก่อนสิ...” ว่าแล้วเพื่อนสาวคนสนิทก็รีบฉุดดึงแขนฉันพาตัวเดินเข้าไปยังเขตพื้นที่บริเวณบ้านของตัวเองทันที การที่ถูกดึงออกมาแบบนี้มันเลยทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังมองใครอีกคนกลับไป ทว่า ที่ตรงนั้นซึ่งท้าวอสุเรนทร์เคยยืนอยู่ ยามนี้กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งวี่แววของเขาให้เห็นแม้แต่เงา
ถึงแม้ว่าท้าวอสุเรนทร์จะหายไปจากบริเวณด้านนอกรั้วบ้าน แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกแปลกเฉกเช่นเวลาต้องอยู่ใกล้เขาจะหายตามไปด้วยเสียที่ไหน ยิ่งเมื่อย่างกรายเข้ามาภายในบ้านของเพื่อนสาวด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นเข้าไปใหญ่
“เมนั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปหยิบน้ำกับขนมมาให้” ทับทิมกำชับไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเธอพาฉันเข้ามานั่งพักภายในบ้านของตัวเองได้สำเร็จ ก่อนจะหันหลังปลีกตัวหายเข้าไปยังห้องข้างๆซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องครัว
เพราะไม่ได้มาบ้านทับทิมบ่อยเหมือนตอนสมัยเรียนล่ะมั้ง ทำให้การกลับมาหาเพื่อนสนิทที่บ้านครั้งนี้ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองดูสภาพแวดล้อมภายในบ้านเพื่อเช็กดูการเปลี่ยนแปลงระหว่างตอนนี้กับเมื่อก่อน ทว่า
ฟึ่บ!
จังหวะนั้นเอง จู่ๆบริเวณพื้นที่นั่งของโซฟาข้างกายบางส่วนก็เกิดแรงยวบอย่างรุนแรง ด้วยเพราะท้าวอสุเรนทร์ชอบทำเรื่องน่าตกใจแบบนี้ใส่กันบ่อยๆล่ะมั้ง ร่างกายจึงตอบรับแรงยวบของโซฟากลับไปด้วยการหันขวับมองต้นสายปลายเหตุ ก่อนพบว่าห่างจากตัวไปนิดหน่อยมีชายคนหนึ่งกำลังนั่งไขว้เท้ามองหน้าฉันอยู่
เขาคือผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันขับรถชนเมื่อตอนขามาที่หมู่บ้านแห่งนี้นี่แหละ ที่สำคัญเขายังอยู่ในเครื่องทรงยักษ์ชุดเดิมเหมือนอย่างที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ ด้วยความตกใจบวกด้วยความปากไวทำฉันอุทานออกมาเสียดังอย่างลืมตัว
“นาย!” ทว่า ชายหนุ่มกลับไม่ได้แสดงนิสัยดุดันเฉกเช่นยักษ์ออกมาให้เห็น ตรงกันข้าม เขาเอ่ยถามฉันกลับมาด้วยวาจานิ่มนวลคล้ายกับรู้วิธีปฏิบัติตัวต่อผู้หญิง ต่างจากท้าวอสุเรนทร์ที่เป็นยักษ์เหมือนเช่นเขาลิบลับ
“เจ้าจักเสียงดังไปใยเล่าไอ้กุมภัณฑ์?”
“ท่านเป็นใคร?” คราวนี้ฉันถาม โดยใช้เสียงที่อ่อนลงกว่าในตอนแรกนัก
“ตัวเรานั้นชื่อ อสุรา แล้วเจ้าล่ะ ชาติภพนี้มีนามเช่นไร” แม้จะตกใจ แต่เชื่อเถอะว่าฉันก็บ้าจี้ตอบเขากลับไปตามมารยาทอยู่ดี
“มะ เมรี” ซึ่งคำตอบก็ดูจะทำให้คนฟังพึงพอใจ จึงได้เอ่ยขึ้น
“ชาติภพนี้รายนามของเจ้า ฟังไพเราะเสนาะหู สมเป็นนารีชนเสียนี่กระไร” พอได้ฟังคำพูดของยักษ์หนุ่มอสุรามากเข้า ฉันก็เริ่มพอจับประเด็นได้ว่า เขาน่าจะเป็นยักษ์อีกตนที่ปรากฏตัวตรงหน้าเพราะเรื่องชาติภพเก่าของยักษ์กุมภัณฑ์อะไรนั่นแน่ๆ พอคิดได้แบบนี้ ฉันจึงยิงคำถามสำคัญตามประสาคนกลัวความผิดออกไปทันที
“ทะ ท่านก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของฉันอีกคนเหรอ!?” ตอนพูดน่ะ ฉันเกร็งไปทั้งตัวเลยนะรู้ไหม เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับกลับมา คิดไม่ออกเลยถ้าหากว่าเขาตอบว่าใช่ ฉันควรจะหาวิธีรับมือกับเจ้ากรรมนายเวรที่มาปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกันแบบนี้ยังไง ลำพังแค่ท้าวอสุเรนทร์ตนเดียวชีวิตฉันก็อยู่ยากพออยู่แล้ว!
“หากเจ้าจักเรียกเราด้วยนามนั้น เห็นทีเราคงปฏิเสธมิได้...” ลมหายใจฉันเหมือนจะหยุดลงแทบจะวินาทีที่หูได้ยินเสียงตอบ แต่ว่าไม่นานนักหรอก คนตัวใหญ่ก็ขยับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง “แต่เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป เรามิได้อาฆาตแค้นขุ่นเคืองเจ้าอีกต่อไปแล้ว เราอโหสิฯ ให้เจ้าหมดแล้วไอ้กุมภัณฑ์”
“...” ทั้งที่เขาเป็นยักษ์เหมือนกับท้าวอสุเรนทร์แท้ๆ แต่ทำไมนิสัยของคนทั้งคู่ถึงได้ดูต่างกันขนาดนี้ล่ะ
“เรื่องเวรและกรรม ให้เป็นเรื่องของพี่ท่านกับเจ้าเพียงสองต่อสองจักดีกว่า”
“พะ พี่ท่านเหรอคะ?” ฉันย้อนอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเขาก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“ดวงหน้าเรากับท่านพี่อสุเรนทร์ มิละม้ายคล้ายกันหรอกรึ?”
พี่ชาย! ท้าวอสุเรนทร์เนี่ยนะพี่ชายเขา! ถึงว่าสิ ว่าทำไมหลังจากที่ขับรถชนผู้ชายคนนี้แล้ว ทั้งท้าวอสุเรนทร์และเขาถึงได้อาศัยติดรถฉันมาพร้อมกันได้แบบนั้น เพราะว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อนนี่เอง
“ละ แล้ว...กุมภัณฑ์เคยทำอะไรท่านไว้งั้นหรือคะ ท้าวอสุรา..” พอเริ่มจับประเด็นได้ ฉันจึงยิงประเด็นหลักออกไป แม้ว่าเขาจะบอกอโหสิกรรมให้แล้วก็ตามที
“เราไม่ใช่ท้าวจ้าวเมือง ไม่ต้องขานเรียกเราเช่นนั้นดอก” และนั่นคือสิ่งที่อสุราให้คำตอบ “ส่วนสิ่งที่เจ้าก่อกรรมไว้กับเรา มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอันใดนัก...”
“…” ไม่ได้หนักงั้นเหรอ ถึงว่าสิ เขาถึงได้อโหสิกรรมให้กันง่ายๆ ต่างจากท้าวอสุเรนทร์
“เจ้าก็แค่... ปลิดชีวาหญิงคนรักของเราจนวอดวายก็เท่านั้นเอง” สิ้นเสียงบอกกล่าวของยักษ์หนุ่มอสุราจบลง ฉันก็ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งๆ มองตอบสีหน้านิ่งๆหากแต่คงด้วยรอยยิ้มของเขากลับไป
“ทะ ท่านประชดฉันเหรอคะ?” พร้อมด้วยคำถาม
“เหตุใดเราจักต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า จริงอยู่ที่เราเคยโกรธและเคียดแค้นเจ้ามากยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ยามนี้ทวิภพเปิดกว้าง นำพาทุกสิ่งเวียนวนบรรจบกันอีกครั้ง...ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมิโกรธแค้นสิ่งใดเจ้าอีก…”
“ระ เหรอคะ...”
“วาจาเราศักดิ์สิทธิ์เพียงพอจะไม่เอ่ยโป้ปดผู้ใด เจ้าจงเชื่อมั่นในคำเรา”
ตลอดเวลาที่ยักษ์อสุราเอ่ยนั้น เขาดูใจเย็นและคงรอยยิ้มใจดีไว้บนดวงหน้าตลอดเวลา คล้ายกับคนที่มองทุกอย่างในแง่ดี ไม่คิดร้ายหรือเคียดแค้นใคร ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีที่เขามีนิสัยเช่นนั้น เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่า แท้จริงแล้วยักษ์ทุกตนไม่ได้มีนิสัยดุร้ายหรือเกรี้ยวกราดอย่างท้าวอสุเรนทร์ทุกตน
พอนึกถึงท้าวอสุเรนทร์ขึ้นมา อยู่ๆในหัวมันก็เกิดหลายๆคำถามขึ้นมาแต่ครั้นจะเอ่ยปากถาม มันก็ดันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทับทิมซึ่งหายเข้าไปในครัวเดินกลับออกมาพอดี พานให้ร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มผู้ไม่ถือตัวอันตรธานหายตัวไปก่อนจะทันได้เอ่ยถามอะไร
“น้ำเย็นๆมาแล้วจ้าเพื่อนรัก...” ทับทิมเอ่ยพลางวางแก้วน้ำสำหรับแขกลงบนโต๊ะทรงเตี้ยตรงหน้าฉัน จากนั้นถึงจะกระโดดทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในจุดเดียวกับที่ยักษ์อสุราเคยนั่ง ซึ่งนั่นตามมาด้วยคำถาม “ไหนมีเรื่องอะไรจะรบกวนฉัน เล่าสิ?”
“ช่วงนี้เธอรู้สึกว่ารอบตัวมีเรื่องแปลกๆบ้างไหม?” เพราะไม่ได้ทันได้ถามสิ่งที่สงสัยให้ยักษ์อสุราได้ตอบ คำถามบางส่วนจึงถูกหยิบยกมาถามเพื่อนสาวข้างกายแทน
“ไม่นี่ ถามทำไมอ่ะ?” ทับทิมย้อน
“ปะ เปล่าไม่มีอะไร”
“อะไรเนี่ยอย่าพูดอะไรแปลกๆสิ...แล้วช่วงนี้งานที่กองเป็นไงบ้าง ตั้งแต่วันนั้นฉันยังไม่ได้เข้าไปเช็กงานให้พี่ช้างเลย เห็นเขาว่าเปลี่ยนนักแสดงไปเยอะเหมือนกันนี่” ฉันพยักหน้าส่งๆ แทนคำตอบ ไม่แปลกใจหรอกที่ทับทิมจะรู้เรื่องพวกนี้ ในเมื่อข่าวเรื่องอาถรรพ์ท้าวอสุเรนทร์กับละครเรื่องนี้โด่งดังจนเป็นที่พูดถึงไปทั่ว “แล้วเธอล่ะ...ตั้งแต่วันนั้น ยังเจออะไรแปลกๆอยู่อีกหรือเปล่า?”
“ก็นิดหน่อยอ่ะ...”
“ที่มาหาฉันวันนี้เพราะเรื่องนี้เหรอ?”
“เปล่า” ฉันส่ายหน้า “ฉันอยากถามเธอเรื่องท้าวอสุเรนทร์น่ะ”
“ว่ามาสิ” พอเริ่มพูดเข้าประเด็น ทับทิมซึ่งเป็นคนที่จริงจังมากในระดับหนึ่งอยู่แล้วก็เริ่มแสดงสีหน้าเคร่งขรึมราวกับสนอกสนใจในสิ่งที่ฉันพูดถึงทันที
“ในตำนานท้าวอสุเรนทร์น่ะ ก่อนที่ท่านจะไม่ถูกกับกุมภัณฑ์ สองคนนี้เคยสนิทกันมาก่อนใช่ไหม เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าอะไรที่ทำให้กุมภัณฑ์แปรพรรค ทำลายสวรรค์กับเมืองยักษ์แบบนั้น?”